xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เพราะเธอหรือเปล่า? ชัยชนะ “ป๋าป้อม” บนความพ่ายแพ้ของประเทศไทย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ณ เวลานี้ คงไม่มีบทสรุปอะไรจะดีไปเสียกว่าคำว่า “เพื่อคนๆ เดียว” เพราะนับตั้งแต่ปรากฏ “แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน” ของ “ป๋าป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทุก “องคาพยพแห่งอำนาจ” ทุกอย่างที่มีอยู่ในมือถูกใช้ออกมาในทุกท่วงท่าและทุกรูปแบบ ทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อปกป้อง “ป๋าป้อม” ให้หลุดพ้นจากความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญคือ ใช้โดยมิได้สนใจถึงผลลัพธ์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาล กับกระบวนการยุติธรรมและกับประเทศไทยในภาพรวมเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

แน่นอน สุดท้าย “ป๋าป้อม” อาจ “ชนะ” และหลุดพ้นจากคดีไปได้แบบหืดจับ แต่นั่นก็ต้องยอมรับว่า เป็น “ชัยชนะ” ที่ทำลายความชอบธรรมอันพึงมีของทั้งรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในการบริหารราชการแผ่นดิน กระทั่งในที่สุดก็กลายเป็นความพ่ายแพ้ของประเทศไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ หลัง “ป๋าป้อม” มีบทสรุปให้กับตัวเองในเรื่องนาฬิกาหรู 25 เรือนว่า “ของเพื่อน วนๆ กันใส่ คืนไปหมดแล้ว” ถัดจากนั้น “ขบวนการอุ้ม” ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจาก “ตัวละครลับ” ผู้เป็นเจ้าของนาฬิกาก็ปรากฏชื่อออกมาสู่สายตาของสาธารณชนว่าคือ “เสี่ยคราม ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนรักของป๋าป้อมที่เสียชีวิตไปแล้วแห่ง “อาณาจักรคอม-ลิงค์”

และผู้ที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเป็นนาฬิกาของ “เสี่ยคราม” ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเพื่อนซี้ร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6(ตท.6) อย่าง “บิ๊กกี่-พลเอกนพดล อินทปัญญา” ซึ่งปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

เพื่อนกี่ออกมายืนยันว่านาฬิกาของเพื่อนป้อมเป็นของเพื่อนคราม โดยออกมายืนยันหลังมีการปล่อยข่าวจาก “แหล่งข่าว” ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็น “อดีตนายทหาร” นำร่อง

“นาฬิกาที่พลเอกประวิตรใส่เป็นของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิทตั้งแต่ สมัยเรียนป.1 รร.เซนต์คาเบรียล ของพลเอกประวิตร จริงๆ เพราะนายปัฐวาท มีฐานะ และเล่นนาฬิกา มีนาฬิกา น่าจะเป็น 100 เรือนและมักจะมีเรือนใหม่ๆ มาโชว์เสมอๆ แล้วก็ให้ พลเอกประวิตร เอาไปใส่เสมอๆ เมื่อใส่แล้ว 2-3 เดือนเบื่อ. ก็เอาไปคืน แล้วก็เอาเรือนใหม่มาใส่อีก. จึงจะเห็นพลเอกประวิตรใส่นาฬิกา ไม่ค่อยซ้ำกัน เป็นอย่างนี้มาตลอดหลายสิบ ปีเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน พลเอกประวิตรและนาย ปัฐวาท เป็นเสมือนพี่น้อง เพราะห่วงใยรักใคร่กันมาตลอดเวลา 50 -60 ปี ครั้งหนึ่งนายปัฐวาท มีปัญหาสุขภาพที่อเมริกา เรียกว่า เกือบตาย พลเอกประวิตรก็บินไปรับกลับมา พาตัวไปรักษาด้วยตัวเอง ส่วนอีกครั้งหนึ่งนายปัฐวาทมีปัญหาเรื่องขาเป็นแผล เป็นเบาหวาน จนเดินไม่ได้ และเกือบต้องตัดขา พลเอกประวิตรก็พาไปหาหมอเก่งๆ หลายคน หมอจีน หมอทุกแขนง เพื่อรักษา จนหายไม่ต้องตัดขาทิ้ง มันเป็นความรักความผูกพันของเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่เป็นเสมือนพี่น้องกันไปแล้ว หรือเรียกว่า เพื่อนตาย ตอนที่ปัฐวาทตาย ป้อมเขาเสียใจมาก เขาไปงานศพ ทุกวันเลย เพราะผูกพัน กันมานาน พลเอกประวิตรและนายปัฐวาทชอบเหมือนกันคือ นาฬิกา และชอบไปทำบุญ เดินสายไปทุกที่ ยิ่งวัดยากจน ก็ไปช่วยกันบริจาค สร้างนั่นสร้างนี่ โดยเฉพาะที่นครพนม พระเจ้ารู้จักหมด”

บิ๊กกี่สาธยายพร้อมบอกด้วยว่า “ผมเองก็เคย เอานาฬิกาของ คุณปัฐวาทมาใส่ แต่ 2 เดือนผมก็เอาไปคืน เพราะผมไม่ชอบนาฬิกา ผมสะสมพระ มากกว่า”

ความจริงก่อนหน้าที่จะปรากฏชื่อ “เสี่ยคราม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวของ “ป๋าป้อม” เพราะ “เสี่ยคราม” เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา กระบวนการ “อุ้ม” พลเอกประวิตรเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่มี “น้องกุ้ย-พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ สายตรงวงษ์สุวรรณนั่งเป็นประธาน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใส่ใจในการทำหน้าที่องค์กรตรวจสอบการโกงของชาติ

ไม่หือ ไม่อือ ไม่เร่งรัด

ประธานกุ้ยบอกว่า พี่ป้อมชี้แจงข้อมูลแล้ว และกำลังสอบปากคำ “ผู้เกี่ยวข้อง” ทำท่าเสมือนหนึ่งไม่ได้ให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่ประชาชนคนไทยประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับ “วรวิทย์ สุขบุญ” เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ดูไม่เร่งรีบตอบคำถามของสังคมและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะทำ พอถามหนักเข้าก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลื่อนไป

นี่ไม่นับรวมถึงการที่ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)” ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายและ คสช.ตั้งมาเองกับมือกล้ายกมือ “ผ่าน” ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งสาระสำคัญคือการต่ออายุให้ กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเข้าข่ายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

จะเรียกว่า เป็นการเหยียบย่ำ “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่ คน คสช.เขียนขึ้นมาเองกับมือและยังผ่านเสียงประชามติจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ก็คงไม่เกินเลยไปจากความจริงเท่าใดนัก

เหตุผลเดียวที่ สนช.ยกมือสลอนเพื่อต่ออายุให้กับ “ประธานกุ้ย” และอีก 6 กรรมการ ป.ป.ช.ทั้งๆ ที่ขัดรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากเรื่อง “ผลงานอันเข้าตากรรมการ” แล้ว มิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า เพื่อต้องการช่วย “เจ้านายของตัวเอง” ให้รอดพ้นจากคดีเป็นประการสำคัญ

ภาพลักษณ์ของ สนช.ที่เคยผ่านร่างกฎหมายอันก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติมากมายต่ำเตี่ยเรี้ยดินไปในฉับพลันทันที เพราะแสดงให้เห็นว่า “สั่งได้” มิใช่องค์กรที่ดำรงความอิสระประการใด แถมยังจะพาลไปสร้างแรงกดดันและความมัวหมองให้กับ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่จะต้องตีความอีกต่างหาก
[จากซ้ายไปขวา] พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
และถ้าจะว่าไปแล้วก็ต้องรวมถึงตัว บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่พยายามลอยตัวในเรื่องฉาวโฉ่ของพี่ป้อมมาโดยตลอด กระทั่งออกตัวขอร้องสื่อมวลชนให้ลดความสำคัญกับเรื่องนี้ ด้วยวรรคทอง “ลดราวาศอก” กันบ้าง ลืมเลือนไปว่าตัวเองเคยไปเดินสายพูดคำสวยหรู “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ในหลายวาระ ทั้งๆ ที่สามารรถเคลียร์คัทตัดจบด้วยการสั่ง “พักงาน” ด้วยอำนาจ ม.44 เหมือนกับที่เคยทำกับข้าราชการคนอื่นๆ เป็นกระบุงโกย ส่งทำให้คะแนนนิยมตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

กระทั่งในสุดเมื่อ “เซ็ตทางออกลงตัว” ด้วยการเปิดตัว “เสี่ยคราม-ปัฐวาท” กระบวนการอุ้ม “ป๋าป้อม” ก็เฉิดฉายออกมาให้เห็น โดยทุกองคาพยพต่างพากันออกมารับลูกกันเป็นทอดๆ ราวกับถูกวางแผนและออกแบบเอาไว้แล้วล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น

เริ่มด้วยการประกาศของ “บิ๊กตู่” ที่กางปีกปกป้อง “พี่ป้อม” แบบเต็มอัตราศึกเช่นกัน โดยบอกว่าเรื่องนี้เป็น “เรื่องส่วนตัว” สอดรับกับการออกแรงช่วยของ “บิ๊กกี่-พลเอกนพดล” อย่างพอเหมาะพอเจาะ

พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์แบบเสียงดังฟังชัดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 ว่า “ขอให้แยกแยะให้ออกว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของ พลเอกประวิตร และเรื่องเหล่านี้ก็มีขั้นตอนและกระบวนการ ส่วนกระบวนความว่าได้มาอย่างไร มาจากไหน หลายคนไปกล่าวอ้างว่ามาจากการทุจริตที่ไหน อย่างไร ก็ต้องมีการสอบสวนกันต่อ เพราะฉะนั้นต้องรอข้อยุติให้ได้ก่อนในกระบวนการเหล่านี้ อยากทำความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คำสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทำก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้ว และมีผลออกมาเช่นนี้ เห็นควรให้เอาออกก่อน ผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกัน ก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทำไมผมไม่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น อีกประการทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านำสองเรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม”

ตามต่อด้วยการแถลงข่าวของ “นายวรวิทย์ สุขบุญ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วสาระสำคัญคือการตอกย้ำให้เห็นชัดๆ ว่า “ถ้านาฬิกาไม่ใช่ของบิ๊กป้อมก็ไม่ต้องยื่นบัญชี เพราะต้องแสดงเฉพาะทรัพย์สินตนเองและคู่สมรสพร้อมบุตร” ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการแบไต๋ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคดีของบิ๊กป้อมได้เป็นอย่างดีว่าจะจบลงอย่างไร

ขณะที่การถอนตัวจากกรรมการพิจารณาคดีของ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล” ประธาน ป.ป.ช.สายตรงวงษ์สุวรรณ ที่เลขาธิการ ป.ป.ช.พยายามทำให้สังคมเห็นความโปร่งใส ก็มิได้สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังทำให้สถานการณ์ย่ำแย่หนักกว่าเก่าอีก เพราะ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้วต้องถือเป็น “ภาคบังคับ” เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 46(5) เขียนเอาไว้ในเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิด มิใช่เรื่องของการแสดงสปิริตประการใด

ด้าน FCลุงป้อมตัวจี๊ดอย่าง “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็มาพร้อมกับประโยคเด็ดเมื่อถูกถามถึงเรื่องนาฬิกาหรูว่า “กปปส. ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแล้ว ผมคิดว่ารัฐบาลขณะนี้ก็ไม่มีฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้น กปปส. ก็ไม่มีหน้าที่ไปตรวจสอบรัฐบาล หน้าที่ของเราคือต้องบอกประชาชน ว่า อะไรที่ คสช. ปฏิรูปแล้วก็ขอบคุณ อะไรที่ยังทำไม่ได้ ก็ต้องทำต่อ” จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของ “เทพเทือก” กับ “ป๋าป้อม” โดยมิได้สนใจใยดีถึงหัวอกของมวลมหาประชาชนที่ต้องการการปฏิรูป และไม่ต้องการเห็นเรื่องทุจริตเกิดขึ้นในประเทศไทย

ทำเป็นเล่นไป เวลานี้ผู้คนที่เคยอยากเห็นการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็กลับกลายเป็นอยากเห็นเลือกตั้งก่อนปฏิรูปไปเสียแล้ว

ส่วนพี่ป้อมก็ออกอาการหงุดหงิดพร้อมโบ้ยไปว่า ปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูที่ขยายวงกว้างออกไปเป็นเรื่องใหญ่โตเป็นเพราะ “สื่อไทย” โหมกระพือข่าวจนต่างชาติกระโดดร่วมวงด้วย ซึ่งก็ต้องถาม บิ๊กป้อมกลับไปว่า แล้วใครล่ะที่ทำให้“ธรรมาภิบาลไทย ก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก” ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีนาฬิกาหรูกลายเป็นประเด็นที่ “สื่อต่างประเทศ” หลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี สหรัฐอเมริกาฯลฯ นำไปเสนอข่าวครึกโครม ถึงความอู้ฟู่ของ “รองนายกรัฐมนตรีไทย”

อาทิ Daily Mail ของอังกฤษ ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “The Rolex general : Thailand's junta number two has been photographed with 25 different luxury watches worth $1.2 million since a 2014 coup, social media sleuths say” หรือแปลตามตัวอักษรว่า “นายพลโรเล็กซ์ : โลกออนไลน์แฉผู้นำหมายเลข 2 ของรัฐบาลทหารประเทศไทยกับภาพคู่นาฬิกา 25 เรือนมูลค่ารวม 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557”

หรือ The Straits Times ของสิงคโปร์ นำเสนอรายงานข่าว “Four people to be quizzed by Thai anti-graft agency in deputy PM Prawit luxury watch saga” โดยเนื้อหากล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วัชรพล เรียกบุคคล 4 คน เข้าให้ข้อมูลเรื่องนาฬิกาของ พลเอกประวิตร แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดมากกว่านี้ รวมถึงไม่เปิดเผยว่าทั้ง 4 คนเป็นใครบ้าง

เรียกว่า “ฉาวโฉ่” ไปทั่วโลกเลยทีเดียว

แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ วันดีคืนดี “มูลนิธิเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย” ก็ประกาศถอนตัวออกจาก “องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ” เสียอย่างนั้น ซึ่งแม้ว่า จะอ้างว่าเป็นเรื่องของมูลนิธิฯ ไม่ใช่รัฐบาล พร้อมทั้งอ้างว่าองค์กรดังกล่าวมีอคติและประเมินไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในประเทศไทย แต่เมื่อห้วงเวลามาประจวบเหมาะกันอย่างนี้ ก็ทำให้ถูกตีความไปได้ว่าหรือ “รัฐบาล” จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยปริยาย เพราะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจที่ผลการประเมินขององค์กรฯ กำลังจะออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้ พร้อมๆ กับภาพลักษณ์ขององค์กรปราบโกงอย่าง ป.ป.ช.ตกต่ำถึงขีดสุด เหมือนกับออกตัวไม่ยอมรับผลการประเมินอยย่างนั้น

ดังที่ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต สว.กรุงเทพฯ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “การประกาศถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรความโปร่งใสนานาชาติในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางข้อครหาเรื่องนาฬิกาหรู ของตำแหน่งเบอร์ 2 ในรัฐบาลคสช. ย่อมทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่า ใครบางคนคงไม่ต้องการเห็นตัวเลขดัชนีความ”ไม่”โปร่งใส ของประเทศไทยให้ระคายเคืองตา และเคืองใจกระมัง ใช่หรือไม่”

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะการทำเพื่อ “คนคนเดียว” ได้ส่งผลทำให้การทำหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ทำให้โอกาสดีๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตไปด้วยดีต้องสูญเสียไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะของคนคนเดียวๆ ที่นำมาซึ่ง “ความพ่ายแพ้” ของประเทศ

นี่คือต้นทุนที่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากสิ่งที่ต้องบันทึกไว้ว่าคือ “ปรากฏการณ์ประวิตร”




กำลังโหลดความคิดเห็น