xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สางปม “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ยึกยัก เลี้ยงไข้ ระวังจบไม่สวย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งลากยาวก็ยิ่งเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่เข้าท่า มัดปมปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กับโครงการ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” โครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บริเวณผืนป่าเชิงดอยสุเทพ-ปุย และจนถึงเวลานี้ท่านผู้นำประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ยังทำอ้ำอึ้ง รีๆ รอๆ บ่นเสียดายไม่อยากทุบทิ้งตามข้อเสนอของประชาสังคมชาวเชียงใหม่

ทว่า ไม่ว่าจะยื้อหรือเลี้ยงไข้ต่อยังไงสุดท้ายก็ต้องเคาะออกหัวออกก้อย และเมื่อหลังสงกรานต์ผ่านพ้นก็มาถึงเวลาประชุมนัดหมายใหญ่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด

แต่ก่อนอื่นใด ต้องไม่ลืมว่า ถ้าเอากันถึงที่สุด แม้ศาล กรมธนารักษ์ หรือกองทัพ จะเรียงหน้าออกมาแจกแจงว่าการดำเนินโครงการนี้มีความถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ พร้อมกับโชว์เอกสารหลักฐานต่างๆ นาๆ มาโดยตลอด แต่คำถามหนึ่งที่สังคมเริ่มเปิดประเด็นหักล้าง “ความถูกต้องตามกฎหมาย” ก็คือ โครงการนี้เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ 2550 หรือไม่?

ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลจากฝ่ายหลายๆ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศน์ ต่างสะท้อนว่า โครงการนี้สุ่มเสี่ยงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งวิถีชุมชนชาวเชียงใหม่ซึ่งถือว่าดอยสุเทพเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะมายาวนาน ดังนั้นแล้วโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการและบ้านพักตุลาการ จึงเข้าข่ายต้องทำประชาพิจารณ์หรือเปิดรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในช่วงขออนุญาตและดำเนินการก่อสร้างโครงการ แต่การดำเนินโครงการนี้กลับละเลย

การละเลยไม่ทำตามมาตรา 67 ตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 นอกจากจะไม่ได้รับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ทำให้สังคมวงกว้างไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ยังทำให้กลายเป็นประเด็นดราม่าในโลกออนไลน์เวลานี้ด้วยว่า “ทำไมเพิ่งมาค้าน” ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ภาคีเครือข่ายชาวเชียงใหม่ซึ่งหวงแหนธรรมชาติอยู่ในสายเลือด เดินหน้าสู้กันมาตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินการกันแล้ว แต่เสียงค้านของชาวประชามีหรือจะสู้เสียงของฝ่ายรัฐได้

และที่น่าเจ็บช้ำใจสำหรับพี่น้องชาวภาคีเครือข่ายชาวเชียงใหม่ ก็คือ ผู้กุมอำนาจรัฐในช่วงที่มีการตั้งเรื่องชงโครงการ จนถึงอนุมัติ ก็หาใช่ใครอื่นแต่เป็นคนเมืองเชียงใหม่ในตระกูลชินวัตร โดยเกี่ยวพันกันมาตั้งแต่สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำ จ.เชียงใหม่ ก่อนขึ้นปลัดกระทรวงยุติธรรม มาถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ. ที่อนุมัติให้สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 เข้าใช้พื้นที่ในราชการทหารบริเวณดังกล่าว เมื่อปี 2547 ส่วนการอนุมัติโครงการ-งบประมาณเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ช่วงปี 2556

แต่การปิดฟ้าด้วยฝ่ามือสุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาในเวลานี้เพราะสภาพ “ป่าแหว่ง” มันแทงใจคนทั้งสังคม โชว์ให้เห็นกันอย่างหมดจดว่ามีความผิดปกติวิสัย ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ด้วยประการทั้งปวง

อย่างไรก็ตาม ทางถอยที่น่าจะยอมรับกันได้ทุกฝ่ายที่พอมองเห็นในเวลานี้ ก็คือ ข้อเสนอจากวงประชุมร่วมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องล่าสุด เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2561 โดยคณะกรรมการร่วมจากหน่วยงานรัฐและภาคประชาชน ประกอบด้วย ตัวแทนจากจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่, ชลประทานเชียงใหม่, ธนารักษ์พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, ป่าไม้ และเครือข่ายของคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันตามข้อสั่งการของพลโทวิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อร่วมกันหาทางออก

การนัดประชุมคราวนี้ ทีแรกตกลงกันว่าหลังพูดคุยเสร็จจะลงสำรวจพื้นที่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวเขตป่าเพื่อกำหนดแนวเขตที่เหมาะสมในกรณีที่จะต้องดำเนินการรื้อถอนบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่ยื่นล้ำขึ้นไปบนดอยสุเทพ ซึ่งเบื้องต้นมีการกำหนดแนวเขตเพื่อเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาตัดสินใจไว้ 3 แนว ได้แก่ 1. รื้อบ้านพักทั้งหมด และอาคารแฟลตที่พัก 9 หลัง จากทั้งหมด 13 หลัง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของเครือข่าย โดยยึดแนวเขตป่าดั้งเดิม 2. รื้อบ้านพักทั้งหมด และอาคารแฟลตที่พัก 6 หลัง และ 3. รื้อบ้านพักทั้งหมด พร้อมคงอาคารแฟลตที่พักไว้ทั้งหมด 13 หลัง

แต่เอาเข้าจริงคณะกรรมการร่วมฯ ก็ยังเข้าสำรวจตรวจสอบพื้นที่จริงไม่ได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับการอนุญาต แม้ว่าจะมีการติดต่อประสานงานไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 61 ทางคณะกรรมการร่วมฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจและพยายามขออนุญาตเข้าพื้นที่โครงการมาแล้วครั้งหนึ่ง การขอเข้าพื้นที่อีกครั้งจึงต้องรอวนไป และยื่นขอใหม่อีกครั้ง โดยว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ เรืองภัทรกุล ธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ ประธานในการประชุมรับที่จะดำเนินการทำหนังสือขออนุญาตเพื่อขอเข้าพื้นที่โครงการในวันที่ 20 เม.ย. 61 และจัดทำข้อสรุปเกี่ยวกับแนวเขตรื้อถอนให้ได้ภายในวันเดียวกัน เพื่อนำเสนอให้แม่ทัพภาคที่ 3 จากเดิมที่กำหนดจะสรุปให้ได้ภายในวันที่ 19 เม.ย. 2561

เอาเป็นว่า จะเข้าพื้นที่ได้ไม่ได้ ภายในวันที่ 20 เม.ย.ก็ต้องสรุปกันให้ชัดเจนว่าจะขอให้รื้อและรื้อออกไปมากน้อยแค่ไหน และไม่ว่าจะรื้อถอนบ้านพักออกไปหรือไม่ก็ตาม ต้องมีการพื้นฟูสภาพพื้นที่ดังกล่าวให้กลับคืนสภาพไม่ใช่เพียงต้นไม้ที่ถูกตัดออกไปเท่านั้น แต่หน้าดินบริเวณดังกล่าวถูกถากออกไปหมดแล้วก็ต้องปรับแก้ด้วยเช่นกัน

ตัวแทนจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 และป่าไม้ ระบุว่า การฟื้นฟูต้องเร่งทำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เริ่มจากปลูกพืชคลุมดิน ควบคู่ไปกับการปลูกต้นไม้ใหญ่ ซึ่งจะต้องเป็นไม้พื้นถิ่นดอยสุเทพและมีความเหมาะสมกับป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ โดยเสนอให้มีการปลูกต้น “คำมอกหลวง” ที่เป็นต้นไม้ประจำถิ่นดอยสุเทพ และมีดอกสวยงามเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูป่าในครั้งนี้ด้วย

ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชน ยืนยันว่า การก่อสร้างบ้านพักในพื้นที่ดังกล่าวไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและต้องการขอพื้นที่ป่ากลับคืนมา โดยเสนอแนวทางให้มีการดำเนินการคืนพื้นที่ดังกล่าวและประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย โดยที่ยึดแนวเขตพื้นที่ราบต่อเนื่องมาจากพื้นที่ห้วยตึงเฒ่า ซึ่งในระหว่างดำเนินการดังกล่าวนี้ให้งดการทำกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้มีความรู้พิจารณาแนวทางการดำเนินการรื้อถอน

นอกจากนั้น ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพย้ำจุดยืนว่า ภาคประชาชนต้องการให้คืนพื้นที่ป่าโดยยึดแนวเขตป่าดั้งเดิมที่ลากผ่านจากห้วยตึงเฒ่าต่อเนื่องมาถึงพื้นที่โครงการก่อสร้างบ้านพัก ซึ่งจะต้องรื้อบ้านพักทั้ง 45 หลัง และอาคารแฟลตที่พัก 9 หลัง จากทั้งหมด 13 หลัง ทั้งนี้หากเป็นไปได้อยากให้มีการมอบพื้นที่นี้ให้อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย โดยในวันที่ 20 เม.ย. 61 นี้จะต้องพูดคุยกันให้ได้ข้อสรุปอย่างแน่นอนเพื่อนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจ

ขณะเดียวกัน มีเสียงเตือนถึงหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นจากสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ภาคเหนือ ซึ่งเป็นองค์กรที่เน้นทำกิจกรรมเพื่อสังคมและเป็นที่รวมของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายด้านหลายแขนง เช่น นักวิชาการเกษตร ป่าไม้ ชลประทานสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมเศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ และอื่นๆ โดยขอให้ยุติและยกเลิกโครงการดังกล่าว เพราะไม่มีความเหมาะสมในหลายมิติ

ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่โครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ การทำลายและเปลี่ยนแปลงสภาพป่าจะสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืช สัตว์ จุลินทร์ ก่อให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน มีการเปลี่ยนหรือกีดขวางทางน้ำตามธรรมชาติ จึงเสี่ยงจากน้ำป่าไหลหลากช่วงฤดูฝน เสี่ยงไฟป่าในฤดูแล้ง

มิติทางด้านวิศวกรรม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นเนินเขาที่เป็นดินและมีความลาดชันสูง มีความเสี่ยงสูงจากดินถล่มเมื่อมีฝนตกหนักหรือมีความเสี่ยงจากการทรุดตัวของพื้นที่จากน้ำที่ไหลหลากลงมาตามความลาดชันของพื้นที่, มิติทางด้านเศรษฐศาสตร์ โครงการนี้ใช้งบแผ่นดินไปแล้วจำนวนมาก ยังต้องใช้งบป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามมาอีก ทั้งไฟป่าและการพังทลาย ดินถล่ม ฯลฯ ขณะที่มิติทางสังคม ดอยสุเทพถือเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวเชียงใหม่ การเกิดขึ้นของโครงการนี้ชาวเชียงใหม่ต่างรู้สึกเหมือนถูกย่ำจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในทางลบขึ้นกับศาลยุติธรรมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจประชาชนมาก่อน

สมาคมฯ ยังเสนอให้รื้อถอนโครงการในส่วนบ้านพักตุลาการและฟื้นฟูให้คืนสภาพป่าธรรมชาติดังเดิม เพื่อลดภาพอัปลักษณ์ของดอยสุเทพลง และไม่กลายเป็นพื้นที่นำร่องในการบุกรุกป่าไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ไม่ถูกต้องในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นและไม่เสี่ยงต่อน้ำป่าหรือดินถล่มในฤดูฝน ไฟป่าในฤดูแล้ง เพราะพื้นที่นี้ไม่เหมาะใช้เป็นที่อยู่อาศัยเนื่องจากมีความลาดชันสูงและธรณีสัณฐานเป็นภูเขาดิน รวมทั้งไม่ต้องสูญเสียป่าไม้จากการทำแนวกันไฟโดยรอบ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่จะกิดขึ้นตามมา

ชัดเจนกันขนาดนี้แล้วขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของท่านผู้นำว่าจะตัดสินใจสางปัญหาให้จบหรือจะเลี้ยงปัญหาให้คาราคาซังกันต่อไป เพราะถ้าท่านผู้นำกล้า บางทีการที่ไปดูด “คุณปลื้ม” ซึ่งเรียกเสียงยี้กันทั้งบ้านทั้งเมือง ผู้คนยังจะพอลืมๆ กันได้บ้าง เนื่องจากสามารถกล้ำกลืนฝืนทนเข้าใจได้ถึงความสำเป็นที่ต้องตัดสินใจเช่นนั้น




กำลังโหลดความคิดเห็น