ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ธรรมดาแน่นอน กรณีการบุกทลายอาบอบนวด “วิคตอเรียซีเครท” ย่านพระราม 9 หลังพบหลักฐานเข้าข่าย “ค้ามนุษย์” ลักลอบ “ค้าประเวณีเด็ก” อายุต่ำกว่า 18ปี พบหญิงขายบริการชาวต่างด้าว 113 คน อายุน้อยสุดเพียง 14 ปี
อีกทั้งปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองฯ และทหาร ที่ไร้เงาตำรวจ ยังเป็นเหตุอันนำมาซึ่งการ “สั่งเด้ง 5 เสือ” สน.วังทองหลาง เจ้าของพื้นที่ตามพิธีกรรมธรรมเนียมปฎิบัติ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล “สังเวยพิษอาบแตก”
ขณะเดียวกันก็พบเอกสารลับเชื่อมโยง “ส่วยน้ำกาม” หลักฐานการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้นว่า บัญชีจ่ายส่วยจำนวนหลายเล่ม หลักฐานการรับรองการใช้บริการฟรีของคนมีสีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สรรพากร หรือนายตำรวจตั้งแต่นายตำรวจระดับผู้กำกับโรงพักในท้องที่ไปจนถึงนายตำรวจชั้นประทวน
แน่นอน สังคมกำลังจับจ้องถึง “ความบกพร่องของตำรวจ” เหตุใดปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดเช่นนี้ โดยเฉพาะตำรวจในท้องที่ที่ต้องรับผิดชอบ และหน่วยงานที่มีหน้าที่ปราบปรามโดยตรงอย่าง “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.)” สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ที่น่าสังเกตคือทุกครั้งที่บุกตรวจสถานบริการลักษณะนี้ จะเห็นว่า ตำรวจในท้องที่ถูกเด้ง ขณะที่ ตำรวจ ปคม. กลับลอยตัว ย้อนกลับไปเมื่อบุกทลายอาบอบนวด “นาตาลี” ย่านรัชดาฯ ปี 2560 หรือไม่ว่าการบุกค้นอาบอบนวดครั้งใดก็ตามแต่ มักพบหลักฐานบัญชีส่วย การดูแลรับรองตำรวจในท้องที่ และ ตำรวจ ปคม. เข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องผลประโยชน์ทุกครั้ง จึงไม่แปลกว่าเหตุใดขบวนการค้ามนุษย์ค้าน้ำกามยังเน่าเฟะอยู่ในสังคมไทย
กรณีบุกตรวจอาบอบนวด นาตาลี พบการกระทำความผิดหญิงค้าประเวณี และอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวนมาก เป็นเหตุให้ตำรวจโรงพักห้วยขวางโดนเด้งยกโรงพัก เช่นเดียวกับ ผบก.น.1 ในขณะนั้นถูกเก็บเข้ากรุ ทว่า ตำรวจ ปคม. ที่มีโพยรายชื่อรับส่วยร่วมรับผลประโยชน์ไม่ถูกดำเนินการใดๆ
หรือเมื่อครั้งการบุกตรวจสถานบันเทิง “เดอะเบสต์” และ “ฮาเล็ม” ย่านถนนอินทามระ ในปีเดียวกัน พบหลักฐานเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ปรากฎว่ามีเพียงตำรวจ 5 เสือ สน.บางซื่อ ที่โดนเด้งและถูกตั้งกรรมการสอบสวน
สำหรับปฏิบัติการบุกค้นอาบอบนวด “วิคตอเรียซีเครท” ย่านพระราม 9 เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา พบลักลอบค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี มีการคุมตัวหญิงบริการ 113 คน ทั้งชาวไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา ในจำนวนนี้ต้องสงสัย 10 คน อายุต่ำกว่า 18 ปี และอายุน้อยที่สุดเพียง 14 ปี
มีการจับกุม นายบุญทรัพย์ อมรรัตนสิริ หรือ ป๋ากบ อายุ 55 ปี หัวหน้าเชียร์แขก ตามหมายจับศาลอาญาร่วมกันค้ามนุษย์เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี รวม 6 ข้อหา ต่อมาได้จับกุม ศศิธร วิระเทพสุภรณ์ อายุ 46 ปี เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด อมรินทร์ออนเซน และกรรมการผู้ขอใบอนุญาตเปิดสถานอาบอบนวด “วิคตอเรียซีเครท” ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารัชดา รวมทั้งหมด 13 ข้อหา
รวมทั้ง พบหลักฐานบ่งชี้ความผิดฐานค้ามนุษย์ พบเงินสดเป็นธนบัตรกว่า 10 มัด รวมจำนวนหลายแสนบาท เอกสารค่าใช้จ่ายต่างๆ เอกสารรายรับ รายชื่อลูกค้า บัญชีรายชื่อพนักงานนวด และซองจดหมายสีขาวใส่เงินค่าตัวพนักงานนวดหลายซอง และมีข้อมูลเผยว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 20 รายพัวพันส่วยน้ำกาม พบเอกสารบัญชีการให้การรับรองในส่วนนวดแก่เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดต่างๆ ทั้งตำรวจนครบาล (บช.น.) ตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ตั้งแต่ระดับท้องที่ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ปฏิบัติการอาบแตกขยายผลอย่างคึกคัก ทั้งมีกระแสข่าวว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดี ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าชุดบุกตรวจค้นอาบอบนวดวิคตอเรียซีเครท เปิดเผยว่า ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนสอบสวน และการแฝงตัวเข้ารวบรวมหลักฐานภายในที่เกิดเหตุ จนพบตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ และพฤติการณ์ลักลอบค้าประเวณี การจับกุมครั้งนี้มีข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดที่ชัดเจน
ย้อนปฏิบัติการทลายอาบอบนวดวิตอเรียซีเคร็ท คดีนี้เริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค. 2560 สืบเนื่องจากมูลนิธิพิทักษ์สตรีร้องขอให้เข้าช่วยเหลือเหยื่อที่เป็นเด็กหญิงชาวเมียนมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนและรับเป็นคดีพิเศษที่ 43/2560 พฤติการณ์ทางคดี เป็นการกระทำความผิดในลักษณะที่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างประเทศไทย เมียนมา และมาเลเซีย มีการนำพาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ามาค้าประเวณีในประเทศไทย
เริ่มจากนำพาเข้ามาขายบริการในการให้เปิดบริสุทธิ์ มีการจ้างโบรกเกอร์หรือนายหน้าจัดหาเด็ก โดยล่อลวงหญิงสาวอายุไม่ถึง 18 ปี ส่วนใหญ่เป็นต่างด้าวไปค้าประเวณี กระทำเป็นขบวนการค้ามนุษย์จัดหาเด็กส่งสถานบริการต่างๆ ในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด รวมทั้ง นำมาค้าประเวณีที่สถานที่ดังกล่าว เข้าลักษณะความผิดฐานค้ามนุษย์
อนึ่ง การขอใบอนุญาตและต่อใบอนุญาตสถานบริการอาบอบนวด จะต้องได้รับการพิจารณาจาก บช.น. นำเข้าบอร์ดที่ประชุมโดยมีที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานร่วมพิจารณาว่าจะให้ต่อใบอนุญาตหรือไม่ โดยสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท ได้ขอใบอนุญาตสถานบริการประเภท 3 อย่างถูกต้อง
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ เป็นประธานประชุมเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนขยายผลเป็นขบวนการค้าประเวณีข้ามชาติหรือไม่ และจะใช้โมเดลการดำเนินคดีเช่นเดียวกับคดีอาบอบนวด นาตาลี ย่านห้วยขวาง ยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะเจ้าของที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงนอมินีเท่านั้น
เบื้องหลังของธุรกิจน้ำกามอาบอบ วิคตอเรียซีเครท ได้รับการเปิดเผย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออาบ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ในช่วงนายชูวิทย์มีเรื่องเล่า ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ระบุถึงกรณีอาบอบนวดดังกล่าว ความว่า อาบอบนวดแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2532 โดยในยุคที่ตนเองทำยังเป็นสีเทาๆ จากนั้นนับตั้งแต่ปี 2551 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยหลังจากนั้นเองมีประเด็นเรื่องการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งการค้ามนุษย์นั้นเป็นหนึ่งในฐานความผิดของกฎหมายฟอกเงิน ต่อมาเข้าสู่ยุคธุรกิจอาบอบนวดร่วงโรย พวกที่เหลืออยู่จึงเกิดการแข่งขัน จึงต้องมีโปรโมชั่น ลดอายุเด็ก ซึ่งต่างจากสมัยของตนเองที่เป็นเจ้าของรายเดียวถึง 6 แห่ง ไม่ต้องไปแข่งกับใคร
จากนั้นนายชูวิทย์ได้ขายอาบอบนวดให้กับ กำพล วิระเทพสุภรณ์ เมื่อเกือบ 15 ปีก่อนเพียงคนเดียว วิคตอเรียซีเครทในปัจจุบัน นายกำพล เป็นเจ้าของ น.ส.ศศิธร วิระเทพสุภรณ์ เป็นผู้ถือใบอนุญาต
“ผมขายคุณกำพล ผมเจรจากับคุณกำพล ที่ไหนผมขายไปบ้าง ผมขายวิคตอเรียไป ผมขายโคปาคาบาน่าไปที่รัชดา ผมขายฮอนโนลูลู ซึ่งปัจจุบันคือเลิฟโบ๊ท ที่พระราม 9 ไป คุณกำพลได้ไป 3 - 4 ที่” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ส่วนเงินรายได้ของสถานบริการนั้นได้นำเข้าสู่บัญชีธนาคารของบริษัทแห่งหนึ่ง หากเช็กจากทางเครื่องรับบัตรเครดิตของสถานบริการก็จะทราบว่าเข้าบัญชีของใคร ก่อนที่จะย้ายไปยังบัญชีอื่น เพื่อโอนเข้าสู่พอร์ตหุ้นบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ที่มี กำพล เป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งนั่นคือ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นายกำพล ถือหุ้นจำนวน 591,406,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.88 เปอร์เซ็นต์
เส้นทางอาบอบนวดในเมืองไทย นายชูวิทย์ เล่าว่าเกิดขึ้นราวๆ ปี 2506 - 2508 ช่วงสิ้นสงครามเวียดนาม เมื่อครั้งทหารอเมริกันมาตั้งฐานในเมืองไทย อาบอบนวดยุคแรกสำหรับบริการฝรั่งทหารอเมกัน โดยแห่งแรกมีชื่อว่า ลาสเตลล่า ย่านพัฒนพงษ์ สมันนั้นธุรกิจอาบอบนวดเฟื่องฟูขยายตัวไปในย่านวิสุทธิกษัตริย์ ย่านเพชรบุรีตัดใหม่ และย่านรัชดาภิเษกในปัจจุบัน ซึ่งบางแห่งล่มสลายไปตามกาลเวลา
สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีสถานบริการประเภท3 (3) อาบอบนวด ที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ทั้งหมด 82 แห่ง แบ่งเป็นท้องที่ สน.มักกะสัน 21 แห่ง , สน.ห้วยขวาง 14 แห่ง , สน.สุทธิสาร 8 แห่ง , สน.บางยี่ขัน 7 แห่ง , สน.พญาไท 6 แห่ง , สน.วังทองหลาง 5 แห่ง, สน.ลุมพินี 4 แห่ง , สน.พลับพลาไชย2 มี 2 แห่ง , สน.ปทุมวัน 2 แห่ง , สน.คลองตัน 2 แห่ง , สน.บางรัก 2 แห่ง , สน.สำราญราษฎร์ 1 แห่ง , สน.ภาษีเจริญ 1 แห่ง , สน.พระราชวัง 1 แห่ง , สน.บางนา 1 แห่ง , สน.บุคคโล 1 แห่ง , สน.วัดพระยาไกร 1 แห่ง , สน.ทองหล่อ 1 แห่ง , สน.บางชัน 1 แห่ง และ สน.ตลิ่งชัน 1 แห่ง