xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ความสุขเฮือกสุดท้าย? ชำแหละปมเสี่ยง คสช.หล่นอำนาจ อย่าริอุ้มสมพวกพ้องลอยนวล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 สองพี่น้อง-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในวันที่ยังยิ้มได้
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นภาพที่คงเห็นกันได้ไม่บ่อย กับคิวที่ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควง “อาจารย์น้อง” นราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส นัดกันสวมใส่ชุดไทยย้อนยุค เดินทางเข้าชมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว ที่พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า เมื่อวันก่อน

ในอารมณ์ที่เหล่าเสนาบดีใน “รัฐบาลลายพราง” ต่างแช่มชื่น หัวร่อต่อกระซิก ตามบรรยากาศของงาน หากแต่ภาพฉาบเคลือบที่เต็มไปด้วยความสุขนั้น ก็ถูกจับตาว่าเป็นอารมณ์ “เสแสร้ง” แสดงความสุข ในภาวะขาลงอย่างต่อเนื่องของ “รัฐบาล คสช.” หรือไม่

ด้วยปมขัดแย้งภายใน “ประยุทธ์คาบิเนต” หมาดๆอย่างกรณีที่ “หมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ไปโพล่งกลางวงบรรยายเกี่ยวกับ “สามัญจิตสำนึก” กับนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษ ตามประสาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช-จิตวิทยา แต่กลับแวะข้างทาง “เหน็บแนม” ปม “โคตรนาฬิกา 25 เรือน” ของ “เสี่ยป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เปรียบเปรยกับ “จริยธรรมสูงส่ง” ของสมาชิกสภาขุนนางอังกฤษที่ลาออกเพียงเพราะมาสาย

“แต่เมืองไทย มีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร” นั่นคือคำพูดบนฟลอร์ต่อหน้าธารกำนัลของ “หมอธี” รมว.ศึกษาธิการ ผู้อยู่ร่วม ครม.เดียวกับ “บิ๊กป้อม”

ไม่เท่านั้น ยังลงจากเวทีมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมด้วยคำพูดแรงอีกหลายประโยค หลายวลี อาทิ “ถ้าเป็นผมถูกเปิดโปง แค่เรือนแรกก็ลาออกแล้ว” หรือ “อย่างหนาตาช้าง”

เสมือนเป็นการพูดแทนใจคนไทยทั้งชาติ และกระทุ้งใส่ต่อมสำนึก “บิ๊กป้อม” ไปในคราวเดียวกัน
แต่พลันที่ “หมอธี” กลับถึงเมืองไทย ก็ “หนังคนละม้วน” แม้จะลาประชุม ครม. แต่ก็ถูก “นายกฯ ตู่” เรียกเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อ “ปรับความเข้าใจ” โดยด่วน

ผลปรากฎว่าเป็นฝ่าย “หมอธี” ที่ยอม “เสียหมอ” ออกปากขอโทษขอโพย “บิ๊กป้อม” ที่เสียมารยาทในการวิพากษ์เพื่อนร่วม ครม. ที่สำคัญยองเป็น “บิ๊กบราเทอร์ส คสช.” เสียด้วย พร้อมประกาศไม่ลาออกจากตำแหน่งตามกระแสข่าว ด้วยยังเชื่อมั่นในตัว “นายกฯตู่” อยู่นั่นเอง

ทำเอา “ติ่งหมอธี (เฉพาะกิจ)” โห่กันเกรียว ด้วยเห็ฯว่าหาก รมว.ศึกษาธิการ คิดอ่านขนาดนี้ก็ไม่สมควรจะทำงานร่วมกันแล้ว

โดย “เบื้องลึก” ใน “ห้องเย็น” วันนั้นระบุว่า มีการขอโทษ “ผู้น้อย” จาก “ผู้ใหญ่” จริง พร้อมกับแบะท่าขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งอีกด้วย หากแต่เป็น “นายกฯตู่” ที่ทัดทานเชิงวิงวอนไว้ว่า ลาออกไม่ได้เด็ดขาด

ด้วยรู้ดีว่าหาก “หมอธี” ลาออกจากปม “นาฬิกาหรู” ไม่เพียงแต่ตัวละครเอกอย่าง “บิ๊กป้อม” จะอยู่ยากเท่านั้น ยังอาจเข้าทำนอง “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ส่งผลถึงเสถียรภาพของ “รัฐบาล คสช.” ที่เหมือนไต่ลวดอยู่ในตอนนี้ด้วย เพราะหาก “หมอธี” ลาออกแต่ “บิ๊กป้อม” ยังอยู่ รัฐบาลทหารจะตอบคำถามและอธิบายกับสังคมอย่างไร

ขณะเดียวกัน ถ้าปล่อยให้ “หมอธี” ลาออก ก็เท่ากับว่าจะต้องมีการ “ปรับ ครม.” ซึ่งนั่นเท่ากับว่า ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลกระเพื่อมหนักไปอีก

“ใครจะมา-ใครจะไป” ไม่สำคัญเท่ากับว่า แล้ว “บิ๊กป้อม” จะยังอยู่หรือไม่

ทั้งนี้ แม้ดูเหมือน “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่และหมอธี” จะเคลียร์ใจกันได้ แต่ก็ทิ้งเชื้อความคุกรุ่น “บัวช้ำ น้ำขุ่น” ไว้ไม่น้อย จับอาการ “ลุงป้อม” ได้ชัดเจนว่า จนป่านนี้ ยังเลี่ยงที่จะเอ่ยคำว่า “ให้อภัย” ออกมา

กระนั้นก็ดี แม้การดำรงอยู่ของ “หมอธี” จะทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลกู่ไม่กลับ แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นการหย่าศึกไม่ให้ปม “โคตรนาฬิกาเสี่ยป้อม” แตกหักถึงขั้นส่ง “รัฐบาลลายพราง” กลับบ้านเก่า ก่อนจะได้จัดเลือกตั้งตามโรดแมป

แต่ก็ใช่ว่าจะหายใจทั่วท้อง ด้วยสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่เหลือเพียงไม่กี่วัน เป็น “เดดไลน์” ที่คณะทำงานในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องสรุปผลการตรวจสอบ “กรุนาฬิกาเสี่ยป้อม” เพื่อส่งเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. ที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ได้ยกธง “ขอบาย” ไม่ได้ร่วมพิจารณากรณีนี้ เนื่องจากเห็นว่าตัวเอง “มีส่วนได้เสีย” ในฐานะ “ลูกน้องเก่า” ของ “บิ๊กป้อม” ไปก่อนหน้านี้แล้ว
หมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ
และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร “ผิด” หรือ “ไม่ผิด” ก็ล้วนแล้วแต่ไม่บังเกิดผลดีกับสถานการณ์ของรัฐบาลทั้งสิ้น

ตามธงที่เพ่งเล็งกันว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ “ฟอกขาว” ให้กับ “พี่ใหญ่ คสช.” บริสุทธิ์ผุดผ่องจากฐานความผิด “ร่ำรวยผิดปกติ” หรือ “ปกปิดบัญชีทรัพย์สิน” ที่ไม่ระบุการครอบครองโคตรนาฬิกาอย่างน้อย 25 เรือนมูลค่ารวมราว 40 ล้านบาทในการแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

ถ้าออกมาตามที่ “ดักคอ” ไว้ ไม่เพียงแต่ “ตัดจบ” ไม่ได้ แต่ยังอาจจะตอกหลิ่มขยายความไม่ชอบมาพากลเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ก็ด้วยข้ออ้าง “นาฬิกายืมเพื่อน” หรือ “แหวนเพชรยืมแม่” นั้น “สังคมไทย” เห็นว่า มันฟังไม่ขึ้น

ซึ่งก็ต้องรอดูว่า ป.ป.ช.จะเดินหน้าลุยไฟในเดือนแห่งความรักนี้เลย หรือจะหาข้ออ้างมาเตะถ่วงไปอีกสักระยะ

อีกทั้งต้องรอดูว่า “บิ๊กป้อม” เลือกตัดสินใจอย่างไร หาก ป.ป.ช.ตัดสินว่า “บริสุทธิ์ผุดผ่อง” ปูทางลงสวยๆให้แล้ว เจ้าตัวจะยอมเฟดออกไปอยู่เบื้องหลัง โดยการลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล อาจจะเป็นการต่อลมหายใจส่ง “เรือแป๊ะ คสช.” ให้ไปถึงฝั่งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่วางงานไว้เสร็จสรรพให้มีการสืบทอดอำนาจได้โดยง่ายแล้ว

น่ากลัวก็แต่เมื่อ ป.ป.ช.ชี้ว่า ไม่มีความผิด “ป๋าป้อม” จะยึดเป็นเหตุผลในการก้มหน้าก้มตาไปต่อ ดั่งที่ “กลืนน้ำลาย” ไม่ทำตามคำประกาศท้าทายว่า หากประชาชนไม่ต้องการ ก็พร้อมลาออก ทว่าเมื่อ “โพลออนไลน์” ระบุสูงปรึ๊ดร้อยละ 96 สนับสนุนให้ “บิ๊กป้อม” ลาออก กลับดูไม่สนใจใยดี

หากเป็นช้อยส์หลัง คงบันเทิงไม่น้อย ก็ด้วยในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยของ “ขั้วตรงข้าม” ที่เลือกออกมา “ซ้ำเติม” ในจังหวะที่ คสช.ซวนซัดซวนเซ

กับฉากที่กลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง” ที่เป็นนักศึกษา-อดีตนักศึกษาหน้าเดิมๆ จากกลุ่ม “ประชาธิปไตยใหม่” หรือกลุ่ม “ฟื้นฟูประชาธิปไตย” เริ่มทำคลอดอีเว้นท์ชุมนุมออกมาสารพัดด้วยมอตโต้ “หยุดยื้อเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ หมดเวลา คสช.” ที่ทำท่าจะ “ขายได้” ด้วยอารมณ์คนไทยส่วนใหญ่ตอนนี้เริ่มเบื่อหน่ายการบริหารประเทศของ คสช.เต็มกลืน

ส่งผลให้แคมเปญ “อยากเลือกตั้ง” เริ่มจุดติด มีแนวร่วมขยายวงเพิ่มขึ้น ยิ่งผสมกับ “มวลชนจัดตั้ง” เข้าไปอีก ทำให้ภาพการชุมนุมเริ่มใหญ่ขึ้นทุกขณะ

ไม่เพียงแต่เป็นจังหวะที่คะแนนนิยมรัฐบาลกกำลังเสื่อมหนักเท่านั้น ยังมีวาระ “สิทธิมนุษยชน” ที่ “ลุงตู่” ไปขานรับประเทศมหาอำนาจ จนตอนนี้การบริหารงานของ “รัฐบาลทหาร” ดูเงอะงะ ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ครั้นจะประเคนข้อหาหรือใช้กฎหมายล็อคการเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนช่วงที่ยึดอำนาจแรกๆ จนปล่อยให้ “ม็อบเด็กโข่ง” เพ่นพ่านไปทั่ว ขยายแนวร่วมได้อย่างค่อนข้างสะดวก

แล้วก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อในเวลาไล่เลี่ยกัน จะมีความเคลื่อนไหวจาก “สองศรีพี่น้องชินวัตร” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควงกันมาเที่ยวในแถบเอเชีย จีน-ญี่ปุ่น-ฮ่องกง อีกทั้งยังเป็นการเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการของ “หนูปู” ตั้งแต่หลบหนีการฟังคำพิพากษาในคดีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเมื่อปีกลาย

เป็นสองอีเวนท์ของ “ขั้วตรงข้าม” ที่จงใจขย่ม คสช.โดยพร้องเพรียงกันอย่างชัดเจน

ซึ่งก็ได้ผลไม่มากก็น้อย เมื่อ “นายกฯ ตู่” ถึงกับบ่นแรงๆ ผ่านสื่อ “ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมด ขยับทีเป็นข่าวไปหมด เดือดร้อนคนทั้งประเทศ" พร้อมตอกหน้าสื่อไทยว่า “ไอ้กระพี้” ที่ไปให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของ “สองศรีพี่น้อง” อีกต่างหาก

หากแต่ “นายกฯตู่” อาจจะหลงลืมไปว่า เหตุที่ “พี่ษิณ-น้องปู” ยังสามารถไปเฉิดฉายได้ในสากลโลก ก็ด้วยความไม่เอาไหน หรือไม่เอาจริงของ “รัฐบาล คสช.” เอง

หนึ่งไม่ไล่ล่าตัว “ทักษิณ” อย่างเอาเป็นเอาตาย สอง มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า หลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้ “น้องปู” หนีออกช่องทางธรรมชาติ ไปสมทบกับ “พี่แม้ว” ที่ต่างแดน

นำมาถึงข้อวิพากษ์ “ความเท่าเทียมกันของการบังคับใช้กฎหมาย” สะท้อนผ่านผลการ สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “การลักลอบล่าสัตว์ป่า ในเขตหวงห้าม” ของ “นิด้าโพล” ...จากกรณีคณะ “บิ๊ก อิตาเลียนไทย” เปรมชัย กรรณสูต ที่สลัดคราบ “เจ้าสัว” ยกแก๊งไปสอย “เสือดำ-เก้ง-ไก่ฟ้า” สนั่นลั่นทุ่งใหญ่นเรศวร

ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่คำถามที่ว่า “ความเชื่อมั่นต่อการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนทุกระดับว่าจะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน” ปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 68.88% ระบุว่า “ไม่มีความเชื่อมั่น” พร้อมเหตุผลประกอบที่มาครบทั้ง ไม่เข้มงวด-มีช่องโหว่-ผู้บังคับใช้ละเลย-เกรงกลัวผู้มีอิทธิพล

ตอกย้ำให้เห็นว่าชาวบ้านร้านตลาด ต่างมองว่า “อำนาจเงิน-อิทธิพลการเมือง” มีผลในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมาทุกยุค ไม่เว้นกระทั่ง ยุคทหารเป็นใหญ่ รัฏฐาธิปัตย์ครองเมือง

พร้อมตอกหน้า “รัฐบาลลุงตู่” ว่าตลอดกว่า 4 ปีที่มีทั้งอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เบ็ดเสร็จ มีมาตรา 44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ครอบจักรวาล ยังไม่สะทกสะท้านบรรดา “ขาใหญ่-บิ๊กเนม-ลูกเศรษฐี” ที่หลุดรอด-หลบหนีอาญาแผ่นดินกันเป็นว่าเล่น

ทั้งรายของ “อดีตนายกฯปู” มาจนถึง “ธัมมชโย” หัวหน้าลัทธิจานบิน ที่ตอนนี้เสวยสุขอยู่ไหนไม่ทราบได้ หรือหากย้อนไปหน่อยก็ “บอส อยู่วิทยา” ทายาทเครือกระทิงแดง ผู้ต้องหาคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2555 ที่แม้เหตุจะเกิดก่อนทหารเรืองอำนาจ แต่เมื่อมีอำนาจแล้ว ก็ปล่อยคดีตามยถากรรม หมดอายุความไปแล้วเกือบหมด ที่สำคัญเจ้าตัวยังหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางปกติสบายใจเฉิบ

มาถึงประเด็นปัจจุบัน หาก “เจ้าสัวเปรมชัย” รอดอาญาแผ่นดิน ทั้งที่หลักฐาน-พฤติการณ์คาตา ก็จะยิ่งฟ้องให้เห็นถึงความไม่เอาไหนของรัฐบาลเข้าไปอีก ด้วยกระแสสังคมพิพากษาความผิดที่ไม่น่าให้อภัยไปล่วงหน้าแล้ว

กระทั่งการที่ผู้มีอำนาจไม่อิหนังขังขอบกับคำพูดหมิ่นศักดิ์ศรี “ข้าราชการตำรวจ” กับวลี “เป็นตำรวจแค่ไซด์ไลน์” ที่กล่าวโดย “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ที่หากพิเคราะห์ลึกซึ้งยังตอกหน้า “ข้าราชการไทย” ทั่วประเทศ ว่าคนที่เห็นอาชีพรับราชการเป็นแค่งานรอง แต่เล่นหุ้นเป็นงานหลัก ยังเชิดหน้าชูตาขึ้นชั้นเบอร์ 1 ของสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติ (สตช.) ได้ แล้วคนแต่งตั้งก็ไม่ใช่ใคร “รัฐบาล คสช.” นี่เอง

ไม่เท่านั้น “เสี่ยอ๊อด” ที่ขาหนึ่งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยังมีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิก คสช.สมัยที่ยังไม่เกษียณราชการ ทั้งหลายทั้งปวงก็มีคำถามถึง “วิสัยทัศน์-ภาวะผู้นำ” ของ “บิ๊ก คสช.” ว่า อุ้มสม “คนประเภทนี้” ให้เติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร

แม้จะพ้นตำแหน่ง ผบ.ตร.ไปแล้ว แต่หมวกสมาชิก สนช.ก็อยู่ในอาณัติความดูแลของ คสช. ขนาดตำแหน่งหลักยังแค่ “ไซด์ไลน์” แล้วตำแหน่งเฉพาะกิจอย่าง สนช.จะไปเหลืออะไร อีกทั้งยังส่อมีความผิดในฐานะ “หัวหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ที่ไปรับเงินที่อ้างว่า “หยิบยืม” มาจาก “เจ้าของอาบอบนวด” ที่สะตุ้งสะตังค์ทุกบาททุกสตางค์เจือไปด้วย “สีเทา” อีกด้วย การเล่นงานเอาผิดก็ไม่ใช่เรื่องยาก หาก “ผู้มีอำนาจ” เอาจริง

ไม่ว่าจะ “เสี่ยเปรมชัย - เสี่ยอ๊อด - เสี่ยป้อม” หากผลที่ออกมาแบบ "ค้านสายตา" ก็ปฏิเสธยากกับข้อหา "เอื้อพวกพ้อง - เอื้อนายทุน" อุ้มกันจนรอดลอยนวลไปหมด อาจกลายเป็น "ไฟลามทุ่ง" คะแนนนิยมกู่ไม่กลับ จนถึงจุดจบก่อนจะถึงโรดแมปเลือกตั้งซะอีก

สิ่งที่ “รัฐบาล คสช.” ต้องทำ ก็แค่ทำให้ได้อย่างปากพูด ในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหลื่อมล้ำ-สองมาตรฐาน

ขณะที่อีกขาหนึ่งก็ปล่อยให้ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ ผ่านทั้งอภิมหาโปรเจกต์เรือธงอย่าง “อีอีซี” หรือการสนับสนุนการลงทุนในกิจการด้านการเกษตร ให้เป็น “เกษตร 4.0” หรือ “เกษตรครบวงจร” ตามที่ได้โฆษณาไว้ ด้วยมีปัจจัยบวกอย่างราคาพืชผลที่สูงเป็นประวัติการณ์ ที่เป็นอานิงสงส์มาจากการรวมศูนย์ภาคส่วนเศรษฐกิจอยู่ที่ “ทีมสมคิด” จนการประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการงัดข้อ-เจาะยาง ให้เห็นเหมือนก่อนปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5”

ยืดเวลาที่จะได้ซึมซาบบรรยากาศแห่งความสุขต่อไปอีกพักใหญ่ ลากยาวไปถึงการเลือกตั้ง ที่จะสืบทอดอำนาจต่อไปในรูปแบบไหนก็ตามแต่ใจต้องการ

เงื่อนไขสำคัญอีกอย่าง ต้องตัดตอนมิให้ “บิ๊ก คสช.” ก่อเรื่องคาวฉาวโฉ่ มาซ้ำเติมสถานการณ์ให้วิกฤตหนักไปกว่านี้ เผื่อว่าฉากความแช่มชื่นของ “เสนาบดี คสช.ย้อนยุค” เมื่อวันก่อน จะไม่ใช่ “ความสุขเฮือกสุดท้าย” อย่างที่คิดกัน




กำลังโหลดความคิดเห็น