ค่อยๆ คืบไปทีละนิดๆ สำหรับขั้นตอนการปฏิรูปตำรวจ โดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ที่มี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอาจารย์เก่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มีการทำทำประชาพิจารณ์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปตำรวจ 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 เพื่อเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าทีี่ตำรวจในการตรวจสารพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอเพื่อเป็นหลักฐานทางคดี
การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ….และ การตรา พ.ร.บ.อำนาจในการดำเนินคดีอาญาเพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจ ตามกฎหมาย 28 ฉบับดำเนินการต่อไป เพื่อให้รัฐมนตรีของกระทรวงต่าง ๆ ผู้รักษาการตามกฎหมายนั้น ๆ มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเหล่านั้น เมื่อรับโอนภารกิจมาจากตำรวจแล้ว
ทั้ง 3 เรื่องนี้ ประเด็นที่อยู่ในความสนใจมากที่สุด ก็คือการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจ ดีเอ็นเอ.นั่นเอง
นั่นเพราะการทำคดีของตำรวจในปัจจุบัน ดีเอ็นเอ กลายเป็นหลักฐานเด็ดที่จะชี้ขาดว่าใครผิดใครถูกไปแล้ว ถ้าไม่มีดีเอ็นเอมาประกอบก็ดูเหมือนว่า การทำคดีไม่มีความคืบหน้า
ตัวอย่างเช่น คดี พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ อดีตรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหลบหนีออกไปชายแดน ไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลคดีจำนำข้าว ซึ่งจากการตรวจหาดีเอ็นเอในรถ ที่ใช้เป็นพาหนะพาหลบหนีนั้นไม่สามารถระบุได้ว่ามีดีเอ็นเอใครอยู่บ้าง ทำให้ไม่สามารถเอาผิด พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ฐานพาผู้ต้องหาหลบหนีได้ จึงเอาผิดได้แต่ข้อหาทางวินัยและการใช้รถยนต์ผิดกฎหมายเท่านั้น
หรือคดีลอตเตอรี่อลเวง 30 ล้านบาทในจังหวัดกาญจนบุรี ที่เกิดการแย่งชิงกรรมสิทธิ์กันระหว่าง นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการ กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ เมื่อมีการตรวจหาดีเอ็นเอ.ที่สลากกินแบ่งแล้วปรากฏว่าไม่สามารถตรวจหาได้ ทำให้คดีที่ดูเหมือนว่าไม่มีความซับซ้อนนี้ต้องยืดเยื้อเป็นมหากาพย์ต่อเนื่องมาอีกหลายเดือน
หรือแม้กระทั่งคดีล่าสุด นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวก เข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่มีหลักฐานเด็ดที่จะมัดตัวนายเปรมชัยก็คือ กองอุจจาระที่พบอยู่ใกล้จุดที่มีการแล่เนื้อสัตว์ที่เชื่อว่าเป็นของนายเปรมชัย ซึ่งได้มีการส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานเพื่อนำไปตรวจดีเอ็นเอแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในการใช้สารพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอมาเป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดีนั้น ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมไว้เมื่อปี พ.ศ.2551 และมีข้อความว่า
“มาตรา 131/1 ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามมาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ หรือเอกสารใด ๆ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หากการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง จำเป็นต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกายจากผู้ต้องหา ผู้เสียหายหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้ แต่ต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น และผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องให้ความยินยอม หากผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายกระทำการป้องปัดขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ที่หากได้ตรวจพิสูจน์แล้วจะเป็นผลเสียต่อผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายนั้น แล้วแต่กรณี
ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือสำนักงานอัยการสูงสุด แล้วแต่กรณี กำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง”
อย่างไรก็ตาม การตรวจดีเอ็นเอตามมาตรา 131/1 ดังกล่าว ยังถือว่ามีข้อจำกัด เนื่องจากให้เจ้าหน้าที่สามารถทำได้ในคดีอาญาที่มีโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปีขึ้นไป และจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่จะถูกตรวจดีเอ็นเอ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงได้เสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ขอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นได้ ทุกคดี โดยไม่จำกัดอัตราโทษและไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายโดยให้ใช้ประโยชน์จากพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 258 ง.(4) กำหนดให้ดำเนินการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม
ปัจจุบัน การกำหนดให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจตรวจเก็บ ดีเอ็นเอได้เฉพาะจากผู้ต้องหาที่กระทำความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี และโดยต้องได้รับความยินยอมเท่านั้น เป็นข้อจำกัดทำให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเพื่อนำมาพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารกับสังคม ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เปิดเผยว่า ข้อความที่ สตช.ขอให้แก้ไขเพิ่มเติมลงในมาตรา 131/1 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีดังนี้
“ในกรณีการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรม หรือส่วนประกอบของร่างกาย จากผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือส่วนประกอบของร่างกายจากผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ในการเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจตรวจเก็บจากเยื่อบุกระพุ้งแก้มของผู้ต้องหาผู้เสียหาย หรือผู้เกี่ยวข้องได้ด้วย และต้องกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุด และต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น”
ซึ่งหลังจากที่มีการประมวลความเห็นที่ได้จากการประชาพิจารณ์แล้ว จะได้มีการจัดทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 131/1 วรรคสอง ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อเสนอเข้าสู่กระบวนการตรากฎหมายตามขั้นตอนต่อไป