xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ดิ้นยื่นศาลรธน. รักษาราคาตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้รู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ก็สู้ “พรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม”อย่างประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่แปลความหมายได้ว่า เป็นการรีเซตพรรค ทั้งที่รู้ว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง แทบไม่มี นั่นเพราะมาตรา 44 ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันเอาไว้

แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ใส่เกียร์เดินหน้ายื่นแม้รู้ว่า แพ้เต็มประตู มันมีอะไรที่มากกว่าการแพ้-ชนะ ในเรื่องคดีความ เพราะถ้าว่ากันตามความจริง คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อพรรคสีฟ้ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ ในฐานะที่เป็นพรรคที่สมาชิกเหนียวแน่นที่สุดพรรคหนึ่ง

การรีเซตสมาชิกพรรค ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างสั่นคลอน แม้คนจะมองว่า พรรคที่ได้รับผลกระทบมากกว่า คือ พรรคเพื่อไทย ที่มีข่าวมาตลอดว่า จะถูกดูดสมาชิกพรรคไปอยู่กับฝ่ายท็อปบูต ที่มีการผนึกกำลังกันของทหาร-กลุ่มทุน และนักการเมืองบางก๊วน เพื่อสถาปนาตัวเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า
                
      ในส่วนของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ยากมากที่ทหารจะเข้าไปยึด เพราะฐานเสียงที่เหนียวแน่นของตระกูลชินวัตร ซึ่งทำได้เพียงการดีลกับคนที่พอพูดคุยกันได้เพื่อใช้ในการต่อรอง เข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้น ดังจะเห็นบทบาทของ“เจ๊หน่อย”คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่มีความพยายามผลักดันให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อให้สามารถ“ดีล”กับทหารได้ ในฐานะที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม

แม้ทหารจะครอบงำพรรคเพื่อไทยไม่ได้ แต่สามารถเจรจาต่อรองกับคนที่พอคุยกันได้อย่าง“เจ๊หน่อย”ซึ่งก็ดีกว่าในอดีต ที่เป็นคนของชินวัตร หรือเป็นพวกสายตรง ที่ไม่มีคอนเนกชั่นพอที่จะต่อรองกับเหล่าท็อปบูตได้เลย ขณะที่ในส่วนของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่จะโดนดูดเข้ามาอยู่กับทหาร ก็คงเป็นเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพรรคมากมาย เฉกเช่นแกนนำกลุ่มมัชฌิมา ของ“สมศักดิ์ เทพสุทิน”ที่ไม่ได้สำคัญกับพรรคเท่าไหร่ นอกจากเพิ่มตัวเลขจำนวน ส.ส. เพราะที่ผ่านมา ก็ชัดเจนว่าอยู่กับใคร ก็ได้ที่ให้ประโยชน์

แต่คนที่เดือดร้อนหนักสุดคือ “ประชาธิปัตย์”ที่แม้จะไม่มีก๊ก มีก๊วน เหมือนกับพรรคเพื่อไทย หรือดูดส.ส.มั่วซั่ว แต่วันนี้ 1 ในคนที่มีอิทธิพลภายในพรรคอย่าง“กำนันเทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้โอบอุ้ม“เดอะมาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนในอดีตอีกแล้ว หากแต่ปันใจ หรือเรียกว่าเทใจให้กับชายชื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. คนปัจจุบันไปแล้ว

“กำนันเทือก”แสดงออกชัดเจนว่า ต้องการผลักดันให้“บิ๊กตู่”เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะคิดว่า“อภิสิทธิ์” บอบช้ำเกินไปที่จะมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง และยิ่งจะเป็นการเพิ่มความขัดแย้ง จากความเกลียดชังจากคนเสื้อแดง ที่มีจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ขณะเดียวกัน ภายในพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่ “มาร์ค ม.7”แทบไม่มีตัวที่จะเอามาชูโรงแล้วขายดิบขายดีได้เลย

ขณะที่“บิ๊กตู่”เองยังเป็นของใหม่ ภาพลักษณ์เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ขายได้ ที่สำคัญตัวเองนั้น“ดีล”ได้ในเรื่องต่างๆ ทุกการสนับสนุนจึงทุ่มไปที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันทั้งหมด มากกว่า “เดอะมาร์ค”ที่ตัวเองเคยโอบอุ้ม ถึงขนาดประกาศรับผิดชอบเองตอนเหตุการณ์สลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553
 
เมื่อ“สุเทพ”แสดงตนชัดเจนว่า สนับสนุน“บิ๊กตู่”มันจึงทำให้อาจมี ส.ส.บางส่วน ต้องไหลมาทางเหล่าท็อปบูตด้วย โดยเฉพาะ อดีต ส.ส. ที่เป็นแกนนำ กปปส. ในอดีต แน่นอนอดีตกำนันท่าสะท้อน ไม่ได้หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ โดยการยึดพรรค เพราะเป็นเรื่องยาก แต่กำลังต้องการให้บรรดามวลสมาชิกภายในพรรคคิดเหมือนตัวเอง คือ หันไปสนับสนุนทหารก่อนเพื่อนทำลายล้างระบบทักษิณ

ซึ่งสิ่งที่ “สุเทพ”ต้องการนั้น ในมุมของผู้ใหญ่ภายในพรรค มันส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมาก เพราะมันจะทำให้พรรคสูญเสียความเป็นตัวเอง ที่เคยมีอิทธิพลต่อการเมืองได้เป็นอย่างมาก กลายเป็นว่า สิ่งที่ทุกคนสงสัยมาตลอดว่า พรรคสีฟ้ามักได้ประโยชน์จากการรัฐประหารทุกครั้ง โดยมีประชาธิปไตยบังหน้านั้น เป็นเรื่องจริง

ในทางระบอบประชาธิปไตยแล้ว การที่พรรคการเมืองที่มีอายุเก่าแก่สนับสนุนทหาร ไม่ต่างจากการละทิ้งจุดยืนในสายตาประชาชน เป็นการเปลือยกายล่อนจ้อนว่า ประชาธิปัตย์สนับสนุนการรัฐประหารทุกครั้ง ที่แท้เป็นการรับรู้กันมาตลอด เหนือสิ่งอื่นใด ที่สำคัญคือ ถ้า“สุเทพ”ยึดพรรคได้ อำนาจต่อรองของประชาธิปัตย์ จะหายไปทันที

อย่าลืมว่า แม้ทหารจะมี 250 ส.ว. คอยเป็นฐานรองก้นในรัฐสภา ผนวกกับบรรดากลุ่มก๊วนการเมือง พรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก แต่เอาเข้าจริงไม่เพียงพอต่อเสถียรภาพในรัฐสภา ที่จำเป็นต้องมีพรรคประชาธิปัตย์อีกพรรคไว้ให้อุ่นใจ เพื่อเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กชั้นยอดเอาไว้

การที่ทหารทำเหมือนไม่แคร์พรรคประชาธิปัตย์ เสมือนว่า "ไม่ง้อ" นั้น แท้จริงแล้วทหารเองก็ต้องการกำลังหลักอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ในการร่วมกันก่อร่างสร้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งหน้า ไม่มีทางที่จะเขี่ยพันธมิตรชั้นยอดนี้ให้ไปเป็นฝ่ายค้านแน่ เพราะนั่นเป็นการผลักมิตรไปเป็นศัตรู ใครต่างก็รู้ว่า ฝีปากและความเขี้ยวของค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผมในรัฐสภา มีมากแค่ไหน

ถ้าต้องมารับมือประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านในรัฐสภา บอกได้เลยว่า“บิ๊กตู่”ไม่มีความสุขแน่ และอาจไปเร็วกว่ากำหนด แต่ในขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ไม่กล้าเปิดศึกกับทหารมากเท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริง ไม่มีทางเลยที่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย จะหันไปจับมือกันโค่นล้มรัฐบาลทหาร

เพราะถ้าเลือกทำแบบนั้น เท่ากับเป็นการตัดกำลังมวลชนตัวเอง อย่าลืมว่า คนเสื้อแดงเกลียดประชาธิปัตย์เข้าไส้ พอๆ กับที่ กปปส. และมวลชนในภาคใต้ เกลียดพรรคเพื่อไทย แบบผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ เฉกเช่นเดียวกัน การเห็นนักการเมืองที่ตัวเองหันไปจูบปากกับศัตรู มันยิ่งทำให้มวลชนตัดสินลาจาก เพียงแต่ว่า การที่ประชาธิปัตย์ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองในฐานะพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่สามารถแสดงตัวสนับสนุนได้โจ่งแจ้ง และอีกจุดสำคัญ คือ รักษาสภาพตัวเองให้มีอำนานต่อรองกับเหล่าท็อปบูตได้ ไม่ใช่เออออห่อหมกไปทุกเรื่อง ไม่เช่นนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอายุเก่าแก่ จะต้องเดินตามทหารต้อยๆ ไม่มีปากไม่มีเสียง อย่างน้อยต้องให้มีอำนาจต่อรองที่มีน้ำหนักและราคา ไม่ใช่ว่า ง่ายทุกเรื่อง
 
เรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเพียงการลุกขึ้นสู้เพื่อให้เห็นว่า มีราคา และยาก !



กำลังโหลดความคิดเห็น