xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่าอาณาจักร “อัสสัมชัญ ABAC เซนต์คาเบรียล” ผลประโยชน์และความขัดแย้ง(พันล้าน)??!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรยากาศการรวมตัวกันของนักเรียนและผู้ปกครองโรงเรียนเซนต์คาเบรียลเพื่อเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของผู้บริหาร
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงไม่ใช่เรื่อง “ปกติ” ที่เกิดความวุ่นวายกับ “โรงเรียน” ภายใต้การบริหารงานของ “มูลนิธิเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย” และ “คณะภราดาเซนต์คาเบรียล” ถึง 3 โรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก “รร.อัสสัมชัญ บางรัก” ตามต่อด้วย “มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ” หรือ “เอแบค” และล่าสุดกับ “โรงเรียนเซนต์คาเบรียล”

แถมแต่ละเหตุการณ์ความวุ่นวายยังมีความพัวพันเกี่ยวกับเรื่อง “การบริหารงานที่มีปัญหา” และ “ผลประโยชน์” ก้อนใหญ่ทั้งสิ้น จนเกิดความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนในเครือของคณะภราดาเซนต์คาเบรียลที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชน และเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อคนยากจน ตามจิตตารมณ์ของนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต ผู้ก่อตั้ง

โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่ “โรงเรียนเซนต์คาเบรียล” ซึ่งสังคมให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องเพราะ “ศิษย์เก่า” ของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสี่ยงทั้งสิ้น กระทั่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน” ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รวมกระทั่งถึง “เสี่ยคราม-ปัฐวาท สุขศรีวงศ์” เพื่อนรักของเสี่ยป้อมแห่งอาณาจักรคอมลิงก์ ผู้ที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาสารพัดเรือน

ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบลึกลงไปก็พบว่า ณ ปัจจุบัน “มูลนิธิเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย” เป็นเจ้าของกิจการโรงเรียนนับเป็นสิบๆ โรงเลยทีเดียว และแต่ละโรงก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น

ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน และอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่สังคมอาจไม่ถึงก็เป็นได้
กล่าวสำหรับคณะเซนต์คาเบรียลนั้น เมื่อแรกมุ่งให้การศึกษาแก่เยาวชนในระดับต้นๆไม่เกินชั้นมัธยมปลาย และคณะภราดาเป็นผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนด้วย โดยมีครูสามัญไม่มากนัก จากนั้นได้ขยายสถาบันการศึกษาในเครือออกไป ทั้งระดับพาณิชยการและระดับอุดมศึกษา โดยอธิการสถาบันการศึกษาในเครือจะมีการผลัดเปลี่ยนกันจะอยู่ในตำแหน่งได้ติดต่อกันไม่เกิน 2 เทอมๆ ละ 3 ปี จากนั้นจะหมุนเวียนกันทั้ง 14 แห่ง บางที่ก็ผลัดเปลี่ยนคนใหม่มา ซึ่งก็แล้วแต่คณะกรรมการของทางมูลนิธิ

และด้วยกระแสความนิยมในการเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับจนสถานที่ที่มีอยู่เริ่มไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการที่มากล้นนั้นได้ ทำให้มีผู้ที่ผิดหวังจากการที่ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญนี้ เป็นจำนวนมาก การเคลื่อนตัวจากบางรัก ซึ่งเป็นชุมชน ชาวต่างชาติจากตะวันตก และคาทอลิกขนาดใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ มาสู่การเปิดสถานศึกษาแห่งที่ 2 ของคณะเซนต์ คาเบรียลจึงเกิดขึ้น และนั่นคือจุดเกำเนิดของโรงเรียนเซนต์ คาเบรียล (St.Gabriel's College : SG) ที่สามเสนในปี ค.ศ.1920 หรือเพียงเวลาไม่ถึง 20 ปี นับจากการเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทยของคณะเซนต์คาเบรียล ในประเทศไทย

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ต้องใช้ชื่อ เซนต์คาเบรียล ในขณะนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาไทยสมัยนั้น ที่ไม่อนุญาตให้มีโรงเรียนใช้ชื่อเดียวซ้ำซ้อนกัน โรงเรียนของคณะเซนต์ คาเบรียล จึงเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น ที่เซนต์คาเบรียล สามเสน หรือมงฟอร์ต เชียงใหม่ ก่อนที่ข้อกำหนดนี้จะถูกยกเลิกไปในเวลาต่อมา จึง เกิดมีโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์, อัสสัมชัญศรีราชา และโรงเรียนอัสสัมชัญอื่นๆ ที่คณะภราดาสร้าง ขึ้นในระยะหลังจากนั้นซึ่งต่างใช้ชื่ออัสสัมชัญทั้งสิ้น
ภราดา วินัย วิริยวิทยาวงศ์
ปัจจุบัน คณะเซนต์คาเบรียลมีโรงเรียนในสังกัดกระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา โรงเรียนเซนต์หลุยส์ ที่ฉะเชิงเทรา โรงเรียนอัสสัมชัญ ลำปาง โรงเรียนอัสสัมชัญ ระยอง โรงเรียนอัสสัมชัญ อุบลราชธานี โรงเรียนอัสสัมชัญ นครราชสีมา โรงเรียนอัสสัมชัญ สำโรง เป็นต้น

จากนั้นได้มีการการพัฒนาหลักสูตรของอัสสัมชัญพาณิชยการ พื่อก้าวไปสู่การเปิดเป็นวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ ในปี ค.ศ.1969 ก่อนที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เมื่อปี ค.ศ.1990

การบริหารงานของภราดาคณะเซนต์คาเบรียลในประเทศไทย นับจากปี ค.ศ.1901 จวบจนปัจจุบันหรือเพียง 100 ปีที่ผ่านมานั้น หากวัดผลความสำเร็จ โดยใช้จำนวนสถาบันในเครือที่ครอบคลุมการศึกษา ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ และอุดมศึกษา มีนักเรียนนักศึกษาในการดูแลไม่ต่ำกว่า 60,000 คนในแต่ละปี เป็นมาตรวัดแล้ว กล่าวได้ว่า ภารกิจของภราดาคณะเซนต์คาเบรียล ก้าวหน้าจากจุดเริ่มต้นอย่างมาก
ทว่า ท่ามกลางความก้าวหน้า ในระยะหลังๆ กลับปรากฏข่าวคราวความขัดแย้งออกมามากมาย

โดยปัจจุบัน “ คณะภราดาเซนต์คาเบรียล” ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด ประกอบไปด้วย ภราดา สุรสิทธิ์ สุขชัย เป็นอธิการเจ้าคณะแขวงประเทศไทย และประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ภราดา วินัย วิริยวิทยาวงศ์ ภราดา ศักดา สกลธวัฒน์ ภราดาชำนาญ เหล่ารักผล ภราดา พิสูตร วาปีโส และภราดา เดชาชัย ศรีพิจารณ์

ทั้งนี้ คณะภราดามีอำนาจหน้าที่พิจารณาและตัดสินในทุกเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาในเครือทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายและการบริหารจัดการ
    ภาพความไม่เหมาะสมของภราดรา วินัย ที่ถูกนำมาเผยแพร่
ร่องรอยของความขัดแย้งลำดับแรกซึ่งปรากฏต่อสาธารณชนเกิดขึ้นที่ “โรงเรียนอัสสัมชัญ” บางรัก เมื่อปี 2556 หลังปรากฏข่าวจากเว็บไซต์ของทางโรงเรียนแจ้ง ขอประกาศปิดเรียนในวันที่ 25 ม.ค. 56 ถึง 1 ก.พ. 56 โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากมีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อโรงเรียน วางแผน และนัดหมายจะเข้ามาก่อความวุ่นวาย ภายในบริเวณโรงเรียน จนอาจถึงขั้นที่โรงเรียนไม่สามารถดูแลความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนักเรียนได้ ตลอดจนความเสียหายที่จะเกิดต่อทรัพย์สินของสถาบัน

ประกาศฉบับดังกล่าวลงนามภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ในฐานะ ผอ.โรงเรียนอัสสัมชัญ

กลุ่มศิษย์เก่าอัสสัมชัญที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มกู้อัสสัมชัญ” ซึ่งเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อกรณีที่มีข่าวว่า ภราดา อานันท์ ปรีชาวุฒิ ผู้อำนวยการโรงเรียน บริหารงานโดยไม่โปร่งใส ทำให้ครูส่วนหนึ่งออกมาแต่งชุดดำประท้วงให้ลาออก โดยความไม่โปร่งใสได้แก่ การควบรวมกิจการโรงเรียนของสองโรงเรียนเข้าด้วยกัน, การขายที่ดินของโรงเรียน และการไม่ปรับขึ้นเงินเดือนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนตามที่กฎหมายกำหนด

ในครั้งนั้น เหตุเกิดเริ่มต้นขึ้นหลังจากมีความพยายามในการลงทุนครั้งใหญ่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ไปลงทุนสร้าง โรงเรียนอัสสัมชัญ ภาคภาษาอังกฤษ ที่พระราม 2 คลองโคกขาม ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยเข้าไปซื้อที่ดินจำนวน 231 ไร่ ใกล้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2552 และตั้งเป้าจะสร้างเสร็จร้อยละ 75 ในปี พ.ศ. 2558

การลงทุนครั้งสำคัญของโรงเรียนอัสสัมชัญเป็นผลทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง นักเรียน ศิษย์เก่า หลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเดิมทีมีความพยายามจะออกบอนด์กู้เงินจากผู้ปกครองทั่วไปแต่เกิดการต่อต้านอย่างหนัก สุดท้ายจึงได้แต่กู้เงินจากผู้ปกครองที่มีนักเรียนเรียนในภาคภาษาอังกฤษเท่านั้น รวมถึงข้อสงสัยกรณีที่มีกระแสข่าวว่าโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกมัธยมต้องยืมเงินจากแผนกประถม หรือการขึ้นค่าเทอมหรือค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้น หรือความพยายามให้นักเรียนภาคภาษาอังกฤษที่เดิมเรียนอยู่แผนกประถม (เซนต์หลุยส์ ซอย 3) และมัธยม (บางรัก) ต้องย้ายไปเรียนอัสสัมชัญที่พระราม 2 ทั้งๆที่ระยะทางห่างกันไกลถึงกว่า 30 กิโลเมตร จนเกิดการต่อต้านจากผู้ปกครองอย่างหนัก หรือการเปลี่ยนหลักคิดให้โรงเรียนภาคภาษาอังกฤษของอัสสัมชัญให้เป็นโรงเรียนสหเพราะมีนักเรียนไปเรียนไม่มากพอ ฯลฯ

ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา ประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย(ในขณะนั้น) พร้อมด้วย ภราดาอานันท์ ได้ออกมาชี้แจง กรณีการยุบรวมรร. ขายที่ดิน และการเลิกจ้างครู โดยชี้แจงว่าทางโรงเรียนต้องดำเนินการเรื่อง ตราสารจัดตั้งฉบับเดียวกัน ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้ทุกโรงเรียนจัดทำ คือตามกฎหมายเมื่อ โรงเรียนมีการแยกแผนกประถม-มัธยม นั้นหมายความว่าจะต้องแยกเป็น 2 โรงเรียน แต่ทางโรงเรียนต้องการคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของอัสสัมชัญที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงรวมทั้งสองแผนกเข้าด้วยกันและใช้ชื่อว่า โรงเรียนอัสสัมชัญ เพียงแค่ตัดคำว่าแผนกประถมออกไป สถานที่ตั้งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
  เมื่อครั้งที่คณะครูอาจารย์โรงเรียนอัสสัมชัญและทุกโรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ประมาณ 300 คน รวมตัวกันเดินทางมายื่นหนังสือ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ หลังถูกยกเลิกเงินบำนาญเลี้ยงชีพสำหรับครูวัยเกษียณ
ในส่วนของโรงเรียนอัสสัมชัญพระราม 2 จัดตั้งเพื่อรองรับนักเรียน English Program ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยุบรวมโรงเรียนย่านบางรักเพื่อย้ายมาเรียนที่นี่ พร้อมยืนยันว่ามีการดูแลสวัสดิการครูเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดีในที่สุด มูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยก็ได้มีคำสั่งที่ 1/2556 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ ลงวันที่ 29 มกราคม 2556 ให้พักการปฏิบัติหน้าที่ของ ภราดา อานันท์ ปรีชาวุฒิ ในฐานะผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

พร้อมแต่งตั้งให้ ภราดา สุรสิทธิ์ สุขชัย ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

ทั้งนี้ ปัจจุบัน โรงเรียนอัสสัมชัญ มีภราดา ดร.เดชาชัย ศรีพิจารณ์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ขณะที่ ภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ถูกย้ายไปเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา

ความขัดแย้งที่อึกทึกครึกโครมต่อมาก็คือ กรณี “อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ” ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2558 โดยมีตัวละครสำคัญคือ “ภราดา บัญชา แสงหิรัญ” และ “ดร.สุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล” ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งอธิการบดี และขัดแย้งกันอย่างหนักถึงขั้นมีการล็อกกุญแจประตูมหาวิทยาลัยกันเลยทีเดียว จนศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันและสังคมต่างพากันสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นถึงได้ทะเลาะกันวุ่นวายขนาดนี้

บ้างก็ว่า มีความพยายามในการโค่นล้มกลุ่มอำนาจเก่า โดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง

บ้างก็ว่า เป็นเรื่องของความไม่โปร่งใสในการบริหารจนนำมาสู่ความขัดแย้ง

ทว่า ก็ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนว่า ใครผิด ใครถูก ใครสร้างปัญหา และ “ภราดา บัญชา แสงหิรัญ” ก็ยังคงเป็นอธิการบดีเอแบคอยู่ในปัจจุบันเหมือนเดิม ซึ่งมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า อำนาจการบริหารยังคงอยู่ในมือของ “คณะภราดา” โดยที่บุคคลอื่นหรือกลุ่มอำนาจอื่นมิอาจสั่นคลอนได้
  ฝีแตกครั้งแรกที่ รร.อัสสัมชัญ
  ความวุ่นวายที่ ABAC ซึ่งถึงขั้นมีการล็อกกุญแจประตูเข้ามหาวิทยาลัย
ปัญหาของกลุ่มโรงเรียนในเครือคณะเซนต์คาเบรียลคลี่คลายลงไปได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วอยู่ๆ ช่วงเช้าของวันที่ 2 ธันวาคม 2560 “ฝีก็แตก” และเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคณะครูอาจารย์โรงเรียนอัสสัมชัญและทุกโรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ประมาณ 300 คน รวมตัวกันเดินทางมายื่นหนังสือพร้อมอัญเชิญธงเอซี หน้ามูลนิธิฯ ที่ซอยทองหล่อ ตามปฏิบัติการ Black Saturday เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ หลังถูกยกเลิกเงินบำนาญเลี้ยงชีพสำหรับครูวัยเกษียณ

ดร.สิทธิชัย ปริญญานุสรณ์ ตัวแทนศิษย์เก่า ในนามโฆษกคณะทำงานระบุว่า มีความประสงค์เดินทางมายื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อภราดา สุรสิทธิ์ สุขชัย ประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย เนื่องจากได้รับผลกระทบที่มองว่าไม่เป็นธรรม ในกรณีที่มีการแก้ไขระเบียบข้อบังคับที่ลดทอนสวัสดิการที่ครูควรได้รับ รวมถึงสำหรับครูวัยเกษียณที่ไม่สามารถเลือกรับบำเหน็จบำนาญได้ด้วยตัวเอง แต่ทางมูลนิธิฯ จะเป็นผู้กำหนดให้ ซึ่งถือเป็นสวัสดิการที่คณะครูควรได้รับ และควรเป็นสิทธิที่สามารถตัดสินใจเลือกได้เอง ซึ่งตามระเบียบเดิมที่ครูเข้าทำงานตั้งแต่ปี 2534 เมื่อครูเกษียณแล้วสามารถตัดสินใจเองได้

ทั้งนี้ ได้เรียกร้องให้มูลนิธิคำนึงถึงข้อเรียกร้องของครูควรจะได้รับคือ ขอให้คืนสิทธิเกี่ยวกับสวัสดิการต่างๆ ให้คณะครู โดยแนวทางหลังจากนี้ หลังจากภราดาสุรสิทธิ์ไม่ออกมารับข้อเสนอ หรือไม่ส่งตัวแทนมาร่วมเจรจานั้น ก็จะเดินหน้าดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรม พร้อมเรียกร้องไปยังศาลแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการตามขั้นตอนต่อไป

ขณะที่นางภควิภา แย้มศรี ตัวแทนครูอัสสัมชัญแผนกมัธยมระบุว่า หลังมูลนิธิออกประกาศข้อบังคับ พร้อมยกเลิกสิทธิประโยชน์ในการเลือกรับบำนาญแต่เป็นเงินบำเหน็จแทนโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้านั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อลูกจ้าง เนื่องจากครูที่เกษียณต้องมีภาระค่าใช้จ่าย รมถึงกรณีดังกล่าวถือเป็นการบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน และมีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาทำงานอนาคต จึงขอความเมตตาในการคืนสิทธิสวัสดิการให้แก่ครูอาจารย์ในเครือทั้งหมด เพื่อความมั่นคงในอาชีพและชีวิต พร้อมถือเป็นกำลังใจในการทำงานและสอนนักเรียนให้มีประสิทธิภาพต่อไป

ประเด็นนี้สร้างความสั่นสะเทือนอยู่ไม่น้อย เพราะผู้ที่ออกมาประท้วงเป็นครูของโรงเรียนเครือทั้งสิ้น และที่ผ่านมาสังคมก็รับรู้ว่า รายได้จากการจัดการศึกษาน่าจะมีเป็นจำนวนไม่น้อย แล้วเหตุอันใดครูถึงไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควรจะเป็น

ทว่า ขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่ชัดแจ้งว่า เรื่องราวดำเนินไปถึงไหนแล้ว

กล่าวสำหรับความขัดแย้งล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ “โรงเรียนเซนต์คาเบรียล” นั้น เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อชาวเลือดน้ำเงิน-ขาว ทั้งผู้ปกครองและนักเรียนรวมตัวชุมนุมที่สนามมาร์ตินเดอร์ตูรส์ พร้อมกับเรียกร้องให้ “ภราดผศ.ดร.วินัย วิริยวิทยาวงศ์” ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน พ้นจากตำแหน่ง หลังพบความไม่ชอบมาพากลในการบริหารงบประมาณและพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม ใน 3-4 ประเด็นหลักๆ ด้วยกันคือ 1. เรื่องโภชนาการของเด็กที่ด้อยคุณภาพ 2. งบประมาณที่ระดมทุนจากผู้ปกครองไปในกิจกรรม ถูกนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม 3. คุณภาพของผลสัมฤทธิ์การศึกษา เช่น การสอบโอเน็ต ตกต่ำอย่างชัดเจนและ 4.พฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นนักบวช เป็นต้น

ในที่สุด ภราดา ผศ.ดร.วินัยก็ตัดสินใจประกาศยุติบทบาทและทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียน พร้อมทั้งทำจดหมายแสดงความจำนงไปยังมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย

“ผมยินดีให้ตรวจสอบในทุกเรื่องที่เป็นประเด็น และเพื่อความสบายใจให้ผมถอย ผมก็ยินดี เห็นไหมผมไม่ใช่คนดื้อรั้น คนในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลมีทั้งหมดกี่พันคน โรงเรียนยังมีประชากรอีกกว่า 80% ที่ไม่ได้มาในวันนี้ ถ้าบุคคลเหล่านั้นมาบอกว่าให้ผมอยู่จะทำอย่างไร” ผอ.โรงเรียนเซนต์คาเบรียลกล่าว ท่ามกลางเสียงตะโกนขับไล่ให้ “ออกไป” ดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง

กระนั้นก็ดี ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในเครือของมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยที่ปรากฏออกมาเป็นระยะๆ ได้สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารงานของมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยน่าจะมีปัญหาจริงๆ

แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่า สุดท้ายแล้วปัญหาจะลงเอยอย่างไร ใครจะเป็นผู้แก้ปัญหา แต่ถ้าหากยังไม่มีการ “ปฏิรูปครั้งใหญ่” อีกไม่นาน ปัญหาก็จะปะทุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น...




กำลังโหลดความคิดเห็น