ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ใครเลยจะไปคาดคิดว่า นับจาก “พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร” ลูกชายของ “จอมพลถนอม กิตติขจร” อดีตนายกรัฐมนตรีสร้างตำนานล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวรขึ้นเมื่อปี 2516 ในอีก 45 ปีต่อมา คนอย่าง “เปรมชัย กรรณสูต” ประธานบริหาร บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) นักธุรกิจระดับแสนล้าน เจ้าของอาณาจักรอิตาเลียนไทยฯ ยักษ์ใหญ่ในวงการรับเหมาก่อสร้างเบอร์หนึ่งของเมืองไทย พร้อมคณะ จะกล้าเข้าไปล่าสัตว์ในเขตพื้นที่มรดกโลกอย่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรอีกครั้ง
กระทั่งปรากฏภาพของนายเปรมชัยและคณะ พร้อมกับซากสัตว์ป่าอย่าง “เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทาและเก้ง” พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำโดย “นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก และทีมงาน จับกุมได้คาหนังคาเขา เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา
การจับกุมคณะของนายเปรมชัยได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบต่อตัวเขา รวมถึงอาณาจักรธุรกิจอิตาเลียนไทยฯ ของเขาอย่างรุนแรง ถึงขั้นเรียกร้องให้ปลดจากตำแหน่งหน้าที่และชวนกันไปวางหรีดหน้าบริษัทเพื่อเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่ยี่หระต่อกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งแม้จะมีการปฏิเสธ แต่สังคมก็ไม่เชื่อ เพราะประจักษ์พยานชัดเจน ขณะเดียวกันก็พร้อมใจกันเฝ้าจับตาถึงบทสรุปสุดท้ายของคดีว่า จะสามารถลากคอคนทำผิดมาลงโทษได้หรือไม่ หรือจะลอยนวลเหมือนกับคนรวยๆ และนักการเมืองหลายๆ คนดังที่มีตัวอย่างให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา
ยิ่งเมื่อฟังคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลังเกิดเรื่องว่า ทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว อย่าเพิ่งปรักปรำใคร และอย่าใช้ความรู้สึกไปตัดสินว่าใครผิดใครถูก ต้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนว่าใครเป็นผู้กระทำที่แท้จริง อารมณ์ของสังคมก็ยิ่งคุกรุ่น กระทั่งทำให้ “บิ๊กเต่า” ถึงกับไปไม่เป็นและต้องกลับหลังหัน 360 องศา
ด้วยเหตุดังกล่าว คดีของนายเปรมชัยและคณะจึงต้องถือเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งในประเทศไทยและได้รับความสนใจไม่เฉพาะแต่เมืองไทย หากแต่ตกเป็นข่าวครึกโครมระดับโลกกันเลยทีเดียว
ข้อดีเพียงข้อเดียวกับสิ่งที่คณะของนายเปรมชัยทำในครั้งนี้ก็คือ ได้ปลุกจิตสำนึกของคนไทยในการหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า ให้สว่างไสวในหัวใจ พร้อมตระหนักถึงความสัมพันธ์และความสำคัญแห่งระบบนิเวศวิทยาดังคำกล่าวที่ว่า “มีคน มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า” ขึ้นมาอีกครั้ง
คลี่ปริศนา “แขกของนาย”
ไขที่มาใบอนุญาตสังหารแห่งทุ่งใหญ่นเรศวร??
ถ้าแกะรอยการเข้าป่าล่าสัตว์ของ “พรานใหญ่ตกยุค” อย่างคณะของนายเปรมชัย ก็จะเห็นความจริงประการสำคัญว่า นักท่องเที่ยววีไอพีคณะนี้ หากไม่มีคนใหญ่นายโตเปิดทางอำนวยความสะดวกให้ไหนหรือจะย่ามใจถือโอกาสรุกเข้าตั้งแคมป์ในบริเวณจุดห้ามตั้ง ซึ่งปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ตั้งแคมป์นอกเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้เพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
ทั้งนี้ ก่อนที่คณะของนายเปรมชัย จะเดินทางไปยังทุ่งใหญ่นเรศวรมีรายงานจากแหล่งข่าววงในที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นำมาเผยแพร่โดยอ้างถึงคำพูดที่เจ้าหน้าที่คุยกันในวิทยุสื่อสารที่หลุดออกมาสู่สาธารณะที่ว่า “...ให้อำนวยความสะดวก คณะท่องเที่ยว เพราะเป็นแขกของนาย...” ซึ่งกินความหมายและมีนัยอย่างมาก
คำว่า “แขกของนาย” เป็นเสมือนไฟลนที่ทำให้ น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช รีบออกตัวแรงแจกแจงว่า ในวันก่อนหน้าที่คณะของนายเปรมชัย จะเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งนั้น ผู้ประสานงานของนายเปรมชัย และคณะ รวม 4 คน โทรศัพท์มาขออนุญาตพักกางเต็นท์เพื่อไปศึกษาธรรมชาติ จึงแจ้งไปว่าให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ตามขั้นตอน
ส่วนที่มีคนถามว่านายเปรมชัย รู้จักและเป็นแขกของตนนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะนักท่องเที่ยวทุกคน คือ แขกของกรมอุทยานฯ จึงต้องยินดีต้อนรับทุกคน “พูดตรงๆ เลยนะ ใครจะไปคิดว่าจะมาแบบนี้ เพราะเขามาขอศึกษาธรรมชาติ คนในระดับแบบนี้ใครจะคิดว่าเขาจะกระทำแบบนี้” ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ฯ ออกตัว
สำหรับการทำหนังสือขออนุญาต น.ส.กาญจนาอ้างว่า ผู้ประสานงานของนายเปรมชัย ได้ทำหนังสือไว้แล้วแต่เวลากระชั้นชิด จึงลงนามในหนังสืออนุญาตไม่ทัน
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวแจ้งว่า “มีอดีต ผอ.สำนักฯแห่งหนึ่ง” ของกรมอุทยานฯ ชื่ออักษรย่อ ผอ.น.ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว และทำงานในฐานะที่ปรึกษากับบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ลำดับต้นๆ ของเมืองไทยได้โทรศัพท์ติดต่อมายัง น.ส.กาญจนา เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาเพื่อขอให้อำนวยความสะดวกกับกลุ่มนายเปรมชัย แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิดจึงออกหนังสือไม่ทัน
ประเด็นนี้แม้กลุ่มพรานมหาเศรษฐีจะอ้างว่าได้ขออนุญาตแล้วแต่เมื่อยังไม่ได้รับการพิจารณาจึงถือว่าเป็นการลักลอบเข้าไปซึ่งเป็นความผิดชัดเจน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่อดีต ผอ.“ น.” ใช้ความเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกเกรงใจหรือมีการสั่งด้วยวาจากับ เจ้าหน้าที่คนใดหรือไม่ซึ่งตรงนี้ต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
อย่างไรก็ดี หลังต่อสายโทรศัพท์ขออนุญาตผู้หลักผู้ใหญ่ของกรมเสร็จสรรพ คณะวีไอพีที่นำโดยนายเปรมชัย และผู้ติดตามรวม 4 คน ออกเดินทางเมื่อวันที่ 3ก.พ. 2560 ไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์ป่า ทินวย - ทิคอง - มหาราช ระยะทาง 30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่เปิดให้ท่องเที่ยวได้ โดยใช้รถยนต์ 1 คัน ผ่านเส้นทางถนนอำเภอทองผาภูมิ ถนน รพช. เขาหลวง เข้าพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเส้นทางนี้ ต้องผ่านจุดตรวจค้น สำนักเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ นเรศวร ห่างจากจุดเกิดเหตุ 20 กิโลเมตร แม้มีจุดตรวจค้นแต่คณะของนายเปรมชัยก็เข้าไปได้
วันต่อมา 4 ก.พ. เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่ามหาราช ได้รับข้อมูลว่า คณะของนายเปรมชัยลักลอบตั้งแคมป์พักแรมในจุดห้วยปะชิ อยู่ระหว่างหน่วยทิคอง กับหน่วยพิทักษ์ป่ามหาราช ห่างจากจุดที่ได้รับอนุญาตให้พัก 5 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเตือนให้ย้ายกลับเข้าบริเวณที่กำหนดให้พัก จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น เจ้าหน้าที่ได้ขอกำลังออกตระเวนค้นหาและตรวจสอบ จนกระทั่งพบปืน 3 กระบอก และกระสุน รวมถึงซากสัตว์ป่า เช่น ไก่ฟ้าหลังเทา - เนื้อเก้ง จึงควบคุมตัวนายเปรมชัย และคณะ ไปที่สำนักงานในเวลา 02.40 น. ต่อมาวันที่ 5 ก.พ. เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติมในรัศมีประมาณ 20 เมตร พบซากเสือดำ ถูกชำแหละเนื้อและหนัง และยังพบกระสุนปืนอีกจำนวนมากเกือบ 200 นัด
“เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบในตอนแรก ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ และเมื่อขยายผลการตรวจค้น ก็ถึงกับตะลึง เนื่องจากพบซากสัตว์ป่าและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนเป็นจำนวนมาก” นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ให้สัมภาษณ์
ในบันทึกการจับกุม/ตรวจยึดของเจ้าหน้าที่ฯ ซึ่งมีทั้งหมด 7 แผ่น ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า เจ้าหน้าที่ได้พบกลุ่มของนายเปรมชัยและพวกที่บริเวณลำห้วยป่าชิ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.ของวันที่ 4 ก.พ. 2561 ขณะตั้งแคมป์กางเต็นท์พักแรมอยู่ติดถนนลำรองริมห้วยป่าชิ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ไม่อนุญาตให้พักค้างแรม และเป็นบริเวณที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ชุกชุม มีความเปราะบางทางระบบนิเวศสูง ประกอบกับกลุ่มคนดังกล่าวมีอาการลักษณะมึนเมาจึงได้ตักเตือนให้หยุดการกระทำ
จากนั้น จึงได้ซุ่มดูพฤติกรรม และพบว่า เวลา 14.00 น.มีเสียงปืนดังมาจากบริเวณดังกล่าว จนเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้นแคมป์ที่พัก พบเบ็ดราวสำหรับจับสัตว์น้ำ จึงได้แจ้งให้กลุ่มของนายเปรมชัยออกจากพื้นที่ แต่นายเปรมชัย ได้ต่อรองขอพักในพื้นที่ดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำเกรงจะเกิดอันตราย ต่อมาเวลา 16.30 น.มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเข้าไปตรวจสอบ พบว่านายธานี ทุมมาศ กำลังยิงกระรอกป่าจึงสั่งให้หยุดและควบคุมตัว เมื่อตรวจค้นบริเวณใกล้เคียงพบซากสัตว์ที่เพิ่งชำแหละ เจ้าหน้าที่จึงกลับมาตรวจค้นแคมป์ที่พักและบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดพบของกลางเป็นอาวุธปืนและซากสัตว์ป่าหลายรายการ เช่น เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เนื้อเก้ง จึงได้ควบคุมตัวกลุ่มของนายเปรมชัยเอาไว้ทั้งหมดในช่วงกลางคืนวันที่ 4 ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 5 ก.พ. 2560
ในบันทึกดังกล่าว ยังระบุการให้ถ้อยคำของนายเปรมชัยว่า ดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นเจ้าของรถยนต์ โตโยต้า แลนด์ครุยเซอร์ สีน้ำตาลอ่อน ทะเบียน 7 กค 2192 กทม. โดยนายเปรมชัย กับพวกรวม 4 คน ได้เดินทางโดยรถยนต์คันดังกล่าวจากกรุงเทพฯ เข้ามาท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นำเข้ามาเป็นของตน และรับทราบถึงกฎ ระเบียบ ประกาศของทางราชการในการเข้ามาท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก
ในตอนท้ายของบันทึก นายเปรมชัยและพวก ได้ลงนามรับรองว่าได้อ่านบันทึกการจับกุม/ตรวจยึดฉบับนี้แล้วและยอมรับว่าถูกต้องเป็นความจริงทุกประการ และยินยอมให้ใช้บันทึกการจับกุม/ตรวจยึดนี้เป็นพยานหลักฐานในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นศาลได้
ต่อมา เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2560 นายวิเชียรได้เข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำหลักฐานบันทึกการจับกุมผู้หา พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 9 ข้อกล่าวหาแก่นายเปรมชัย และพวก 3 คน โดยได้ทำบันทึกการจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดแจ้งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เพื่อดำเนินคดี ซึ่งชุดจับกุมมั่นใจว่าจะเอาผิดนายเปรมชัย ได้โดยมีหลักฐานสำคัญคือรอยนิ้วมือบนปืนไรเฟิล
ส่วนข้อหาที่แจ้งต่อคณะนายเปรมชัย มีดังนี้ 1.ข้อหาล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์โดยมิได้รับอนุญาต 2.ล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.มีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.พยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 5.นำอาวุธปืนหรือเครื่องมือจับหรือล่าสัตว์ป่าเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 6.รับไว้ช่วยเหลือซ่อนเร้นซากสัตว์ป่าที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 7.การเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 8.เป็นความผิดลหุโทษ 9.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนำผู้ต้องหาทั้ง4 คน 1.นายเปรมชัย กรรณสูต 2.นายยงค์ โดดเครือ 3.นางนที เรียมแสน 4.นายธานี ทุมมาศ พร้อมทนายความเดินทางไปยังศาลทองผาภูมิ เพื่อนำตัวไปฝากขังตามกระบวนการของกฎหมาย และทนายได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมด โดยศาลให้ประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท
ที่น่าเศร้าใจคือ ผลการพิสูจน์หลักฐานจากซาก “เสือดำ” ที่หลายคนพร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นรูปโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กนั้น เบื้องต้นพบว่า มีรอยยิงจากทางฝั่งขวา เข้าจากด้านหน้า ไปหลัง ผู้ยิงยืนอยู่สูงกว่าเสือ คาดเป็นมืออาชีพ เพราะอาวุธที่ใช้ เป็นปืนไรเฟิลที่พวกล่าสัตว์ใช้ โดยพบรอยกระสุนทั้งหมด 5 นัด บริเวณใบหูฝั่งขวา 1 นัด หัวกะโหลก 1 นัด และ ลำตัว 3 นัด..!!”
ล้วงรสนิยมหลงยุค “พรานใหญ่ ITD”
นายเปรมชัย “พรานใหญ่ตกยุค” ผู้พิสมัยการล่า เป็นคนนิยมชมชอบธรรมชาติ ดังที่ศรีภรรยาของนายเปรมชัย ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปบุกตรวจค้นบ้านพัก แต่ดูเหมือนความนิยมธรรมชาติของ บิ๊กบอสอิตาเลียนไทยฯ นั้นไม่ใช่สายอนุรักษ์ เพราะสื่อโซเชียลสืบค้นลงไป เจอภาพจากเฟซฯ 1 ใน 4 ผู้ต้องหา ที่เป็นคนสนิทของเปรมชัย กรรณสูตร พบว่า มีการออก “เที่ยวป่าล่าสัตว์” พร้อมกับนายเปรมชัย ในป่าที่จ.กาญจนบุรี โดยภาพนี้โพสต์เมื่อ 7 ธ.ค. 2559
ไม่นับรวมถึงเสื้อแจ็กเก็ตที่นายเปรมชัยสวมใส่ในคืนที่ถูกจับกุม ซึ่งมีการขุดคุ้ยข้อมูลออกมาว่า เป็น แจ็กเก็ตล่าสัตว์ (Hunting Jacket) หรือแจ็กเก็ตยิงปืน (Shooting Jacket) ที่เอาไว้ใส่สำหรับล่าสัตว์ โดยมีแผ่นที่บริเวณบ่าสำหรับไว้รองพานท้ายปืน ไม่ให้ลื่น และกันกระแทก
และหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการเป็นนักล่าในสายเลือดที่ชัดแจ้งก็คือ “ภาพลับเฉพาะ” ซึ่ง “ทีมข่าว MGR Online” ได้พลิกแฟ้มย้อนไปหาภาพในอดีตเมื่อ 27 ปีก่อน ที่ทีมข่าวนิตยสารผู้จัดการมีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยและถ่ายภาพ “เบอร์หนึ่งแห่งอิตาเลียนไทย” ถึงห้องทำงานชั้น 15 อาคารอิตัลไทย บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่
ภาพลับเฉพาะช็อตนั้นคือ นายเปรมชัย ในวัยหนุ่มแน่นอายุ 36 ปี กับ “หนังเสือโคร่งผืนใหญ่” บนเก้าอี้หนังสีเขียว ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2534 ซึ่งไม่เคยถูกตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน แม้แต่ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนเมษายน 2536 ปีที่ 10 ฉบับที่ 117 ซึ่งเจาะเรื่องอาณาจักรอิตาเลียนไทยฯ เวลานั้นอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
การล่าเสือดำพร้อมถลกหนังเตรียมสะสมในคอลเลกชั่นของ “พรานใหญ่หลงยุค” ที่ถูกจับกุมพร้อมหลักฐานกระสุนอาวุธปืนไรเฟิล ยี่ห้อ WINCHESTER 30-06 SPRG จำนวน 3 นัด ซึ่งเป็นกระสุนแบบเดียวกันกับที่ตรวจพบในอาวุธปืนยาว (ปืนไรเฟิล) ยี่ห้อ STEYR-MANNLICHER-M หมายเลขตัวปืน 201820 ทะเบียนอาวุธปืน กท.2850473 นั้น คล้ายกับว่าพรานใหญ่เปรมชัย อาจจะอินกับบทบาทของ “พรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์”พระเอกในนวนิยายเพชรพระอุมา ที่ถือไรเฟิล ซีแซด .30 - 06 เป็นอาวุธประจำกายใช้ในการเดินทางนำคณะนายจ้างติดตามค้นหา ม.ร.ว.อนุชา วราฤทธิ์ หรือพรานชด โดยพรานใหญ่รพินทร์ ใช้ ไรเฟิล ซีแซด .30 - 06 ยิงเสือดำที่หลุดรอดจากกรงดักสัตว์ภายในสถานีกักสัตว์บริษัทไทยไวล์ดไลฟ์ของนายอำพล ตั้งแต่เล่มแรกตอนเปิดเรื่อง
แต่นั่นเป็นนวนิยาย และเรื่องราวของนักล่าเมื่อกว่าครึ่งค่อนศตวรรษมาแล้วก็ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นพรานป่าที่ล่าเพื่อยังชีพหรือว่าชนชั้นสูงที่ล่าสัตว์เป็นการกีฬา แต่ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยในปี พ.ศ. 2561 จะยอมรับกันได้ พฤติกรรมนักล่าของพรานใหญ่หลงยุคอย่างนายเปรมชัย จึงไม่เข้ากับยุคสมัย และที่สำคัญ นายเปรมชัย คงหลงลืมไปว่า บทบัญญัติของบรรษัทภิบาลอิตาเลียนไทย 2561ข้อ 1.6 นั้น ธรรมมาภิบาลของผู้บริหารต่อสังคมส่วนรวม เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า “ต้องไม่กระทำการใดๆ ที่จะมีผลเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม”
ย้ำกันอีกครั้ง หากไม่ใช่ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ที่ชื่อ วิเชียร ชิณวงษ์ เรื่องนี้ก็คงเคลียร์จบง่ายๆ ตั้งแต่อยู่ในป่าลึกแล้ว เมื่อพิจารณาจากการเจรจาต่อรองที่หลุดออกมาสู่สาธารณะ อันแสดงถึงความช่ำชองในการต่อรองเพื่อปกปิดการทำผิดแบบไม่ธรรมดา ตามที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้เผยแพร่คลิปเสียงปริศนา ที่ระบุว่าเป็นการสนทนาหลังจากถูกจับกุม บางช่วงมีข้อความว่า ...“หากเหตุการณ์นี้ ไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอกันได้ อยากจะส่งลูกน้องบรรทุกมาให้”
อีกทั้งยังมีข้อความ ระบุถึงการนำอาวุธเข้าไปในพื้นที่ป่าด้วยว่า “ถ้า ไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอกันได้ อยากได้อะไร จะส่งลูกน้องบรรทุกมาให้เลย”
“เคยส่งรองเท้าแตะ บรรทุกไปเลยนะ 100 กว่าคู่ คอมแบต ชุด ว.30 เครื่องไปให้เลย”
“ทำธุรกิจก็ต้องเปิดทางนะ”
“มาเที่ยว”
“ไม่น่าพลาด เข้ามาไม่น่าเอาปืนเข้ามา เดี๋ยวก็ให้ผู้ใหญ่มาคุย”
“ยึดปืนหรือเปล่า คงไม่ได้ยึดมั้ง ปืนมีทะเบียน”
“เดี๋ยวให้ผู้ใหญ่ก็มาคุย มันมีช่อง กฎหมายก็มีช่อง”
“เอาปืนเข้ามา ไม่ได้เอามาเพื่อป้องกันตัวด้วย แต่เอามายิงสัตว์ป่า” (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม http://news.thaipbs.or.th/content/269989)
การสะสมปืนเพื่อล่าของนายเปรมชัย ยังมีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากการตรวจค้นเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2561 โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงผลการตรวจค้นบ้านพักของนายเปรมชัย หลังตกเป็นผู้ต้องหาว่า พบอาวุธปืน จำนวน 43 กระบอก แบ่งเป็นปืนลูกซอง 13กระบอก ปืนไรเฟิลขนาด .22 และขนาด .30 รวม 28 กระบอก และปืนสั้น 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จึงให้อายัดอาวุธปืนทั้งหมดไว้ให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนำไปตรวจสอบทะเบียนการครอบครอง รวมถึงดีเอ็นเอลายนิ้วมือเพื่อหาความเชื่อมโยง และยังพบงาช้างสองคู่ที่ภรรยาของนายเปรมชัย อ้างว่ามีใบอนุญาตในการครอบครองถูกต้อง แต่ไม่มีสติกเกอร์ติดอยู่ที่งาช้างจึงต้องยึดให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบว่าเป็นงาช้างชิ้นเดียวกันกับที่ขอใบอนุญาตไว้หรือไม่
ทั้งนี้ ในส่วนตัว พล.ต.อ.ศรีวราห์ มองว่าหลักฐานแวดล้อมในขณะนี้ชัดเจนว่านายเปรมชัย มีพฤติการณ์เป็นคนชอบล่าสัตว์ เนื่องจากปืนยาวส่วนใหญ่เป็นปืนคล้ายกลับอาวุธปืนที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรยึดไว้ได้ และในมุมของนักสืบก็มองว่ามีเจตนาเข้าไปล่าสัตว์ชัดเจน เพราะไม่มีการเตรียมเสบียงอาหาร แต่ในทางสำนวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้ง แต่หากนายเปรมชัย จะอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือยิงก็ให้ไปต่อสู้ในชั้นศาล
อาณาจักรอิตาเลียนไทยฯ ใหญ่จริง
แถมมีซูเปอร์คอนเนกชัน
กล่าวสำหรับนายเปรมชัย แห่งอิตาเลียนไทยฯ ยักษ์ใหญ่ก่อสร้างเบอร์หนึ่งของเมืองไทยนั้น ค่อนข้างเป็นคนโลว์โปรไฟล์ แต่ไฮโปรฟิต ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่นี้มักมีเรื่องเข้าไปพัวพันกับงานประมูลของรัฐที่ส่งกลิ่นทะแม่งๆ หนักสุดก็เรื่องในสมัยรัฐบาลทักษิณที่ลากยาวสืบต่อจากยุคก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งงานประมูลถมทราย มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่ตกเป็นของอิตาเลียนไทยฯ เช่นเดียวกับอภิมหาโครงการของสนามบินสุวรรณภูมิ อย่างโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน (Terminal & Concourse) และงานอื่นๆ รวมกว่า 60,000 ล้านบาท ก็ตกเป็นของกลุ่มอิตาเลียนไทยฯ ต่อเนื่องมาถึงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจจับระเบิดซีทีเอ็กซ์ - 9000 ที่อื้อฉาวกระฉ่อนโลกด้วยข้อหาสินบนข้ามชาติ
การที่นายเปรมชัย ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีครั้งนี้ ทำให้อิตาเลียนไทยฯ เสียภาพลักษณ์ไม่น้อย “ประชาชาติธุรกิจ” อ้างแหล่งข่าวจากบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ว่า ข่าวที่ออกมาส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และตำแหน่งซีอีโอของนายเปรมชัยในบริษัท เนื่องจากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหากมีการดำเนินคดี อาจจะต้องมีการเปลี่ยนตัวผู้มารับตำแหน่งประธานและกรรมการบริษัทแทนนายเปรมชัย ขณะที่ในแง่ธุรกิจของบริษัท จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวของนายเปรมชัย
ปัจจุบัน อิตาเลียนไทยฯมีงานเล็กและใหญ่ในมือทั้งกำลังก่อสร้างและรอเซ็นสัญญาร่วม 300 โครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่างานในมือกว่า 5 แสนล้านบาท มีทั้งงานก่อสร้างอาคาร เช่น สำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีที่เพลินจิต, เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา, วิสซ์ดอม 101 และงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ทางด่วน สนามบิน โรงไฟฟ้า
สำหรับโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายเป็นงานอุโมงค์ช่วงต่อเชื่อมกับสถานีหัวลำโพง, สายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต, สายสีเขียวต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่, สายสีส้มศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 สนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2, ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟท่าเรือแหลมฉบัง, โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงแปลง G, มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงมาบกะเบา-จิระ, อุโมงค์ส่งน้ำแม่งัด-แม่กวง และล่าสุดได้เซ็นสัญญาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองเฟสแรกกรุงธนบุรี-คลองสาน วงเงิน 1,068 ล้านบาท และบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินสายสีทอง 188 ล้านบาท และงานนำสายไฟลงใต้ดินช่วงถนนตก-สะพานพระราม 9 วงเงิน 1,942 ล้านบาท
เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา นายเปรมชัย ให้สัมภาษณ์ว่า ปี 2560 บริษัทได้งานใหม่ในมือประมาณ 1.3 แสนล้านบาท (รวมโรงไฟฟ้าแม่เมาะ 35,000 ล้านบาท) สูงสุดในรอบ 60 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมาทำให้มีงานในมือปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท เป็นงานในประเทศและต่างประเทศ 50 : 50 ทยอยรับรู้รายได้ 4 ปี เฉลี่ยปีละ 1.2 แสนล้านบาท โดยปี 2560 ที่ผ่านมาสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าปี 2561 จะถึง 1 แสนล้านบาท
ในปีนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันโครงการขนาดใหญ่เปิดประมูลออกมามากกว่าปี 2560 ถึงเท่าตัว คิดเป็นมูลค่างานกว่า 1 ล้านล้านบาท อิตาเลียนไทยฯ จับจ้องจะเข้าร่วมประมูลหลายโครงการ ทั้งงานก่อสร้างและลงทุน PPP เช่น รถไฟทางคู่เฟส 2 จำนวน 9 โครงการ มูลค่า 4 แสนล้านบาท รถไฟไทย-จีน รถไฟฟ้าสายสีม่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และสีส้มศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ยังมีงานอื่น ๆ อีก เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ โดยคาดว่าบริษัทจะได้งานในมืออย่างน้อย 3 แสนล้านบาท
ล่าสุด อิตาเลียนไทยฯ สนใจจะเข้าร่วมประมูลลงทุน PPP gross cost 30 ปี งานระบบและบริหารโครงการเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมาและบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่ากว่า 6.1 หมื่นล้านบาท โดยจะร่วมกับพันธมิตรจีน ญี่ปุ่น และยุโรป
ไม่นับรวมงานในต่างประเทศ เช่น บังคลาเทศ ที่ได้งานแล้วมีโครงการสร้างทางด่วนยกระดับ 5 หมื่นล้านบาท, รถไฟฟ้ายกระดับ 3 หมื่นล้านบาท ที่เมืองดาการ์ และจะร่วมประมูลสนามบินอีก 3 หมื่นล้านบาท และมอเตอร์เวย์อีก 1 แสนล้านบาท รถไฟใต้ดิน3 หมื่นล้านบาท โรงบำบัดน้ำเสีย และสนามบินใน Q1/61และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่เมียนมา เฟสแรก 3.7 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นโครงการที่จะเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังปลุกปั้นอีกด้วย
ทุนใหญ่อิตาเลียนไทยฯ จึงเป็นกลุ่มทุนใหญ่เบอร์ต้นๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ โดยมีเบอร์สองของวงการก่อสร้าง คือ ช.การช่าง และเบอร์สาม ชิโน-ไทย ที่แข่งเดือดกันทุกสนามประมูล
แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่อาจนำเอามาลบล้างความผิดของนายใหญ่แห่งอิตาเลียนไทยฯ ได้หากมีพยานหลักฐานมัดว่ากระทำผิดจริง
โดยตัว “นายเปรมชัย” นั้น ข้อมูลชุดล่าสุดที่ออกมาจากปากเขาก็คือ “ยินดีที่จะขอโทษ เพราะก็มีส่วนผิด แต่หลายอย่างที่เกิดขึ้น ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้อง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของเขาได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเยี่ยงไร
ขณะเดียวกันกรณีของนายเปรมชัยก็ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาล คสช.ไม่อาจมองข้างได้ เพราะแม้จะไม่ใช่เรื่องทุจริตและเกี่ยวข้องกับรัฐบาล แต่ก็เป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึกและอารมณ์ร่วมของสังคมไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะคำว่า “สองมาตรฐาน” ที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน ดีไม่ดีอาจจุดติดและกลายเป็นชนวนล้มรัฐบาลก็เป็นได้
วิเชียร ชิณวงษ์ ไม่ใช่แค่บุคคลแห่งปี แต่เป็นบุคคลแห่งชาติ
“...ผมทำงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ตรงไปตรงมาโดยชอบธรรม ผมมองว่าไม่มีสิ่งใดที่เราต้องมากังวลหรือหนักใจ วันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้... การดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้เป็นเรื่องที่ต้องกระทบกับผลประโยชน์ของใครบางคน หากเจ้าหน้าที่ท้อถอยถอดใจ ทรัพยากรป่าไม้ก็คงจะถูกทำลายลงในไม่ช้า ฉะนั้นในส่วนของผมและเจ้าหน้าที่ทุกนาย พวกผมพร้อมเสมอที่จะทำให้หน้าที่ตรงนี้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ...”
นั่นคือปณิธานความตั้งใจของ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก และทีมงาน ซึ่งพร้อมอุทิศชีวิตให้กับการทำงานรักษาผืนป่าและมวลหมู่ส่ำสัตว์ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าห้วยขาแข้ง สืบสานอุดมการณ์ของ “สืบ นาคะเสถียร” อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ผู้ซึ่งเสียสละตัวเองด้วยการลั่นกระสุนปลิดชีพเมื่อปี 2533 เพื่อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐหันมาใส่ใจต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติปกป้องผืนป่าอย่างแท้จริง
การทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของ นายวิเชียร ชิณวงษ์ ซึ่งบุกเข้าจับกุมคณะของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกที่ลักลอบตั้งแคมป์นอกเขตพื้นที่ที่กำหนดและตรวจพบซากสัตว์ป่าที่ถูกล่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา ต้องถือเป็นวีรกรรมความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลและอำนาจเงินของคณะนักธุรกิจใหญ่ระดับแสนล้าน ทั้งที่รู้อยู่เต็มหัวอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบเงินเดินและรายได้ระหว่างหัวหน้าวิเชียรกับนายเปรมชัย ก็ยิ่งเห็นถึงความกล้าของเขา คนหนึ่งมีเงินเดือนไม่ถึง 20,000 บาท ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่านับแสนล้านบาทต่อปี และเมื่อมองความยิ่งใหญ่ของกลุ่มทุนอิตัลไทยแล้ว หากหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ไม่สวมหัวใจสิงห์ ก็คงไม่กล้าลงมือและทำให้เรื่องนี้ดังกระฉ่อนฟ้องสังคมถึงการทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนของคณะนายทุนใหญ่แห่งอิตาเลียนไทยฯ
ภาพของหัวหน้าวิเชียรที่ “ยืนหลับ” พิงอยู่กับรถในวันที่ต้องไปให้ปากคำในคดีจับกุมคณะของนายเปรมชัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่พบเห็น และจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่สังคมไทยพร้อมใจกันยกให้เขาเป็นฮีโร่ “คนดีศรีสยาม” ในชั่วข้ามคืน
หัวหน้าวิเชียร เป็นคนบ้านลิ้นฟ้า ต.ลิ้นฟ้า อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ บิดาชื่อนายกรณ์ ชิณวงษ์ อายุ 61 ปี และมารดาชื่อนางวงเดือน ชิณวงษ์ อายุ 56 ปี จบการศึกษาจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น 59 หรือ KU59
จากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านและญาติ พบว่า หัวหน้าวิเชียรเป็นคนที่มีความประพฤติเรียบร้อย รักญาติพี่น้องเพื่อนฝูง เป็นคนตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่ค่อยสนใจที่จะไปทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ และที่สำคัญคือเป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์สุจริต
ตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ นายวิเชียรได้สร้างผลงานอย่างที่ไม่เกรงกลัวอิทธิพลมืดให้เป็นที่ประจักษ์หลายต่อหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ภูสีฐานก็สามารถบุกจับขบวนการค้าไม้พะยูงส่งนายทุนข้ามชาติที่เหิมถึงขนาดติดสินบนเจ้าหน้าที่ แต่สุดท้ายถูกซ้อนแผนรวบยกแก๊ง 5 ราย พร้อมของกลางไม้พะยูง 28 ท่อน รวมทั้งสามารถรวบนักการเมืองท้องถิ่น ที่ จ.มุกดาหาร พร้อมอาสาสมัคร อปพร. ที่ลักลอบล่าสัตว์ได้ ต่อมาเมื่อย้ายมาเป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ก็ได้บุกยึด 160 ไร่ สจ.เมืองกาญจน์ที่บุกรุกพื้นที่ป่าอย่างไม่เกรงกลัว
สำหรับในวันที่จับกุมคณะของนายเปรมชัย นั้น นายวิเชียร เล่าว่า ไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นผู้บริหารบริษัทที่มีชื่อเสียงใหญ่โต แต่เมื่อจับกุมตัวมาแล้ว ก็ไม่ได้วิตกหรือเกรงกลัวกลุ่มใดเข้ามากดดันหรือแทรกแซงการทำงาน เพราะที่ผ่านมา นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ ก็ได้ให้นโยบายและกล่าวย้ำมาเสมอว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่จะต้องทำด้วยความจริงจัง โดยจะต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้มีอิทธิพลโดยเด็ดขาด
“ส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความหวั่นไหว และเชื่อว่าคณะเจ้าหน้าที่และทีมงานทุกคนก็ต้องการที่จะอยากเห็นภาพนี้ ภาพที่เกิดขึ้น และการทำงานรักษาป่า อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของเราไม่ได้มีการจับกุมเฉพาะชาวบ้านที่กระทำผิดกฎหมายเท่านั้น โดยคนที่มีความพร้อม หรือมีฐานะทางด้านการเงินที่ดี เมื่อพลาดเข้ามากระทำผิด เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุม การปฏิบัติก็ต้องเท่าเทียมกันกับชาวบ้านหรือประชาชนทุกคน” นายวิเชียร กล่าว
นายกรณ์ ชิณวงษ์ พ่อของนายวิเชียร กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่นายวิเชียร หรือเชียร ลูกชายคนโตปฏิบัติหน้าที่รักษาป่าและสัตว์ป่าอย่างเต็มที่ตามอุดมการณ์ที่เคยได้พูดกับตนเอาไว้เสมอว่า จะรักษาป่าไม้และสัตว์ป่าเอาไว้ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ว่าอย่างไรก็ตามด้วยความเป็นพ่อ ก็รู้สึกห่วงใยวิเชียรเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบเป็นคนมีเงินมีอิทธิพล พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับวิเชียร แต่ว่าไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจากว่า ชีวิตส่วนใหญ่ของวิเชียรจะอยู่ในป่าลึกในเขตพื้นที่รับผิดชอบเพื่อกวาดล้างจับกุมผู้ที่ลักลอบกระทำผิดกฏหมาย
“ผมขอฝากไปถึงวิเชียร ลูกชายคนโตว่า ขอให้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ไม่ต้องหวั่นเกรงอิทธิพลใด ๆ เพื่อเป็นการทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลถวายแด่พ่อหลวง ร.9 และ ร.10 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการปฏิบัติตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงให้มีการปลูกป่าและรักษาป่าอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตของลูกหลานไทยให้มีป่าและสัตว์ป่าเอาไว้ในป่าของประเทศไทย”
ขณะที่นางวงเดือน ชิณวงษ์ แม่ของนายวิเชียร กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ด้วยความเป็นแม่ ตนมีความห่วงใยวิเชียรผู้เป็นลูกชายอย่างมาก เนื่องจากเป็นคนที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา หากว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องจะไม่ยอมให้มีการทำผิดอย่างเด็ดขาด ซึ่งที่ผ่านมาวิเชียรไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านมานานหลายเดือนแล้ว หากมีเวลาว่างวิเชียรจึงจะกลับมาเยี่ยมตนเองและครอบครัว แต่เนื่องจากว่า ส่วนมากแล้ววิเชียรจะอยู่ในป่าออกตรวจตราเขตพื้นที่รับผิดชอบกับเจ้าหน้าที่จึงไม่ค่อยมีเวลาว่าง
“อยากฝากถึงวิเชียรว่า ให้ทำงานอย่างเต็มที่เหมือนเดิมและให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม่พร้อมด้วยญาติพี่น้องและชาวไทยทั่วประเทศที่รักความถูกต้องคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ เพียงแต่ขอให้ระมัดระวังตัวและทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด”
และเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมาทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงแสดงความคิดเห็นโดยอินสตาแกรม (IG) ส่วนพระองค์ @nichax ผ่านอินสตาแกรม Thairath ใต้โพสต์ซึ่งเป็นคลิปที่ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “การทำงานที่ตรงไปตรงมาไม่มีอะไรที่ต้องกังวล” หลังนำทีมเข้าจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวก โดยประทานกำลังใจผ่านอินสตาแกรมว่า “สู้ สู้ คุณวิเชียร ชิณวงษ์”