xs
xsm
sm
md
lg

การยอมรับความจริงเป็นการเริ่มต้นที่ดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ความจริงเป็นรากฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาสังคม เพราะความจริงทำให้เราทราบถึงสภาวะที่ดำรงอยู่ตามสภาพดังที่มันเป็น ซึ่งจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ จำแนกแยกแยะ เชื่อมโยง และประเมินเพื่อใช้ในการตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดๆ ได้อย่างสอดคล้องกับบริบทและสามารถบรรลุเจตนารมย์และเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งสามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้

ในความรู้ของมนุษย์ เรามักจะแยกความจริงออกเป็นสองลักษณะใหญ่ๆ คือ ความจริงของธรรมชาติ กับความจริงของสังคม ความจริงของธรรมชาตินั้นเป็นความจริงที่เป็นไปตามกระบวนการและแบบแผนของธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่มีส่วนร่วมในการสรรค์สร้าง ทว่า มนุษย์อาจเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติได้บางส่วน และอาจปรับแต่งความจริงของธรรมชาติได้ในบางเรื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เอง เช่น เมื่อเราเรียนรู้เกี่ยวกับกฎของแรงโน้มถ่วง เราก็นำมาเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งในการสร้างเครื่องบิน และในบางกรณีเมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ แต่เรายังไม่มีปัญญาและความรู้เพียงพอในการปรับแต่งธรรมชาติได้ แต่เราก็สามารถบรรเทาหรือหลีกเลี่ยงความรุนแรงจากธรรมชาติได้ เช่น เมื่อเราเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ จนเข้าใจสภาพความเป็นจริงของการเกิดและการเคลื่อนที่ของพายุ เราก็สามารถหลบเลี่ยงภยันตรายจากพายุได้

โดยทั่วไปความเป็นจริงของธรรมชาติ จะเป็นอย่างที่มันเป็นเสมอตามวิถีของมัน แต่ความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับระดับความรู้และภูมิปัญญาของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย ยุคสมัยใดที่เราสามารถพัฒนาระเบียบวิธีการและเครื่องมือในการศึกษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็อ่าจทำให้ความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไปเป็นการเข้าใจแบบใหม่ได้ การเปลี่ยนแปลงความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ เราเรียกกันว่าเป็น “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” เช่น เมื่อก่อนเราเข้าใจว่า “เวลา” และ “อวกาศ” เป็นสิ่งที่แยกจากกัน แต่เมื่อเรามีการศึกษามากขึ้น เราก็เปลี่ยนความเข้าใจใหม่ว่า “เวลา” และ “อวกาศ” มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน และโค้งงอบิดเบี้ยวได้หากเผชิญกับวัตถุขนาดใหญ่

หรือตัวอย่างที่ดูเรียบง่ายกว่า คือ เมื่อก่อนเราไม่ทราบว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคบางอย่างในมนุษย์ เพราะดวงตาของเราไม่อาจมองเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ ครั้นเมื่อเราศึกษามากขึ้น สะสมความรู้มากขึ้น มีวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และประดิษฐ์เครื่องมืออย่างกล้องจุลทรรศน์ขึ้นมาได้ เราก็สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น และนั่นเองที่ทำให้เราทราบว่าโรคบางของมนุษย์อย่างเกิดจากเชื้อโรคขนาดเล็กเหล่านั้น

การยอมรับและเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาความก้าวหน้าในด้านต่างๆได้อย่างมากมาย ด้านหนึ่ง ทำให้มนุษย์มีความสะดวกสบายมากขึ้น มีอายุยืนยาวมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่งมนุษย์ก็ใช้ความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ มาปรับแต่งธรรมชาติเดิมให้บิดเบี้ยวจนเลยเถิด กระทั่งส่งผลร้ายต่อมนุษย์เอง เช่น การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากจนเกินขอบเขต จนทำลายระบบนิเวศน์ และทำอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ หรือ การใช้วัตถุธรรมชาติอย่างถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จนสร้างมลพิษและผลกระทบอย่างมหาศาลทั้งต่อธรรมชาติเองและมนุษย์ด้วย

สำหรับความเป็นจริงอีกแบบหนึ่งคือ “ความเป็นจริงทางสังคม” ซึ่งเป็นความเป็นจริงที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากความคิด ความปรารถนา และการปฏิบัติร่วมกันในแต่ละสังคมและแต่ละยุคสมัย ความเป็นจริงทางสังคมจึงมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าความเป็นจริงของธรรมชาติ เพราะความคิดและความปรารถนาของมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง และมนุษย์กับธรรมชาติอื่นๆ ความเป็นจริงทางสังคมของแต่ละสังคมและแต่ละยุคสมัยจึงมีความแตกต่างกัน เช่น ระบบไพร่ คือความเป็นจริงของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่ระบบไพร่ได้สลายหายไปแล้วในสังคมปัจจุบัน แม้ว่าจะมีบางกลุ่มในบางเวลาพยายามที่บอกว่า สังคมไทยมีความเป็นจริงเช่นนี้ดำรงอยู่ แต่นั่นเป็นเพียงความเชื่อที่ผิดพลาดเชิงมายาคติของกลุ่มคนเหล่านั้นเท่านั้นเอง

ตามความเข้าใจของผม ความเป็นจริงทางสังคมมีอย่างน้อยสามระดับด้วยกันคือ ความเป็นจริงระดับโครงสร้าง ระดับแบบแผน และระดับปรากฎการณ์ ความเป็นจริงทางสังคมเชิงโครงสร้างนั้นเป็นความเป็นจริงที่ดำรงอยู่และมีการปฏิบัติติดต่อสืบเนื่องอย่างยาวนานในสังคมใดสังคมหนึ่ง หรืออาจหลายสังคมก็ได้นับศตวรรษ จนกระทั่งมนุษย์รุ่นหลังเกิดความเข้าใจไปว่า ความเป็นจริงทางสังคมเชิงโครงสร้างกลายเป็นความเป็นจริงแบบธรรมชาติไปก็มี เช่น ระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ระบบเครือญาติ รัฐ เป็นต้น ความเป็นจริงเชิงโครงสร้างมักจะมีความเสถียรภาพสูงและเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าความเป็นจริงทางสังคมแบบอื่นๆ เพราะความเป็นจริงแบบนี้มีแนวโน้มตกผลึกลงไปอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์แทบจะไม่รู้ตัวว่าความเป็นจริงเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา

สำหรับความเป็นจริงทางสังคมเชิงแบบแผน เป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติที่ดำรงอยู่ในสังคม หรือเป็นแบบแผนเชิงแนวโน้มที่ต่อเนื่องของปรากฎการณ์ทางสังคม มนุษย์สามารถเข้าใจความเป็นจริงนี้จากประสบการณ์ การเรียนรู้และสรุปบทเรียนโดยใช้ภูมิปัญญา หรือจากการศึกษาวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบ แต่การตีความหรือการให้ความหมายของความเป็นจริงแบบนี้อาจมีความแตกต่างกัน ตามสภาพภูมิปัญญาและความเชื่อพื้นฐานของแต่ละคนที่ได้รับอิทธิพลมาจากความเป็นจริงเชิงโครงสร้าง เช่น แบบแผนวัฏจักรการเมืองในประเทศไทย แบบแผนการจัดตั้งรัฐบาลผสม แบบแผนการบริโภคสินค้า แบบแผนการเคารพกฎหมายของคนในสังคม แบบแผนการเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น ความเป็นจริงทางสังคมเชิงแบบแผนนั้น มีเสถียรภาพน้อยกว่าความเป็นจริงทางสังคมเชิงโครงสร้าง หรือสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าความเป็นจริงเชิงโครงสร้างนั่นเอง

สำหรับความเป็นจริงทางสังคมที่ผู้คนสัมผัสและรับรู้ได้ง่ายที่สุดคือ ความเป็นจริงระดับปรากฎการณ์ ซึ่งหมายถึง การผสานของเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆ ที่อยู่ในเรื่องเดียวกัน และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ความเป็นจริงแบบนี้สามารถเข้าถึงได้โดยประสบการณ์ การวิเคราะห์ และการประเมินอย่างสังเขปได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาและการเปิดกว้างของจิตใจของผู้นั้นด้วย ตัวอย่างความเป็นจริงระดับนี้ เช่น คะแนนนิยมต่อรัฐบาล ราคาสินค้าเกตร ระดับค่าครองชีพ การปฏิบัติตัวข้าราชการ ความนิยมของวัยรุ่นต่อนักแสดง การรับสินบนของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น

การทำความเข้าใจกับความเป็นจริงทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตนเองย่อมมีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน ดังการเป็นรัฐบาลก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงทั้งสามระดับที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล อย่างน้อยๆ ก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงระดับปรากฎการณ์ อย่างเรื่องความนิยมที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล เพราะว่าหากไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดพลาด ก็จะทำให้การตัดสินใจบริหารประเทศผิดพลาดตามไปด้วย

สิ่งที่เรามักพบเห็นอยู่เสมอคือ ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้บริหารประเทศมักจะไม่อาจรับรู้ความเป็นจริงทางสังคมแม้แต่ในระดับปรากฎการณ์ได้ เพราะว่าถูกคนรอบข้างบิดเบือนความเป็นจริงเหล่านั้นบ้าง หรือไม่ก็ตกอยู่ในภาวะการคิดแบบเข้าข้างตนเองอย่างสุดขั้ว หรือ ไม่ก็ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของความโลภและผลประโยชน์ หรือไม่ก็ยังไม่ตระหนักรู้ว่า สิ่งตนเองเชื่อว่าจริงในเชิงโครงสร้าง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงระดับปรากฎการณ์ไปแล้ว

อย่างรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในช่วงเริ่มต้น ความเป็นจริงเชิงปรากฎการณ์คือ ประชาชนนิยมต่อรัฐบาลอย่างมากมาย แต่เมื่อบริหารไปจนถึงปีที่สาม ประชาชนก็เสื่อมความนิยมลงไปตามลำดับ ในช่วงแรกรัฐบาลอาจไม่ยอมรับความจริงเหล่านั้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่จิตใต้สำนึกยังไม่ยอมรับรู้ ทั้งๆที่มีปรากฎการณ์มากมายที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะการตกต่ำดังกล่าว แต่ครั้นเมื่อเริ่มเข้าใจความเป็นจริงเชิงแบบแผนของการเป็นรัฐบาลว่ามักมีแบบแผนในลักษณะที่ว่า เมื่อบริหารประเทศได้ระยะหนึ่ง รัฐบาลแทบทุกรัฐบาลก็มักจะมีคะแนนนิยมตกต่ำลง ในที่สุดก็เกิดความตระหนักรู้และยอมรับความจริงว่า รัฐบาลของตนเองก็อยู่ในช่วง “ขาลง” หรือ มีคะแนนนิยมตกต่ำลง อันเป็นแบบแผนที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปของการเป็นรัฐบาล

เมื่อรับรู้ความจริงแล้ว หากผู้บริหารประเทศมีสติปัญญาและไม่ถูกบดบังด้วยอคิตความลำเอียงหรือด้วยความเชื่อที่ผิดพลาดบางอย่าง ผู้บริหารประเทศก็มักจะคิดและทบทวนการทำงานของตนเองที่ผ่านมา และดำเนินการปรับปรุงให้ดีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอาจต้องทบทวนยุทธศาสตร์และเป้าประสงค์สำหรับอนาคตใหม่ ที่ยืนอยู่บนสภาพความเป็นจริง อย่างน้อยก็สามารถลดความเสี่ยงต่อความเสียหายในอนาคต และสามารถลงจากเวทีการเมืองได้อย่างสง่างาม และได้รับการพูดถึงในทางบวกจากคนรุ่นหลัง

การยอมรับความเป็นจริงจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับการแสวงหาหนทางแก้ไขข้อผิดพลาดที่ผ่านมา และป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในอนาคต ที่อาจเกิดซ้ำรอยในสิ่งที่คนรุ่นก่อนๆเคยทำ




กำลังโหลดความคิดเห็น