ผู้จัดการรายวัน 360 - “ครูปรีชา-เจ๊พัช-เจ๊บ้าบิ่น” ผู้ต้องหาคดีหวย 30 ล้าน รับทราบข้อกล่าวหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโดยมิชอบ ยืนคำให้การเดิม หลังถูกแยกสอบนานกว่า 6 ชม. เตรียมสรุปสำนวนส่งป.ป.ช. 26 มี.ค.นี้ "แผน" ฟ้องกลับ "ฐิติราช-ไมตรี" ทำผิดม.157-200 ด้านสภาทนายความเตรียมสอบสวน-ลงโทษ "ทนายตั้ม" ใส่ยีนส์-เสื้อยืดเข้าศาล
วานนี้ (15 มี.ค.) นายปรีชา ใคร่ครวญ อายุ 50 ปี ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี และนางรัตนาภรณ์ สุธาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น และน.ส.พัชริดา พรมตา หรือเจ๊พัช เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยภายหลังสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ว่า ได้ใช้เวลาการสอบปากคำนานกว่า 6 ชม. โดยแยกสอบเดี่ยว จากนั้นจึงให้ทั้งหมดพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนจะปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก และทั้งหมดเดินทางมาให้ปากคำด้วยตนเองไม่มีการหลบหนี
โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ยังยืนยันในคำให้การเดิมที่ได้ให้การไว้กับตำรวจกองปราบในคดีที่ครูปรีชาได้แจ้งความหมวดจรูญ ซึ่งทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล มีเพียงนางรัตนาพรได้ขอให้เจ้าหน้าที่บันทึกรายละเอียดบางส่วนในคำให้การเดิมใหม่ เนื่องจากอ้างว่าอาจยังสับสนในคำให้การในบางเรื่อง และบางเรื่องอาจยังไม่พบเห็น อาจทำให้มีการคาดเคลื่อนได้ แต่สาระสำคัญยังคงเดิม ทั้งนี้ ตำรวจเตรียมสรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช.ในวันที่ 26 มี.ค.นี้
"แผน" ฟ้องกลับ "ฐิติราช-ไมตรี"
ขณะที่นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน ได้เดินทางมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมกับ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า เพื่อยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการตำรวจกองปราบปราม ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ม.200 ฐานเจ้าพนักงาน กระทำการมิชอบเพื่อช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง จากกรณีตำรวจออกหมายเรียกให้มาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในเวลากระชั้นชิด คือ ออกหมายเรียกเมื่อวันที่ 14 มี.ค. และให้มาพบในวันที่ 15 มี.ค. เบื่องต้นศาลรับสำนวนไว้ ซึ่งจะมีการนัดตรวจดูคำฟ้องว่าครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่ วันที่ 10 เม.ย.นี้ ก่อนมีคำสั่งว่า จะรับคดีดังกล่าวไว้ไต่สวนมูลฟ้องต่อหรือไม่
สภาทนายความจ่อฟัน “ทนายตั้ม”
ส่วนกรณีที่ นายฐนุกร เหลืองใหม่ หรือแผน พยานฝ่ายนายปรีชา ใคร่ครวญ ได้ร้องเรียนต่อสภาทนายความ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมและตรวจสอบพฤติกรรมกรรมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ โดยมีนายพัฒนา จาติเกตุ อุปนายกสภาทนายความฝ่ายกิจการพิเศษรับเรื่องไว้
นายพัฒนา กล่าวว่า ยายษิทรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่อง เคยได้รับการแจ้งจากศาลเกี่ยวการแต่งกายที่ไม่สุภาพ เช่น สวมเสื้อยืดคอกลม กางเกงยีนส์ในบริเวณศาล รวมถึงได้เห็นจากการที่พาลูกความออกสื่อ ข่มขู่คู่กรณี ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ซึ่งจะต้องถูกสอบสวนชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยหากพบว่าผิดก็จะถูกดำเนินการตามมรรยาททนายความ
“การออกสื่อบ่อยๆ เป็นการสร้างราคาให้ตัวเองเพื่อให้มีงาน มีเงินมากกว่าเพื่อนทนายความคนอื่น ทำให้ทนายความท่านอื่นที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่โอ้อวด ได้รับผลกระทบ” นายพัฒนากล่าว
ด้านนายษิทรา โพสต์เฟซบุ๊ก “ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ” ระบุว่า “ไม่รู้หรอกนะว่าเสื้อตัวที่ผมใส่มันสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ใครหนักหนา แต่ทั้งหมดในการทำงานมา เสื้อตัวนี้สร้างรอยยิ้มให้ผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คนรอบข้างผมภูมิใจ ผมมีโอกาสได้เป็นผู้ริเริ่มการทำ โครงการพี่สอนน้อง และได้ให้ความรู้เยาวชนมาแล้วกว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ หากวันนี้ผมจะถูกลบชื่อออกเพียงเพราะมีคนไม่ชื่นชอบเสื้อของผม ถ้าสภาทนายความจะมองว่าเสื้อของผมผิดมารยาททนายผม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็พร้อมจะน้อมรับ ผมก็ยังคงภูมิใจ และไม่ว่าจะมีหัวโขนนำหน้าชื่อว่าอะไร ผมสัญญากับคนไทยว่า จะยังทำทุกอย่างตามสถานะเพื่อความเป็นธรรมให้มีอยู่ในสังคมไทย”
วานนี้ (15 มี.ค.) นายปรีชา ใคร่ครวญ อายุ 50 ปี ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี และนางรัตนาภรณ์ สุธาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น และน.ส.พัชริดา พรมตา หรือเจ๊พัช เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยภายหลังสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ว่า ได้ใช้เวลาการสอบปากคำนานกว่า 6 ชม. โดยแยกสอบเดี่ยว จากนั้นจึงให้ทั้งหมดพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนจะปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก และทั้งหมดเดินทางมาให้ปากคำด้วยตนเองไม่มีการหลบหนี
โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ยังยืนยันในคำให้การเดิมที่ได้ให้การไว้กับตำรวจกองปราบในคดีที่ครูปรีชาได้แจ้งความหมวดจรูญ ซึ่งทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล มีเพียงนางรัตนาพรได้ขอให้เจ้าหน้าที่บันทึกรายละเอียดบางส่วนในคำให้การเดิมใหม่ เนื่องจากอ้างว่าอาจยังสับสนในคำให้การในบางเรื่อง และบางเรื่องอาจยังไม่พบเห็น อาจทำให้มีการคาดเคลื่อนได้ แต่สาระสำคัญยังคงเดิม ทั้งนี้ ตำรวจเตรียมสรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช.ในวันที่ 26 มี.ค.นี้
"แผน" ฟ้องกลับ "ฐิติราช-ไมตรี"
ขณะที่นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน ได้เดินทางมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมกับ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า เพื่อยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการตำรวจกองปราบปราม ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ม.200 ฐานเจ้าพนักงาน กระทำการมิชอบเพื่อช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง จากกรณีตำรวจออกหมายเรียกให้มาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในเวลากระชั้นชิด คือ ออกหมายเรียกเมื่อวันที่ 14 มี.ค. และให้มาพบในวันที่ 15 มี.ค. เบื่องต้นศาลรับสำนวนไว้ ซึ่งจะมีการนัดตรวจดูคำฟ้องว่าครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่ วันที่ 10 เม.ย.นี้ ก่อนมีคำสั่งว่า จะรับคดีดังกล่าวไว้ไต่สวนมูลฟ้องต่อหรือไม่
สภาทนายความจ่อฟัน “ทนายตั้ม”
ส่วนกรณีที่ นายฐนุกร เหลืองใหม่ หรือแผน พยานฝ่ายนายปรีชา ใคร่ครวญ ได้ร้องเรียนต่อสภาทนายความ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมและตรวจสอบพฤติกรรมกรรมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ โดยมีนายพัฒนา จาติเกตุ อุปนายกสภาทนายความฝ่ายกิจการพิเศษรับเรื่องไว้
นายพัฒนา กล่าวว่า ยายษิทรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่อง เคยได้รับการแจ้งจากศาลเกี่ยวการแต่งกายที่ไม่สุภาพ เช่น สวมเสื้อยืดคอกลม กางเกงยีนส์ในบริเวณศาล รวมถึงได้เห็นจากการที่พาลูกความออกสื่อ ข่มขู่คู่กรณี ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ซึ่งจะต้องถูกสอบสวนชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยหากพบว่าผิดก็จะถูกดำเนินการตามมรรยาททนายความ
“การออกสื่อบ่อยๆ เป็นการสร้างราคาให้ตัวเองเพื่อให้มีงาน มีเงินมากกว่าเพื่อนทนายความคนอื่น ทำให้ทนายความท่านอื่นที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่โอ้อวด ได้รับผลกระทบ” นายพัฒนากล่าว
ด้านนายษิทรา โพสต์เฟซบุ๊ก “ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ” ระบุว่า “ไม่รู้หรอกนะว่าเสื้อตัวที่ผมใส่มันสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ใครหนักหนา แต่ทั้งหมดในการทำงานมา เสื้อตัวนี้สร้างรอยยิ้มให้ผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คนรอบข้างผมภูมิใจ ผมมีโอกาสได้เป็นผู้ริเริ่มการทำ โครงการพี่สอนน้อง และได้ให้ความรู้เยาวชนมาแล้วกว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ หากวันนี้ผมจะถูกลบชื่อออกเพียงเพราะมีคนไม่ชื่นชอบเสื้อของผม ถ้าสภาทนายความจะมองว่าเสื้อของผมผิดมารยาททนายผม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็พร้อมจะน้อมรับ ผมก็ยังคงภูมิใจ และไม่ว่าจะมีหัวโขนนำหน้าชื่อว่าอะไร ผมสัญญากับคนไทยว่า จะยังทำทุกอย่างตามสถานะเพื่อความเป็นธรรมให้มีอยู่ในสังคมไทย”
