หลายวันก่อน “กรมส่งเสริมการเกษตร”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เจ้าของนโยบาย โครงการ 9101 โดยชุมชน ได้สรุปผลการดำเนินการทั่วประเทศ “เฟสแรก”ให้ครม.รับทราบ
ชื่อเต็มๆ ของโครงการนี้ชื่อว่า“โครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน"”ผลักดันโดยพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ปัจจุบันไปนั่ง“รองนายกรัฐมนตรี ด้านสังคม”ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้ท่านแจ้งใน เฟซบุ๊กว่า “ผมได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาหลายเดือนแล้ว และในตำแหน่งรองนายกฯ ผมก็ไม่ได้ดูแลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”
กลับมาที่ผลสรุปโครงการ “เฟสแรก”
ตามมติ ครม.ระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถดำเนินการได้จนแล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ ในพื้นที่ 9,101 ชุมชน จำวน 24,147 โครงการ วงเงินรวมที่กระทรวงผลักดัน 19,897 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณ 19,852 ล้านบาท มีเกษตรกรกุล่มเป้าหมายได้ประโยชน์ 1.56 ล้านราย ก่อให้เกิดกระแสการหมุนเวียนเศรษฐกิจในภาพรวมเพิ่มขึ้น 54,040 ล้านบาท
โดยกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้นำเกษตรกร และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจต่อโครงการมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ยังมีชุมชนในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.สกลนคร 5 ชุมชน (ชุมชนเหล่าปอแดง 1 และ 2 โครงการปุ๋ยหมักจากผักตบชวา ชุมชนพังขว้าง โครงการเพาะเห็ดนางฟ้าในโรงเรือนชุมชนหนองลาด โครงการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ และชุมชนโคกก่อง โครงการทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวา) จำนวนเงิน 4,568,595 บาท โดยให้ดำเนินการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครม.มีมติ โดยจะต้องเบิกจ่ายให้ทันภายในวันที่ 31 ส.ค.60 เนื่องจากยังมีปัญหาเรื่องบัญชีที่เปิดไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพราะถูกปิดบัญชีไปแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องเทคนิคเพียงเล็กน้อย
“ที่สำคัญ ครม.ได้เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อโครงการ จาก“โครงการ 9101”เป็น“โครงการเกษตรยั่งยืน EP.1”หรือที่ ทีมโฆษกสำนักนายกฯ บอกในวันแถลงข่าวครม.ประจำสัปดาห์ว่า เปลี่ยนไปใช้ชื่อ“เกษตรประชารัฐ”
ตามข่าว บอกว่าเนื่อง“ชื่อเดิมอาจจะไม่มีความเหมาะสม”ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวและกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างรัดกุมและโปร่งใส
“นายกฯขอให้เปลี่ยนชื่อ นื่องจากหากมีโครงการ เฟสสอง จะได้บรรจุรวมไว้ใน“โครงการประชารัฐ”ได้ โดยเฟสแรก 24,247 โครงการ สร้างรายได้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมเป็นแรงงานประมาณ 2.25 ล้านราย เฉลี่ยรายละ 4,400 บาท โครงการของชุมชน กว่า 80.78% สรางรายได้หรือประโยชน์กลับมาให้โครงการเฉลี่ย 195,200 บาท หรือ 21.76% ของงบสนับสนุนเฉลี่ย 897,130 บาท/โครงการ”
ทีนี้ มาย้อนดูปฐมบทของโครงการ เริ่มจากมติครม.“4 ก.ค.60” กระทรวงเกษตรฯ เสนอ ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการพัฒนาด้านการเกษตร โดยใช้งบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 22,895,363,600 บาท ประกอบด้วย
“1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสนับสนุนชุมชนเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย วงเงิน 22,752,500,000 บาท และ 2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการของคณะกรรมการระดับชุมชน อำเภอ จังหวัด และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วงเงิน 142,863,600 บาท”
หลังมีมติ ครม.ดังกล่าว ก.เกษตรฯ ได้เร่งรัดการดำเนินการทุกโครงการ/กิจกรรม มีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานให้แก่เกษตรกร ในระยะที่ 1 ระยะที่ 2 รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขณะที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรผ่านบัญชี ธ.ก.ส. โดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการนี้ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น
1 ส.ค.60 มีการสรุปความก้าวหน้าต่อครม. โดยคณะกรรมการโครงการฯ ระดับอำเภอ ให้ความเห็นชอบแผนและงบประมาณ จากกองทุนจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ สำนักงบประมาณ 24,168 โครงการ วงเงิน 19,867.20 ล้านบาท มีโครงการ เช่น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ผลิตพืชและพันธุ์พืช การปศุสัตว์ และ การผลิตอาหาร การแปรรูปผลผลิต และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขณะที่ “สำนักงานเกษตรจังหวัด”เป็นเจ้าภาพโอนเงินให้คณะกรรมการโครงการฯ ระดับชุมชน 19,867.2 ล้านบาท ให้กับกลุ่มสมาชิกศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และเครือข่าย ตั้งแต่ 15 ก.ค.60
มีการรายงานปัญหา อุปสรรค ว่า ระยะเวลาเบิกจ่ายค่อนข้างสั้น , ข้อปฏิบัติของกรมสรรพากรที่ให้กลุ่มสมาชิกของชุมชน ศพก. และ/หรือเครือข่ายที่เสนอโครงการ ต้องมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ทำให้เกิดข้อกังวลในขั้นตอนที่ไม่คุ้นเคย , การจัดทำธุรกรรมทางการเงินของ ธ.ก.ส.มีข้อจำกัดเรื่องเวลาทำการ และ เหตุการณ์พายุโซนร้อน “เซินกา”ทำให้บางพื้นที่ไม่สามารถปฏิบัติงานตามแผนได้ และมีวัสดุการเกษตรเสียหายเนื่องจากอุทกภัย
ต่อมา 19 ก.ย.60 คณะทำงาน แจ้ง ครม.ว่า งบประมาณจากโครงการนี้ได้เข้าสู่การฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 จำนวน 43 จังหวัด 450,000 ครัวเรือน มีลักษณะการดำเนินการเป็นการสนับสนุนกิจกรรมในลักษณะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิต ครัวเรือนละไม่เกิน 5,000 บาท และส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม กลุ่มละไม่น้อยกว่า 10 ราย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 2,295,000,000 บาท
ล่าสุด 27 ก.พ.61 มีการสรุปและเปลี่ยนชื่อโครงการตามข้างต้น โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป เช่น ข้อสังเกตจากการประเมินผล ,พิจารณาชุมชนที่มีศักยภาพสำหรับต่อยอดการผลิตที่พัฒนาไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนมากขึ้น เช่น การผลิตสินค้าอินทรีย์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีเกษตร เป็นต้น
ท้ายสุด ครม.รับทราบสรุปด้วยว่า“ไม่พบว่ามีการรายงานผลการดำเนินงานว่ามี“โครงการใดเข้าข่ายการทุจริต”แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า รัฐบาลและคสช. จะไม่ปล่อยคนโกง และไฟเขียวให้ ก.เกษตรฯ ตรวจสบอย่างเข้มข้น กอรปกับ นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ ออกมาย้ำถึงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในโครงการว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการระดับพื้นที่ ซึ่งอยู่ในชุมชน ไปดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในโครงการ “ซึ่งตรวจสอบแล้ว ข้าราชการไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ได้ย้ำกับทุกคนว่าอย่าให้เกิดเรื่องการทุจริตขึ้น โดยเฉพาะพืชพันธุ์ ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่นำไปมอบให้กับชาวบ้านต้องมีคุณภาพดี และราคาไม่แพงกว่าที่ชาวบ้านซื้อในท้องตลาด
อย่างไรก็ตาม หลังมีข้อครหาเรื่องทุจริต มีการเชิญ“หอการค้าจังหวัด, ผู้จัดการ ธ.ก.ส., ผู้แทนสภาเกษตรกรแห่งชาติ”มาร่วมหารือเพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่กับภาคเอกชน โดยปรับทุกภาคส่วนมาสู่นโยบายการตลาดนำการผลิต รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในพื้นที่
ขณะที่มีการยื่นร้องเรียนเป็นบัตรสนเท่ห์เข้ามาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของ ป.ป.ท. และช่องทางรับเรื่องร้องเรียนของรัฐบาล จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยจาก“กรมส่งเสริมการเกษตร”มีว่า แม้จะมีการร้องเรียนต่อโครงการฯ ทั้งหมด 14 จังหวัด มีการดำเนินการตรวจสอบแล้ว 6 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา อุตรดิตถ์ สงขลา แม่ฮ่องสอน ไม่พบหลักฐานการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ และไม่พบข้อเท็จจริงตามที่ร้องเรียน อาทิ จ.สุรินทร์ ถูกร้องเรียนว่า เกษตรอำเภอ เปิดให้ผู้รับเหมาประมูลงานผลิตปุ๋ย แล้วจัดหาอุปกรณ์มาให้ชาวบ้านแทนจ้างคนในหมู่บ้านตามจุดประสงค์โครงการ หลังสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่าไม่เป็นความจริงตามที่ร้องเรียน
ขณะที่อีก 8 จังหวัด อยู่ระหว่างตรวจสอบได้แก่ แพร่ กาญจนบุรี สระแก้ว เชียงราย สุพรรณบุรี สตูล พระนครศรีอยุธยา ลำปาง โดยจังหวัดที่มีปัญหาคือ พระนครศรีอยุธยา เสนอโครงการส่งเสริมการใช้สารชีวภัณฑ์ ตั้งราคาสูงเกินจริง โดย หจก. แห่งหนึ่ง ได้ทำหนังสือชี้แจง ตรวจสอบแล้วไม่ถือว่าเข้าข่ายกระทำผิด
นอกจากนี้ มีประเด็นที่ได้รับร้องเรียนและลงไปตรวจสอบแล้ว เช่น 1. มีเกษตรกรขอเข้าร่วมพิจารณาโครงการ แต่ถูกปฏิเสธทั้งที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร แต่สมาชิกกลุ่มยังไม่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2. ที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว ส่วนใหญ่ทำลานตากเกือบทุกโครงการ แต่ให้ทำโครงการไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 3.โครงการที่ผ่านการอนุมัติเป็นของผู้นำชุมชนเพียงโครงการเดียว
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ ได้แก่ 1. จ.สตูล ไม่ประชาสัมพันธ์โครงการอย่างทั่วถึง ทำให้ขาดสิทธิ์ในการเสนอโครงการ 2. สุพรรณบุรี การใช้บประมาณไม่มีการประชาพิจารณ์ ทั้งที่ควรให้ชุมชนได้คัดเลือกกิจกรรมที่ทำ 3. แม่ฮ่องสอน มีการเบิกจ่ายโดยไม่ได้เกิดจากความต้องการของชุมชน ไม่มีการประชุมหารือ 4. ลำปางไม่มีการจัดเวทีชุมชน ไม่ประสานผู้นำท้องที่ เกษตรกรเสียสิทธิ์ ไม่ได้เข้าโครงการ 5. สงขลา ไม่รู้ข่าวสารทำให้ไม่ได้เข้าร่วม โครงการ 6. เชียงราย โครงการเกษตรอินทรีย์ยั่งยืนคืนถิ่นทานตะวัน ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงมีหนังสือทวงถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ
อย่างไรตาม จะเห็นว่า คำร้องเรียนส่วนใหญ่ในหลายจังหวัดใกล้เคียงกัน คือ หลายชุมชนทำโครงการโดยไม่มีการประชุมหารือชาวบ้านในวงกว้าง ทั้งที่วัตถุประสงค์ของโครงการ คือ ให้ชาวบ้านในชุมชนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ระหว่างคนในชุมชนก่อน พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนอาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งการเมืองในท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชนก็เป็นได้ หรือใช้เป็นฐานเสียงและบางพื้นที่ไม่ ประสงค์ดีต่อโครงการ ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจของชาวบ้านที่มีต่อโครงการ 9101
สรุปแล้ว เฟสแรกใช้งบประมาณไปแล้ว 25,190,363,600 บาท ประกอบด้วย (งบกลางฉุกเฉิน) 22,895,363,600 บาท ค่าใช้จ่ายโครงการของคณะกรรมการระดับชุมชน อำเภอ จังหวัด 142,863,600 บาท และ งบฟื้นฟูอาชีพผู้ประสบอุทกภัย ปี 60 43 จังหวัด 450,000 ครัวเรือน 2,295,000,000 บาทและที่สำคัญ “ไม่พบว่า โครงการมีการทุจริต”ก่อนที่ ในเร็วๆ นี้เฟส สอง จะมีการโอนงบประมาณ โครงการทั้งหมด ไปที่ "โครงการประชารัฐ"