เป็นการเดินขบวนที่ยิ่งใหญ่ทั่วสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มีนา ซึ่งครั้งนี้เต็มไปด้วยนักเรียน (ขอย้ำว่า เป็นนักเรียนตัวน้อยๆ ไม่ใช่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย) ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีคนอายุในวัย Teens ตั้งแต่ 10 ขวบมาเดินขบวนกันเต็มถนนในเมืองใหญ่ๆ
ที่ดี.ซี.คาดว่า จะประมาณ 8 แสนคน ซึ่งก็คือนักเรียนในบริเวณรัฐใกล้ๆ นั้น แต่ก็มีที่เดินทางมาจากแดนไกลขนาดรัฐฟลอริดา เพราะที่นั่นเป็นต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจให้ต้องมาแสดงพลังลงคะแนนด้วยเท้า
นั่นคือ การกราดยิงในวันแห่งความรัก 14 กุมภาฯ โดยเด็กนักเรียนเป็นมือปืนที่ฆ่าเพื่อนๆ ด้วยกันเอง เนื่องจากกฎหมายการถือครองพกพาปืนที่หย่อนยาน จนทำให้สังคมอเมริกันพิกลพิการเป็นที่เยาะเย้ยถากถางจากรัสเซียและจีนว่า สร้างให้คนฆ่ากันตายง่ายดายด้วยปืนสงคราม เพราะรัฐตกอยู่ใต้อิทธิพลของบริษัทขายอาวุธปืน (สงคราม)
บริษัทค้าอาวุธคือ Deep State ตัวจริงของสหรัฐฯ
ถ้านับรวมถึงการแสดงพลังด้วยเท้า นอกจากที่ดี.ซี.แล้ว ตามเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นิวยอร์ก และทางซีกฝั่งตะวันตกก็เป็นล้านคน ยังไม่รวมถึงอีกหลายเมืองทั่วโลก เช่น ในยุโรป ในออสเตรเลีย แม้แต่ในเวียดนามที่มีการรวมตัวของเด็กๆ เพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับขบวนการเด็กนักเรียนในสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายปืนที่หย่อนยานมากๆ ในสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการกราดยิงหมู่จากฆาตกรที่สามารถหาซื้อและพกพาปืนได้ง่ายดายพอๆ กับซื้อแฮมเบอร์เกอร์มารับประทาน
รายงานของ CNN และอีกหลายสื่อประเมินว่า เป็นการเดินขบวนที่ล้นหลามที่ดี.ซี.และเมืองอื่นๆ เช่นเดียวกับการเดินขบวนของกลุ่มผู้หญิง (Women’s March) ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 21 มกราปีที่แล้ว (และปีนี้) ซึ่งเป็นวันต่อจากวันสาบานตนของปธน.ทรัมป์นั่นเอง
วันนั้น ผู้หญิงครึ่งประเทศสหรัฐฯ ออกมาแสดงตนเพื่อเรียกร้องในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เคารพในสิทธิในร่างกายและจิตใจของผู้หญิงที่จะไม่ถูกทำร้ายในครอบครัวหรือที่ทำงาน, ที่จะได้ค่าแรงเท่าชายในงานชนิดเดียวกัน, ที่จะมีโอกาสเท่าเทียมผู้ชาย และพุ่งเป้าไปที่ปธน.คนที่ 45 ของสหรัฐฯ ที่มีวิถีชีวิตดูหมิ่นร่างกายและจิตใจของผู้หญิงมาตลอด
ชื่อของการเดินขบวนครั้งนี้คือ เดินขบวนเพื่อชีวิตของพวกเรา เพราะเด็กๆ เหล่านี้มีความหวาดวิตกว่า ชีวิตนักเรียนของพวกเขาเต็มไปด้วยอันตรายที่อาจจะโดนกราดยิงมิวันใดก็วันหนึ่ง เพราะมีเหตุการณ์ซ้ำซากนับครั้งไม่ถ้วนในรอบ 20 ปีนี้ ที่เพื่อนนักเรียนด้วยกันเองนี่แหละที่ลากเอาปืนลูกซองมายิงกราดฆ่าเพื่อนๆ โดยบางคนก็เป็นโรคจิต หรือถูกบ่มเพาะจากรายการทีวี และเล่นเกมหน้าจอที่รุนแรงมาก
ไม่เพียงเด็กๆ ที่มาแสดงพลัง แต่พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในเครือข่าย Women’s March ก็มากันด้วย
พวกเขาได้รับการสนับสนุนทางการเงิน (อย่างเปิดเผย) จากดาราฮอลลีวูดดังๆ, บริจาคเป็นจำนวนมาก เช่น จอร์จ คลูนีย์ และอามัล ภรรยา มอบให้ 5 แสนเหรียญ (15 ล้านบาท) พร้อมทั้งโอปราห์ วินฟรีย์ 5 แสนเหรียญ เป็นท่อน้ำเลี้ยงที่มาจากหลายๆ คนไม่ใช่มาจากคนที่ดูไบที่แอบๆ ส่งเงินมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในไทย
เงินนี้ใช้ในการจัดทำเวทีง่ายๆ และบางส่วนก็เพื่อเป็นค่าเดินทางของนักเรียนจากที่ถูกกราดยิงหลายๆ แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่จะเดินทางมารวมกันที่ดี.ซี. รวมทั้งค่าที่พักบางส่วนด้วย
ทีมอเมริกันฟุตบอลดังๆ เช่น patriot ก็ออกค่าเครื่องบินให้นักเรียนเดินทางมาร่วมประท้วงด้วย
พวกเขาพยายามกดดันที่หน้ารัฐสภา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายการพกพาปืน ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่ได้รับการค้ำประกันอยู่ในมาตรา 2 ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอเมริกัน
พวกเขายังคงเคารพมาตรา 2 นี้ แต่ต้องการไม่ให้มีการขายอาวุธปืนสงครามหรือกึ่งสงครามในตลาดทั่วไป และขณะนี้ก็มีการเคลื่อนไหวตามรัฐต่างๆ เพื่อพยายามเขยิบอายุของผู้ที่จะซื้อปืน (ทุกชนิด) จาก 18 เป็น 21 แต่ชนิดของปืนยังไม่มีการห้ามขายอาวุธปืนสงครามอยู่ดี
ในการแสดงพลังของเด็กนักเรียนครั้งนี้ เริ่มขึ้นจากโรงเรียนที่ฟลอริดา ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมปลายขนาดใหญ่ (4 ปีของมัธยมปลาย) 3,000 คน และมีนักเรียนเป็นผิวขาวหรือลาติโนถึง 70% มีนักเรียนผิวดำแค่ 25% ก็มีกลุ่มที่ยุแยงให้นักเรียนผิวดำไม่เต็มใจเข้าร่วมเดินขบวน
ฝ่ายนำของกลุ่มนักเรียนได้จัดให้มีผู้ปราศรัย และการแสดงดนตรีคั่นรายการ (เป็นนักเรียนทั้งนั้น) เป็นนักเรียนผิวดำถึงครึ่งหนึ่ง เพื่อเชื้อเชิญให้นักเรียนผิวสีต่างๆ เข้าร่วมให้มากที่สุด
ในช่วงปลายสมัยของปธน.โอบามา จะมีการเดินขบวนใหญ่ๆ หลายรัฐ เพื่อประท้วงตำรวจผิวขาวยิงเด็กหรือชายผิวดำตาย ทั้งๆ ที่คนที่ถูกยิงไม่ได้พกปืนเลย เป็นการเดินขบวนที่เรียกว่า Black Lives Matter (ชีวิตของคนดำก็มีความหมาย)
ซึ่งการเดินขบวนของคนดำ ไม่ค่อยปรากฏมีคนผิวขาวมาร่วมแสดงพลังมากนัก และฝ่ายนำการเดินขบวนของคนผิวดำจะตั้งข้อสังเกตอันนี้ซึ่งในการเดินขบวน 24 มีนานี้ ก็ปรากฏมีนักเรียนผิวดำและพ่อแม่พี่น้องนำเอาป้ายที่เขียนว่า “Black Lives Matter” มาร่วมด้วย แต่ป้ายเรียกร้องส่วนใหญ่จะเน้นเรื่อง “พอกันทีกับการกราดยิง” (Enough!)
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเทียบการเดินขบวนใหญ่ๆ ตั้งแต่ทรัมป์มารับหน้าที่ผู้นำฝ่ายบริหาร มีเดินขบวนจำนวนมากกว่าและขนาดใหญ่กว่าสมัยโอบามา ประเด็นก็ร้อนแรงกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเท่าเทียมและการรังแกผู้หญิง, การประท้วงทรัมป์ที่ห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ และประท้วงการกวาดล้างเนรเทศแรงงานผิดกฎหมายครั้งใหญ่อย่างไม่ปรานีปราศรัย
Joe Biden อดีตรองปธน.สมัยโอบามาออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครึ่งสมัยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ฝ่ายเดโมแครตน่าจะไม่ต้องทำงานหนัก เพราะการเดินขบวนนั้นทำให้เครื่องยนต์ทางการเมืองติดเครื่องแล้ว ขอเพียงอย่าให้ผู้สมัครเดโมแครตแตกกันก็น่าจะชนะทวงคืนเก้าอี้จากฝ่ายรีพับลิกันได้ง่ายๆ
ขณะเดียวกัน ทางฝ่าย NRA สมาคมปืนแห่งชาติ ก็รีบออกโฆษณาใน FB เพื่อชี้ว่า กลุ่มนักเรียนเหล่านี้กำลังเป็นเด็กอมมือที่ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายซ้าย และฝ่ายเสรีนิยมมหาเศรษฐีเหล่าดาราฮอลลีวูด หรือนักการเมืองเดโมแครตที่ให้นักเรียนออกหน้า และโฆษณาบางอันของ NRA ก็เยาะเย้ยถากถางว่า ฝ่ายนำของกลุ่มนักเรียนกำลังสร้างความโด่งดังเพื่อชื่อเสียงของตนเอง คือ ถ้าไม่จัดชุมนุมขึ้นมา เด็กๆ ที่กำลังดังมากๆ ชั่วข้ามคืนหลายคนก็จะไม่เป็นที่รู้จัก
เด็กๆ มัธยมปลายที่เป็นแกนนำหลายคน ใช้ปัญญาไหวพริบอันชาญฉลาดที่จะตอบโต้และกดดันเหล่านักการเมืองน้ำเน่าอย่าง Marco Rubio ส.ว.รัฐฟลอริดา เช่นที่ T-Shirt เขาจะเขียนเลข $1.05 ซึ่งได้ไขปริศนาบนเวทีว่า มาจากการเอาจำนวนเงินบริจาคของสมาคมปืน NRA ที่มอบให้ Rubio 3.3 ล้านเหรียญ (เพื่อใช้หาเสียงเข้ามาเป็น ส.ว.) แล้วหารด้วยจำนวนเด็กนักเรียนในรัฐฟลอริดาทั้งหมด (ที่เสี่ยงจะถูกกราดยิง) ได้ตัวเลขออกมาเป็นจำนวนน้อยนิดแค่ 1 เหรียญต่อหัวคือ มูลค่าของชีวิตนักเรียนในฟลอริดา 1 คนที่ Rubio ไม่เคยแยแสถึงยังยืนกรานออกแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ในวันเดินขบวนครั้งนี้ว่า “ผมไม่ได้รับเงินของ NRA เพราะเห็นแก่เงิน และไม่คำนึงถึงชีวิตเด็กนักเรียน แต่เพราะผมต้องต่อสู้ให้กับเจตนารมณ์ของสมาชิกสมาคมปืนเป็นหลายล้านคน ที่กำลังจะถูกลิดรอนสิทธิตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน ผมก็เคารพต่อสิทธิของเด็กนักเรียนตามมาตรา 1 ที่ให้สิทธิพลเมืองอเมริกันได้แสดงความคิดเห็นเต็มที่เต็มท้องถนนด้วย”
มีการล่าลายเซ็นเด็กๆ นักเรียนได้เป็นหมื่นคน (ที่มาร่วมเดินขบวน) ที่จะมีสิทธิไปลงคะแนนเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อลงทะเบียนจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งแน่นอน (ถ้าไม่ลงทะเบียน-ก็จะไม่มีสิทธิลงคะแนน) และมีการกำชับบนเวทีให้เด็กนักเรียนที่กำลังจะอายุ 18 ทุกคนไปลงคะแนนเลือกตั้งให้ได้
การเดินขบวนอย่างบริสุทธิ์ใจของเหล่าเด็กๆ ครั้งนี้ ทำให้คิดถึงการเดินขบวน 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ซึ่งใช้เจตนาอันบริสุทธิ์และแน่วแน่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่เหมือนการเดินขบวนที่มีท่อน้ำเลี้ยงที่มาจากเงินโกงชาติ และเจตนาเพื่อส่งเสริมให้เจ้าของเงินสกปรกโกงชาติได้กลับมาบริหารโกงกินชาติต่อไป


