xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดเครือข่ายไซด์ไลน์ “พุ่มพันธุ์ม่วง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ว่า “บิ๊กอ๊อด” จะออกมาขอโทษขอโพยเรื่องให้สัมภาษณ์ว่า “ตำรวจเป็นอาชีพไซด์ไลน์” อย่างไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้คนในทุกแวดวง โดยเฉพาะคนที่รู้จัก “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั้น รู้อยู่แก่ใจว่า อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ที่ปัจจุบันนั่งเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คือ “เซียนหุ้นและเซียนพระ” ตัวจริงเสียงจริง

เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่เสี่ยอ๊อดจะรู้จักคุ้นเคยกับ “นายกำพล วิระเทพสุภรณ์” แห่งวิคตอเรียซีเครท ถึงขนาดหยิบยืมเงินจำนวน 300 ล้านบาทมาใช้ได้ เพราะทั้งเสี่ยกำพลและบิ๊กอ๊อดล้วนแล้วแต่เป็น “ขาใหญ่” อยู่ทั้งในวงการพระ และวงการหุ้นทั้งคู่

มีชื่อเสียงชนิดที่เมื่อ SEARCH ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะสามารถพบเห็นความโยงใยของเสี่ยกำพลและเสี่ยอ๊อดได้ในทันที
  พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงกับพระกริ่งปวเรศ
โดยเฉพาะวงการพระเครื่องนั้น ทั้งเสี่ยอ๊อดไซด์ไลน์และเสี่ยกำพลเจ้าของอ่างล้วนแล้วแต่จัดอยู่ในขั้น “เซียนระดับประเทศ” เพราะพระเครื่องพระบูชาสวยๆ องค์ระดับ “ตำนาน” ของประเทศที่หลายคนปรารถนามีไว้ในครอบครองก็ล้วนแล้วแต่ผ่านมือของเพื่อนรักทั้งสองคนมาแล้วทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นระดับ “รังพระ” ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

ยกตัวอย่างเช่น พระกริ่งปวเรศ ซึ่งสร้างโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร พระกริ่งอันดับ 1 ของประเทศ ก็เคยอยู่ในมือของ “เซียนอ๊อด” มาแล้ว หรือพระปิดตา หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี 1 ในเบญจภาคีพระปิดตา ก็เคยอยู่ในมือของ “เซียนกำพล” มาแล้วเช่นกัน

เสี่ยกำพลมีเงินอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก

เสี่ยอ๊อดก็มีเงินอยู่ในมือเป็นจำนวนไม่น้อย และยังมีบารมีในแวดวงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถึงขนาดขึ้นเป็น ผบ.ตร.

และด้วยความที่เสี่ยอ๊อดไซด์ไลน์เป็นนายตำรวจใหญ่ เป็นนักเล่นหุ้นและเป็นผู้มีรสนิยมในการสะสมพระเครื่องนี้เองจึงได้ทำให้วงจรชีวิตโคจรมาบรรจบกับ “เสี่ยกำพล” และทั้งพระทั้งหุ้นก็คือสิ่งที่ผสานความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกัน

ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ ในอดีต พระเครื่องถูกใช้เพื่อการใด ในปัจจุบันก็ยังคงทำหน้าที่นั้นอย่างไม่เสื่อมคลาย เฉกเช่นเดียวกับเรื่องหุ้นที่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เพราะฉะนั้น ชีวิตของนายกำพลและ พล.ต.อ.สมยศมาเจอกันได้อย่างไร จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะต่อจิ๊กซอว์ให้เห็นภาพ เพราะเงินที่ถูกผ่องถ่ายเข้าสู่ทั้งสองวงการสำหรับ “คนกลุ่มหนึ่ง” ล้วนแล้วแต่มี “เป้าหมาย” เดียวกัน

วิถีแห่ง “เซียนพระ”
กล่าวสำหรับบิ๊กอ๊อด ที่หลายคนอยากเรียกว่า เสี่ยอ๊อดนั้น ชีวิตของเขาจะไม่มีทางเดินทางมาถึงจุดนี้ได้เลยถ้าไม่มีผู้ชายที่ชื่อ “มนตรี พงษ์พานิช” นักการเมืองรุ่นลายครามแห่งพรรคกิจสังคม อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง เพราะเสี่ยอ๊อดเคยเป็นตำรวจติดตามนายมนตรีมาก่อน และแม้วันนี้นายมนตรีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่สายสัมพันธ์ของความเป็นนายและลูกน้องก็ยังคงเหลืออยู่ โดยเฉพาะกับ “คุณหญิงธิดา พงษ์พานิช” ผู้เป็นนายหญิง
  พระ 12องค์ที่ พล.ต.อ.สมยศยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไว้กับ ป.ป.ช.เมื่อปี 2557 เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สนช.
แน่นอน นอกจากเรื่องความเก๋าทางการเมืองของนายมนตรีที่มีส่วนสำคัญทำให้ พล.ต.อ.สมยศมีวันนี้แล้ว ในแวดวงพระเครื่องนายมนตรีก็คือนักสะสมพระตัวยงที่มีพระสวยๆ ชั้นครูและ “พระระดับตำนาน” อยู่ในมือมากมาย และองค์สำคัญๆ ที่ยังคงเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ สมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์เกศบัวตูม องค์ที่ถูกจารึกว่าเป็นพระในตำนาน เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์เกศบัวตูมที่งดงามมากที่สุดตั้งแต่มีปรากฏมาและยังคงเป็นแชมป์อยู่อย่างนี้มานาน 50 - 60 ปี ขณะที่อีกองค์หนึ่งก็คือ สมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามพิมพ์ใหญ่ องค์ขุนศรี

พระทั้งสององค์เคยตกอยู่ในความครอบครองของ กฤตย์ รัตนรักษ์ แห่งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะย้ายมาซบรังของ นิยม อสุนี ณ อยุธยา นักสะสมพระเครื่องที่ใหญ่มากที่สุดในประเทศไทยสมัยหนึ่ง ที่นิมนต์สมเด็จองค์แชมป์โลกทั้งสององค์มาในราคาที่สูงมากที่สุดในยุคนั้น และเป็นเจ้าของบูชาพระสมเด็จทั้งสององค์นี้มาอีกหลายปี จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ในมือของนายมนตรี พงษ์พานิช ซึ่งเจรจาขอเช่าพระสมเด็จทั้งสององค์มาในราคาที่ต้องจัดมา “ท่วมโลก” เลยในสมัยนั้นอีกเช่นกัน ก่อนที่ในปัจจุบันจะอยู่ในมือของ เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา แห่งคิงเพาเวอร์

และแน่นอนว่า พล.ต.อ.สมยศก็ย่อมที่จะได้เห็นและได้รู้จักผู้คนในแวดวงพระเครื่องมากมายผ่านผู้เป็น “นาย” ในฐานะนายตำรวจติดตาม

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ “ร่องรอย” ความเป็น “เซียนพระ” ของ “เสี่ยอ๊อดไซด์ไลน์” ก็จะพบว่าข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับพระเครื่องยอดนิยมมากมายที่อยู่ในความครอบครองของเขา ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะ “ตำรวจ” กับวงการพระเครื่องนั้นเดินอยู่ในเส้นทางสายเดียวกันมาตั้งแต่อดีตนับเนื่องถึงปัจจุบัน

กล่าวสำหรับเสี่ยอ๊อดตำรวจไซด์ไลน์นั้น พระในรังของเขาก็สร้างตำนานไม่แพ้ลูกพี่เก่าอย่างนายมนตรีแต่ประการใด โดย ในช่วงเข้ารับตำแหน่ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2557พล.ต.อ.สมยศได้แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ครอบครองทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) รวมมูลค่า 40 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีปืนถึง 7 กระบอก รวมมูลค่า 4 แสนบาท พระเครื่อง 12 องค์ 25 ล้านบาท

โดยพระเครื่องที่สะสมไว้ จำนวน 12 องค์ มูลค่า 25 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี องค์ที่สำคัญที่สุดที่ไม่อาจไม่เอ่ยถึงก็คือ พระกริ่งปวเรศ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเคยมีหลักฐานว่าเคยอยู่ในครอบครองของเขา 2 องค์ แต่กลับไม่ปรากฏว่าได้แจ้งไว้ในบัญชีแสดงทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ประการใด

โดยเฉพาะพระกริ่งปวเรศองค์แรกที่พล.ต.อ.สมยศเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่ามีติดตัวไว้นับเป็นสิบปี ซึ่งนั่นหมายความว่า ได้มาก่อนที่จะยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. อย่างไรก็ดีพระกริ่งปวเรศองค์นี้ พล.ต.อ.สมยศได้นำออกเปิดประมูลและย้ายรังจากบ้านพุ่มพันธุ์ม่วงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วถึง 34 ล้านบาท

ขณะที่พระกริ่งปวเรศองค์ที่สอง พล.ต.อ.สมยศได้มาหลังจากที่นำองค์แรกออกประมูลและเกิดความเสียดาย จึงไปตามหาองค์ใหม่มาบูชาอีกครั้ง

“พระองค์องค์นี้นั้นเป็นองค์ที่ 2 แล้ว องค์แรกได้ตัดสินใจนำไปประมูลในงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยาม มีคนประมูลไป 33 ล้านบาท ส่วนเงินที่ได้เอาไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา แต่พอหลังจากงานประมูลก็รู้สึกใจหาย เลยไปหาพระกริ่งปวเรศองค์ใหม่มาคล้องคอหลังจากจบงานประมูลไป 2 เดือน” เสี่ยอ๊อดเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

แน่นอน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครในบ้านนี้เมืองนี้จะมีพระกริ่งปวเรศอยู่ในมือถึง 2องค์ เพราะพระกริ่งปวเรศจัดสร้างในจำนวนที่ไม่มากนัก มีพุทธคุณสูง และผู้ศรัทธาในพระเครื่องทุกคนล้วนแต่ต้องการมีไว้ในครอบครอง ซึ่งส่งผลทำให้มีราคาค่างวดของพระกริ่งปวเรศเช่าหากันในระดับมากกว่า 20 ล้านขึ้นไป

ถึงตรงนี้ ประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ งานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยาม ซึ่งพล.ต.อ.สมยศนำพระกริ่งปวเรศของตนเองไปประมูลนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะสามารถเชื่อมโยงให้เห็นถึง “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ของตำรวจไซด์ไลน์ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

งานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยาม เเป็นงานประมูลพระเครื่องที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นงานที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เมื่อวันที่ 29 ก.ค.-2 ส.ค.2558 เมื่อครั้งที่เสี่ยอ๊อดยังอยู่ในเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยวัตถุประสงค์การจัดงานครั้งนี้ มาจากการที่ พล.ต.อ.สมยศ ต้องการจัดงานฉลองครบรอบวันเกิดอายุครบ 60 ปี และต้องการให้งานเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด จึงจัดงานเพื่อนำเงินไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา ซึ่งภายหลังจบงานมีได้รายได้จากการประมูลพระไปทั้งสิ้น 126,900,000 บาท
  พระกริ่งปวเรศของ พล.ต.อ.สมยศ และพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ที่นายกำพล วิระเทพสุภรณ์นำมาร่วมประมูล
และงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยามในครั้งนี้ คุณหญิงธิดา พงษ์พานิช ภรรยาของนายมนตรี พงษ์พานิช อดีตนายของ พล.ต.อ.สมยศก็นำพระเครื่องมาร่วมจัดแสดงด้วยเช่นกัน

โดยในช่วงการบริจาคพระเพื่อเข้าร่วมประมูล จพล.ต.อ.สมยศ ได้พูดเปิดใจเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตนเองสามารถขึ้นไปดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ได้ ท่ามกลางสาธารณชนโดยเฉพาะเซียนพระก่อนจะเกษียณอีก 3 เดือนว่า พระกริ่งปวเรศองค์ที่แขวนนี้เมตตาสุดๆ หรืออาจพูดได้ว่า พระกริ่งปวเรศทำให้ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยแขวนมากกว่า 10 ปีแล้ว แม้ว่าจะแสดงปาฏิหาริย์ช้า แต่เมื่อท่านแสดงปาฏิหาริย์ท่านก็แสดงแบบสุดๆ

“ผู้ที่ประมูลพระกริ่งปวเรศองค์นี้ไป หากเป็นตำรวจอาจจะได้เป็น ผบ.ตร. คนถัดไปต่อจากผมก็ได้ อันนี้ไม่แน่ ถ้าไม่มีใครอยากได้ผมอาจจะประมูลคืน เพราะเป็นพระที่ผมรักที่สุด แขวนมา 10 ปี ไม่เคยถอดจากคอเลยสักวันเดียว”
  บรรยากาศในงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยาม ซึ่งปรากฏภาพนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ ร่วมอยู่ด้วย
  นายกำพลและบิ๊กโจอี้ ลูกชาย เมื่อครั้งได้รับบัตรเชิญจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยให้ไปร่วมงานประกวดพระ
สำหรับที่มาของพระกริ่งปวเรศนั้น “บิ๊กอ๊อด” บอกว่า เช่ามาจาก “ต้า บางแค” ผู้ชำนาญการเรื่องพระเครื่องระดับแถวหน้าของวงการยุคปัจจุบัน โดยได้รับการแนะนำจาก นายกำพล วีระเทพสุภรณ์ เจ้าของรังพระชั้นนำของเมืองไทยโดยเช่ามาเมื่อกว่า 10 ปี ก่อนหน้านี้

“พระกริ่งปวเรศขึ้นชื่อว่ามีการทำปลอมมากที่สุด แม้ว่าตัวผมจะดูพระไม่เป็น ดูพระไม่รู้เรื่อง รู้เพียงว่าเขาเรียกว่าพระอะไรเท่านั้น แต่ผมมีวิธี โดยพึ่งสายตาเซียนชั้นนำของวงการพระเครื่องช่วยตรวจสอบ ชนิดเรียกว่าผ่านตาเซียนแบบเสียงเป็นเอกฉันท์” บิ๊กอ๊อด กล่าว

นั่นคือร่องรอยแรกที่ทำให้สังคมได้รับรู้ว่า พล.ต.อ.สมยศกับนายกำพลนั้นรู้จักกันมาเป็นเวลานานพอสมควร ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถเป็นผู้ให้คำแนะนำในการเช่าบูชาพระกริ่งปวเรศเมื่อกว่า 10 ปีอย่างแน่นอน

ว่ากันว่า พล.ต.อ.สมยศเช่าพระกริ่งปวเรศจากต้า บางแคมาในราคาถึง 15 ล้านบาทเลยทีเดียว

และงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยามในครั้งนั้น นายกำพลได้นำพระมาประมูลด้วย คือ พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัด เครือวัลย์ โดยผู้ที่ประมูลไปได้นั้นคือนายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร หรือเสี่ยเล้ง CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษา พัฒนา และวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ประมูลได้ไปในราคา 31,000,000 บาท จนถูกถามกันทั้งบ้างทั้งเมืองว่า...ใครหว่า

เป็นเสี่ยเล้งที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งเป็นกรรมการ บริษัท อควาคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) สปอนเซอร์รายใหญ่ของสโมสรฟุตบอลเชียงรายยูไนเต็ด

เป็นเสี่ยเล้งที่นั่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ปัญจลักษณ์พาสุข จำกัด เจ้าของ โรงละครดีลักษณ์ ซีเนมาติก เธียเตอร์ (D’LUCK CINEMATIC THEATRE) ใจกลางเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมี บิ๊กโจอี้-นายธนพล วิระเทพสุภรณ์ บุตรชายของเสี่ยกำพลนั่งเป็นกรรมการในบริษัทแห่งนี้ด้วย
  นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร หรือเสี่ยเล้ง ผู้ควักเงิน 31 ล้านเช่าพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์จากนายกำพล
เป็นบิ๊กโจอี้ที่เคยเป็นรองประธานสโมสรฟุตบอลเชียงรายยูไนเต็ด ซึ่งมี “ฮั่น-มิตติ ติยะไพรัช” บุตรชายของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” เป็นประธานสโมสร ก่อนที่บิ๊กโจอี้จะประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวครึกโครมของผู้เป็นบิดา

“สีกาอ่าง” คอลัมนิสต์พระเครื่องชื่อดังของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐบันทึกเอาไว้ในเดือนสิงหาคม 2559 หรือหลังจากชนะการประมูลพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ของเสี่ยกำพลว่า เสี่ยเล้งเป็นผู้ครอบครองพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์เจดีย์ที่เสี่ยกำพลนำเข้าสู่วงการเมื่อ 20 ปีก่อนในระดับราคา 20 ล้านบาท และพระรอดพิมพ์ใหญ่ เนื้อเขียวคราบแดง กรุวัดมหาวัน ลำพูนของ เดอะโจ๊ก ลำพูน พระรอดสวยหน้าใสใหม่ล่าสุดที่เข้าวงการเวลาที่ราคา 10 ล้านอัพ

นี่คือร่องรอยที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนโยงใยราวกับใยแมงมุมได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า การที่เสี่ยกำพลนำพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์มาประมูลเพื่อทำบุญร่วมกับ พล.ต.อ.สมยศนั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงระดับความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์นั้นมีมูลค่าสูง ถ้าอ้างอิงราคาจากผู้ชนะการประมูลในงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยามก็ตกอยู่ที่ 31 ล้านบาทเลยทีเดียว

ที่สำคัญคือพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์องค์นี้ เป็นพระที่เสี่ยกำพลรักมาก ตามประวัติบอกว่า เจ้าของเดิมชื่อ หมอวัลลภซึ่งเช่าต่อมาจากหมอที่ศิริราชอีกทีหนึ่ง โดยเสี่ยกำพลไปเจอในงานประกวดและว่ากันว่าขอเช่าต่อทันทีในราคาเกือบ 20 ล้านบาท โดยเมื่อครั้งที่นำมาร่วมประมูลเกิดเปลี่ยนใจและจะขอบริจาค 20 ล้านร่วมทำบุญแทน แต่ พล.ต.อ.สมยศไม่ยอมเพราะประกาศไปแล้วว่า มีพระปิดตาหลวงพ่อแก้วมาร่วมประมูลในงานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยามด้วย

ทั้งนี้ เสี่ยกำพลนั้นถือว่าอยู่ในวงการพระเครื่องมานาน เป็นที่รู้จักของผู้หลักผู้ใหญ่และผู้สะสมพระเครื่องกันเป็นอย่างดี เรียกว่า มีงานประกวดพระเครื่องครั้งสำคัญๆ จะต้องมี “เทียบเชิญ” เสี่ยกำพลไปร่วมเป็นเกียรติในงานทุกครั้งไป ยิ่งในหมู่ ตำรวจและทหารที่ชื่นชอบในทางสายนี้ ยิ่งต้องรู้จักชื่อของเสี่ยกำพลอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

ไม่เชื่อลองไปตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ของสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยดูก็ได้

ย้อนกลับไปที่งานนิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยามอีกครั้ง เพราะงานวันนั้น ผลการประมูลมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากกริ่งปวเรศของเสี่ยอ๊อดกับพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ของเสี่ยกำพลแล้ว ยังมีพระดังๆ ถูกนำมาประมูลเพื่อร่วมทำบุญอีกหลายองค์ และผู้ที่ชนะการประมูลก็ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น “มหาสังข์” ทักษิณาเวียนขวา ของ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ กนกศักดิ์ ปิ่นแสง ชนะการประมูลไปในราคา 2 ล้านบาท พระหลวงปู่ทวด พิมพ์ใหญ่ ไหล่จุด ของ พล.อ.ต.ตะวัน นาครทรรพ ที่นายสุเนตร บุรกสิกร ได้ไปในราคา 1.7 ล้านบาท พระหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ เนื้อว่าน พ.ศ.2497 ที่พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล ประมูลไปราคา 3 ล้านบาท ส่วนนายตัน ภาสกรนที ประมูลหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ พิมพ์หลังเตารีดใหญ่ จ.ปัตตานี ไป 5 ล้านบาท ขณะที่พระพุทธรูปยืน สมัยกำแพงเพชร ของต้อย เมืองนนท์ ราคาเริ่มต้น 500,000 บาท พล.ต.อ.สมยศประมูลได้ไป 2 ล้านบาท

พระสมเด็จฯบางขุนพรหม พิมพ์อกครุฑ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง ที่นายพงษ์ชัย เศรษฐีวรรณ กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ประมูลได้ไป 3.2 ล้านบาท ์พระกริ่งญาณวิทยาคม หลวงพ่อคูณปริสุทฺโธ วัดบ้านไร่เนื้อทองคำ ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่นายพงษ์ชัย ลิ้มทองสิทธิกุล หรือเสี่ยเหลียง เลขานุการนายไชยา สะสมทรัพย์ ประมูลไปที่ 7.5 ล้านบาท  เป็นต้น

รายชื่อที่ปรากฏข้างต้นจะเห็นได้ว่า พล.ต.อ.สมยศ มี “คอนเนกชัน” ในระดับที่ไม่ธรรมดา เพราะเชื่อว่าทั้งคนที่นำมาร่วมประมูลทำบุญและคนที่ชนะการประมูลเช่าพระกลับไป ย่อมมีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยอ๊อด

วิถีแห่ง “เซียนหุ้น”
ขณะที่ในทางสายหุ้น เสี่ยอ๊อดก็จัดเป็นนักเล่นหุ้นตัวจี๊ด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทต่างๆ มากมาย และมีความสัมพันธ์กับผู้คนในแวดวงพระเครื่องอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อครั้งที่เขาแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ในปี 2557 มีข้อมูลออกมาว่าเสี่ยอ๊อดมีรายได้ต่อปี(โดยประมาณ) ถึง 52,463,980 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 1,348,730.46 บาท 2.บมจ.ทุ่งคาฮาเบอร์ 20,000 บาท 3.บจก.เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) 39,095,250 บาท และ 4.บจก.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน วอเตอร์ 12,000,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 52,463,980 ล้านบาท

ส่วนความสัมพันธ์ของเสี่ยอ๊อดกับเสี่ยกำพลในเส้นทางสายนี้นั้น ที่เห็นชัดๆ ก็คือ บมจ. เอคิว เอสเตท (AQ) หรือชื่อเดิมที่คนในวงการหุ้นรู้จักกันดี นั่นคือ “กฤษดามหานคร” (KMC) หนึ่งในหุ้นที่สุดสวิงของตลาดหุ้นไทยจากการเป็นหนี้ก้อนใหญ่กับธนาคารกรุงไทย จนผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องโดนคดีเข้าคุกในวัยชราไปหลายคนหลังมีเงินไหลเข้าไปในกระเป๋าหลายร้อยล้านบาท รวมทั้งที่กำลังลุ้นระทึกว่าจะออกหัวออกก้อยอย่าง “เสี่ยโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” ผู้เป็นบุตรชายของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร

ก่อนหน้านั้น KMC พยายามแก้ไขปัญหาทางการเงินโดยเสนอขายหุ้น PP หรือขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงให้กับหลายกลุ่นทุน จนในที่สุด ก็มาถึงกลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วงที่ตอบรับการเพิ่มทุนจนเข้าไปถือครองอยู่ 2.5 พันล้านหุ้น คิดเป็น 19.73% หรืออันดับ 1 โดยขณะนั้น AQ มีมูลค่าซื้อขายตามราคาตลาดประมาณ 855 ล้านบาท และนับเป็นการใช้เครื่องมือวิศกรรมทางการเงินอย่างชาญฉลาดของ “พล.ต.อ. สมยศ” เพราะเมื่อไม่ได้ถือหุ้นเกิน 25% ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น

ในช่วงเวลานั้น (เม.ย. 2557) บิ๊กอ๊อดออกมาให้เหตุผลถึงการเข้าลงทุนใน AQ ว่า เป็นเพราะเล็งเห็นถึงโอกาส และมีความมั่นใจว่า ธุรกิจน่าจะเติบโตในทิศทางที่ดี และการเข้ามาลงทุนในหุ้น AQ ครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนระยะยาว ทำให้นักลงทุนหลายรายเชื่อมั่นกับกลุ่มทุนใหม่ และให้ความสนใจต่อ AQ จำนวนมาก

ทว่า เพียงแค่ 2 ปี กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วงก็ตัดขายหุ้น AQ ทิ้ง หลังสิงหาคม 2558 ราคาหุ้นบริษัทร่วงติดฟลอร์ ปิดลบ 0.12 บาท หรือ -30% จนทำให้นักลงทุนรายย่อยกว่าหมื่นรายขาดทุน หลังรับข่าวร้ายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ บมจ. กฤษดามหานคร (KMC) (ชื่อเดิมของ AQ) ต้องร่วมคืนเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ให้กับธนาคารกรุงไทย ในความผิดขออนุมัติสินเชื่อโดยทุจริต

ทั้งนี้ มีรายงานว่า “พล.ต.อ. สมยศ” ได้ตัดขายหุ้น AQ ออกไปจากพอร์ต 11.85% เหลืออยู่เพียง 3.95% และลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมด

แล้วถามว่า หุ้น AQ ไปเกี่ยวโยงกับ “เสี่ยกำพล” ได้อย่างไร?

ก็ต้องตอบว่า เจ้าพ่อวิคตอเรียซีเครทผู้นี้ คืออีกหนึ่งนักลงทุนที่รับซื้อหุ้น AQ จาก พล.ต.อ. สมยศโดยซื้อในจำนวน 500 ล้านหุ้น มูลค่า 250 ล้านบาท หรือ 3.95% นั่งเอง

บริษัทถัดมา คือ บมจ. โพลาริส แคปปิตัล (POLAR) หรือเดิม คือ บมจ. วธน แคปปิตัล หรือ WAT ซึ่งทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และทำตัวเป็นโฮลดิ้งคอมปานีเข้าซื้อหุ้นบริษัทอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้ บิ๊กอ๊อดถือครองหุ้น 7,500 ล้านหุ้น หรือ 14.20% เป็นหุ้นที่ได้รับจากการจัดสรรแบบ PP (อีกเช่นเคย) มูลค่าราว 270 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมี ลูกเอ๋อ-นางสาวชมกมล พุ่มพันธ์ม่วง บุตรสาวของ พล.ต.อ.สมยศเข้ามาถือหุ้น 2.5 พันล้านหุ้น มูลค่าราว 90 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มทุนดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นบนกระดานของ WAT มีความผันผวนมาก จนตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าต้องหลักเกณฑ์วางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนที่จะซื้อ (Cash Balance) แต่ต่อมา ในช่วงต้นปี 2558 กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ได้ทยอยตัดขายหุ้นออกไปจนหมด
  รชต พุ่มพันธุ์ม่วง บุตรชาย (ซ้าย) ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง บุตรสาว (ขวา)
ถัดมา คือ บมจ. เฟอร์รั่ม (FER) เดิมชื่อ บมจ. เอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น หรือ M-LINK ของ “มณฑาทิพย์ ชินวัตร” (พี่สาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ซึ่งปรากฏชื่อ “ลูกอ้าย-รชต พุ่มพันธุ์ม่วง” บุตรชายของ พล.ต.อ.สมยศถือหุ้นใหญ่ 10.07% โดยปัจจุบันมี น.ต.ศิธา ทิวารี นั่งเป็นประธานกรรมการ และมีนาย ชนินทร์ เกียรติทวีพงษ์ เป็นประธานกรรมการบริหาร

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี บมจ. สามารถ ไอ-โมบาย (SIM) ของตระกูล “วิไลลักษณ์” ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) ที่พบชื่อ “ลูกเอ๋อ ชมกมล” ถือครองในสัดส่วน 0.66% และปิดท้ายด้วย บมจ. ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี (WP) ซึ่งเป็นชื่อใหม่หลังการควบรวมระหว่าง บมจ. ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น หรือ PINIC และ “เวิลด์แก๊ส” หลังศาลล้มละลายกลางไฟเขียวออกจากการฟื้นฟู

แรกเริ่ม “สุริยา ลาภวิสุทธิสิน” ซึ่งมีหนี้สินกู้ยืมกับ “พล.ต.อ. สมยศ” และ ภรรยา “พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก” จึงโอนหุ้นของตนทั้งหมด 51% ใน บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ที่เป็นเจ้าของกิจการ “เวิลด์แก๊ส” ให้กับทั้งคู่ จากนั้นได้นำไปสู่ชนวนปัญหาการแย่งชิงสิทธิครอบครองในหุ้น มีการฟ้องดำเนินคดีจนตกเป็นข่าวคราวครึกโครม ก่อนท้ายที่สุด จะกลายเป็นกลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ได้สิทธิครอบครอง นำไปสู่การฟื้นฟูกิจการ PICNI และการควบรวมกิจการจนกลายเป็น WP ในปัจจุบัน

และแม้ขณะนี้ตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วงลดสัดส่วนการถือครองหุ้น WP โดยเหลืออยู่ไม่มากนัก เพียงแต่ผู้บุตรสาวของ พล.ต.อ.สมยศคือ “ชมกมล” ยังคงรั้งตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการและรักษาการรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวางแผนและบริหารองค์กร ดังปรากฏในเว็บไซต์ของทางบริษัท

ปัจจุบัน นอกเหนือจากหุ้นที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า ไม่มีชื่อ พล.ต.อ. สมยศ ถือหุ้นใด ๆ ในบริษัทจดทะเบียน แต่บุตรสาวของบิ๊กอ๊อด คือนางสาวชมกมลยังถือหุ้นบริษัทอื่น ๆ อีก ได้แก่ “บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง” (ETE) ถือครองตั้งแต่ 15 มี.ค. 2560 ในสัดส่วน 0.91% เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองนอกจากนายมนตรีแล้ว เป็นที่รับรู้กันว่า พล.ต.อ.สมยศสนิทสนมกับ นายเนวิน ชิดชอบ คนดังเมืองบุรีรัมย์ แต่ ณ เวลานี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ยังคงกลมเกลียวเหมือนเดิมหรือไม่

สนิทสนมกับพล.ต..อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งก็นิยมและสะสมพระเครื่องพระบูชาและมีพระในระดับตำนานอยู่ในความครอบครองเช่นกัน

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ สนิทสนมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และแน่นอนว่า ย่อมจัดว่าอยู่ในสายของมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ “เสี่ยป้อม” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.ต.อ.สมยศคือลูกน้องเก่าของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถม “หลังบ้าน” ของ พล.ต.อ.สมยศ” ที่ชื่อ “พจมาน” ยังมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “สมถวิล วงษ์สุวรรณ” ผู้เป็น “หลังบ้าน” ของ พล.ต.อ.พัชรวาทอีกต่างหาก

ถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่า ชะตากรรมของตำรวจไซด์ไลน์จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ซูเปอร์คอนเนกชันที่มีอยู่ในมือจะสามารถทำให้เสี่ยอ๊อด พุ่มพันธุ์ม่วงสามารถฝันฝ่าไปได้หรือไม่

แต่ที่แน่ๆ คือ วินาทีนี้บอกได้คำเดียวว่า “หนักหนาสาหัส” ยิ่งนัก

ขอขอบคุณ
ภาพและข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าวอิศราและหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




กำลังโหลดความคิดเห็น