xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใครบอกกองหนุนหาย “ลุงตู่” สวมบท “นักล่าแต้ม” ต้อน “ก๊วนการเมือง” เข้าคอก เสริม “นั่งร้าน” สืบทอดอำนาจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่มีเหนียมกันแล้ว เมื่อ “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเสียงดังฟังชัด “..ผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง..”

เสมือนสารภาพกลางแดด ยอมรับเป็นครั้งแรกว่า ตัวเองเป็น “นักการเมือง” จากแต่ก่อนที่มักจะยืนกระต่ายขาเดียวว่า ตัวเองไม่ใช่ “นักการเมือง” มาโดยตลอด

คำประกาศตัวตน ต้อนรับศักราชใหม่ครั้งนี้ สร้างความฮือฮาไม่น้อย แต่ไม่ใช่ในแง่ความชื่นชม เพราะมองเป็นคำสารภาพที่ “จำนนต่อหลักฐาน” มากกว่า

เนื่องจากที่ผ่านมาหลายฝ่ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประยุทธ์” เป็น “นักการเมือง” มาตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งผู้นำประเทศ สมัยเป็น “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนจะเปลี่ยนอาชีพจากทหารมาเป็นนัการเมืองเต็มตัว หลังเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

ซึ่งก็จริงตามที่ “ประยุทธ์” ว่าไว้ว่า ตัวเองเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารมาก่อน จึงติดนิสัยทหารมาบ้าง ด้วยตลอดระยะเวลาที่เป็นนายกฯ มานั้น ไม่เพียงแต่ติด “นิสัยทหาร” อยู่ ที่หลายครั้งพูดจามึงมาพาโวย เหมือนสับสนว่าบทบาทตัวเองว่า ยังเป็นผู้บัญชาการทหาร ที่เห็นประชาชนหรือสื่อมวลชนเป็นผู้ใต้บังคัญชา ไปหมดเท่านั้น

แถมยังเอา “อำนาจทหาร” เหน็บเอว มาเล่นการเมืองแบบมัดมือคู่ต่อสู้ ชกข้างเดียวมาตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ปลายนวมก็ติด “อำนาจพิเศษ” อย่างมาตรา 44 ไว้เสียด้วย

จนมาระยะหลัง “ประยุทธ์” อดีตทหารอาชีพ ก็รีโนเวทตัวเป็น “นักการเมืองอาชีพ” ได้อย่างเนียนตา กับคิวการจัด “อีเวนต์การเมือง” ผ่านการเดินสายประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ในหลายจังหวัด

ตลอดจนการลงพื้นที่ตรวจราชการตั้งแต่เหนือจรดใต้ไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ ด้วยลีลาออดอ้อน ลูกล่อลูกชน ร่วมกิจกรรมกับชาวบ้าน ทั้งเกี่ยวข้าว ไถนา เดินตลาด ผัดก๋วยเตี๋ยว รำฟ้อน ร้องยี่เก ควบรถอีแต๋น คาดผ้าขาวม้าล้นจนเกือบถึงคอ แบบไม่เคอะเขิน

จึงต้องถือว่า เรื่องที่ “ประยุทธ์” คือนักการเมือง ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วอยู่แล้ว จะมีก็แต่ตัว “ลุงตู่” เองที่อาจจะเพิ่งรู้ตัว หรือเพิ่งจะมากล้ายอมรับความจริง

ขณะเดียวกันคำประกาศตัวตนของ “ลุงตู่” ก็ถูกจับได้ไล่ทันไม่ยากว่า หมุดหมายก็เพื่อปูทางสำหรับการสืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้ง เพียงแต่ไม่ต้องการให้ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลรัฐประหาร-รัฐบาลทหาร หรือ รัฐบาล คสช.

ด้วยระหว่างบรรทัด “ลุงตู่” กล้าพูดถึงขนาดว่า วันนี้ไม่มี “รัฐบาลทหาร” แต่เป็นรัฐบาลปกติ ที่มีพลเรือนร่วม ครม.อยู่ตั้งหลายคน

สำทับด้วยล่าสุดที่ตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำกับคำถามเกี่ยวกับโอกาสเข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนนอก” กับคำตอบที่ภาษาการเมืองเรียกว่า “แทงกั๊ก” ว่า “พูดไปก็จะเป็นการตัดทาง เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกก็ถือว่าตามระบบ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ ... นายกรัฐมนตรีคนนอกก็เลือกกันในรัฐสภา แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอตนเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก”

เป็นสุ่มเสียงแปร่งๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พอมีคำถามประเภทนี้มา ก็มักจะโดนปัดตกก่อนจะถึงโพเดียมด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริง “เกมลากยาว” ของ “ลุงตู่และชาวคณะ” ก็ถูกจับได้ไล่ทันมานานสองนานแล้วเช่นกัน ทว่า ตัวละครในท้องเรื่องไม่ว่าจะเป็น “ลุงตู่” ตลอดจน “คีย์แมน คสช.” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต่างก็แสดงท่าทีเหนียมๆ ไม่เคยคิดจะอยู่ยาว

จากช่วงแรกๆ ที่ คสช.เข้ามาท่ามกลางเสียงชื่นชม พร้อมความหวังว่า บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เวลาผ่านไปๆ นอกจากไม่ดีขึ้นแล้ว ยังทำท่าจะตกต่ำย่ำแย่ลงในหลายด้าน โดยเฉพาะในแง่ “ความโปร่งใส” ในการบริหารบ้านเมือง

 

อีกทั้งยังมีหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นถึงความหลงเหลิงใน “อำนาจ” อย่างชัดแจ้ง ไม่ต้องย้อนไปไกล คิวที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ย่ำยีบทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญ2560” ที่ คสช.ทำคลอดมาเองกับมือหน้าตาเฉย กับการต่ออายุให้กับ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (...) ที่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ด้วยเหตุผลที่ว่า ป...ชุดนี้ที่ “บิ๊กกุ้ย” พล...วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน กำลัง “ทำงานเข้าฝัก” ให้ดำรงตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะครบวาระ ไม่ต้องโดน“รีเซต - เซตซีโร” เหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ

 

หรือกรณีที่กำลังถูกดักทางว่า การแก้กฎหมายที่ส่งผลถึงความเป็นไปของ “รัฐวิสาหกิจไทย” ด้วยการปรับเปลี่ยนนิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ในร่าง พ...วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.. .... และร่าง พ...วิธีการงบประมาณ พ.. ... ทำ ให้ “ความเป็นรัฐเจือจางลง” ในชั้นของบรรดาบริษัทลูกทั้งหลาย ตามข้อสังเกตของ คำนูณ สิทธิสมาน อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มองว่าไม่เพียงแต่จะอุ้ม “รัฐวิสาหกิจ” ให้พ้นกฎหมายตรวจสอบภายในประเทศแล้ว ยังจะเปิดช่องให้ “ทุนนอก-ทุนไทย” เข้ามาสวาปามก้อนเค้กที่ชื่อ “รัฐวิสาหกิจ” อีกครั้ง

 

ผลลัพธ์การใช้อำนาจที่มีอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ไม่ได้ทำเพียงส่วนรวมนั้น ก็ทำให้ “กองหนุน” หรือแนวร่วมที่เคยร่วมกันชูรักแร้สนับสนุน “ฮีโร่ตู่” เมื่อพฤษภาคม 2557 ตีตัวออกห่างจากรัฐบาลชุดนี้ ไม่เท่านั้นหลายส่วนยังตั้งตัวเป็น “ปฏิปักษ์-ฝ่ายตรงข้าม” ไปอีกต่างหาก

 

จนตกผลึกกลายมาเป็นเสียงเตือนจาก “ป๋าเปรม” ถึง “หลานตู่”

 

ทว่า น่าแปลกที่ “ประยุทธ์” กลับตีความ “กองหนุน” ตามคำ “ป๋าเปรม” ไปแบบคนละเรื่องเดียวกัน ราวกับคนฟังภาษาไทยไม่แตกฉาก เมื่อระบุว่า “..กองหนุน หมายความว่า เราได้เอาคนทุกคนมาช่วยขับเคลื่อนประเทศไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชารัฐ ทั้งข้าราชการ เอกชน ประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ท่านก็บอกว่าใช้ไปหมดแล้ว..”

 

ก่อนจะจบแบบกำปั้นทุบดินว่า “กองหนุนอยู่ที่ใจ”

 

ไม่เพียงแต่คำพูดหรือการตีความที่มองได้ว่า “ประยุทธ์” พยายาม “ไม่นำพา” ความปรารถนาดีของ “ป๋าเปรม” ที่ต้องการบอกว่า กองหนุนหมดจากความผิดหวังใน คสช. แต่หากเร่งทำให้ประชาชนมีความสุขตามที่สัญญาไว้ กองหนุนจะกลับมาเอง

 

พฤติการณ์ของ “ประยุทธ์และคณะ” ยังสะท้อนว่า มุมมองที่มีต่อ “กองหนุน” หาใช่แรงศรัทธาหรือแรงสนับสนุนจากประชาชนที่จะมาจากการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จแต่อย่างใด หากแต่ “กองหนุน” ในใจของ “ประยุทธ์” คือ “กลุ่ม-ก๊วนการเมือง” ที่จะมาเป็น “นั่งร้าน” ให้ คสช.สืบทอดอำนาจ และผลักดัน “ประยุทธ์” เป็น “นายกฯ คนนอก” มากกว่า

 

ไม่ว่าจะเดินสาย “ตกเขียว-ตีเมืองขึ้น” ผ่านหมายเป็นทางการ ครม.สัญจร หรือตรวจราชการ ใช้จังหวะกระจายงบประมาณลงในพื้นที่โดยตรง พร้อมกวาดต้อน “กลุ่ม-ก๊วนการเมือง” มาประดับฉาก ทั้ง “เมืองย่าโม” จ.นครราชสีมา ของกลุ่ม สุวัจน์ ลิปตพัลลภ แห่งพรรคชาติพัฒนา หรือฉากอวยไส้แตกที่ จ.สุพรรณบุรี ฐานที่มั่นพรรคชาติไทยพัฒนา ของตระกูลศิลปอาชา ก่อนแวะไปเปิดงานของกองทัพเรือที่ จ.ชลบุรี ฐานที่มั่นพรรคพลังชล ที่วันนี้มี สนธยา คุณปลื้ม เป็นเสาหลัก

 

ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นคิว ครม.สัญจร จ.พิษณุโลก - สุโขทัย ที่ปิดห้องคุยกับ “กลุ่มมัชฌิมา” ที่มีชื่อ “มิสเตอร์เรียงหิน” สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหอก ยกทัพมาต้อนรับขับสู้ แสดงตัวว่างวดหน้าสังกัด “พรรคทหาร” แน่นอน

 

จากท่าทีที่ไปหนุงหนิงกับ “นักเลือกตั้ง - นักการเมือง” ที่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ที่ “ประยุทธ์” ตั้งแง่รังเกียจ และมักพูดถึง “นักการเมือง” แบบ “สาดเสียเทเสีย-หาดีไม่ได้” ตลอด 3-4 ปีมานี้

 

เสียงวิพากษ์ยังไม่ทันจาง ก็มีฉากภาพหลุดของ “บิ๊กตู่” และชาวคณะ ไปยืนยิ้มแป้นแล้น ร่วมกับพี่น้องบ้านใหญ่สะสมทรัพย์ แห่ง จ.นครปฐม ทั้ง “เผดิมชัย-ไชยยศ-ไชยา-อนุชา” อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

 

ด้วยข้ออ้างตื้นๆ ว่า ไปตีกอล์ฟ แล้วบังเอิญเจอกัน จนเกิดคำถามว่า สนามกอล์ฟเมืองไทยมีเป็นดอกเห็ด ไฉนถึงเจาะจงไปที่ “นิกันติ กอล์ฟ คลับ” ที่รู้กันทั้งบางว่า เป็นของ “ตระกูลสะสมทรัพย์” แถมย้อนดูข่าวช่วงแรกที่คณะ คสช. ปาดหน้าเข้ามาคว้าชิ้นปลามันไปรับประทาน พันธกิจแรกๆ เอาเป็นเอาตายกับการล้างบาง “ผู้มีอิทธิพล” ที่โดยมากเป็น “นักการเมืองระดับบิ๊กเนม” ทั้งนั้น

 

กับภารกิจชื่อเท่ๆ ว่า “ปฏิบัติการฟ้าสาง”ที่ทุกพื้นที่อิทธิพล โดนกันถ้วนหน้า หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือเครือข่าย “บ้านใหญ่สะสมทรัพย์” ที่ จ.นครปฐม ถูกเจ้าหน้าที่ “ลง” กันแบบถี่ยิบกับ ปฏิบัติการ “นครปฐมร่มเย็น” เรียกว่า ทุบกันจนน่วม

 

มาวันนี้หัวหน้าคณะรัฐประหารกลับลงไปเกลือกกลั้วกับนักการเมืองด้วยตัวเอง

 

ยิ่งน่าสังเกตว่า การพบปะลักษณะนี้ ที่ควรจะ “ปิดลับ” กลับมีการบันทึกภาพ ก่อนจะหลุดออกมาราวกับ “ตั้งใจ” เสมือนต้องการส่งสัญญาณให้ “ก๊วนการเมืองอื่น” รีบต่อสายปรี่เข้ามาสวามิภักดิ์ หากไม่ต้องการ “ตกรถ” ร่วมวงอำนาจไปด้วย

 

คิวที่ “ก๊วนลุงตู่” ออกหน้าดีลกับ “ก๊วนการเมือง”ด้วยตัวเองแบบนี้ ส่อเค้าจะเข้าทำนอง “สูตรขี้ผสมข้าว” อย่างที่ “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เคยชำแหละไว้ตั้งแต่ปีกลาย

 

ถึงขนาดที่ “บิ๊กตู่” ผู้เคยฉาบเคลือบด้วยภาพลักษณ์ “คนดี - คนเสียสละ” ยอมเปลืองตัวลงมาเล่นด้วยตัวเอง เพียงเพราะต้องการ “กองหนุน” สำหรับสมรภูมิเลือกตั้ง เพื่อเป็น “ทางลัด” ในการสืบทอดอำนาจ ซึ่งต่างจาก “กองหนุนแบบป๋า” ที่ต้องการให้ คสช.ใช้อำนาจที่มีอยู่ ทำตามสัญญาเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ เพื่อให้ประชาชนเป็น “นั่งร้าน” ที่ยั่งยืน

 

เมื่อ “ลุงตู่” สละภาพ “คนดี” ยอมแปดเปื้อนกับ “ของเน่า-ของเสีย” ที่ตัวเองตราหน้าไว้เอง ก็ต้องรอดูว่าการเดิมพันคณะนี้จะลุล่วงอย่างที่ “บิ๊กทหาร” คิดไว้หรือไม่

 

วันเวลาจะตัดสินเอง.

 


ภาพประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศดังๆ ว่า “เป็นนักการเมือง”
พร้อมย้ำหลายครั้งถึงมอตโต้ที่ติดหูคนไทยอย่าง “ขอเวลาอีกไม่นาน จะคืนความสุขให้คนไทย” ในอารมณ์ว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจตาม “โรดแมป คสช.” ที่ยืดแล้วยืดอีก “บิ๊ก คสช.” ก็พร้อมสละเรือปล่อยให้การเมืองเป็นไปตามระบบปกติ

ทั้งหมดขัดแย้งกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตลอด 3-4 ปี ที่ คสช.เรืองอำนาจอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ใช่เพียงแต่ประชาชนที่รู้สึกอย่างนั้น ยังมี “เสียงเตือนอย่างมีนัย” จากผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คิวที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พูดกับ “คณะลุงตู่” ในระหว่างเข้าอวยพรปีใหม่เมื่อช่วงปลายปีก่อนเกี่ยวกับ “กองหนุน คสช.”

ขีดเส้นเข้มตรงท่อนที่ว่า “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทยกองหนุนก็จะมาเอง”

พร้อมคำแนะนำที่ว่า “เพราะฉะนั้นขอให้ดำรงความมุ่งหมายเพื่อเติมกองหนุนมากขึ้นให้ได้ ผมเชื่อว่าตู่ทำได้ พวกเราทุกคนก็ทำได้ และกำลังทำกันอยู่ ... ขอย้ำอีกทีว่าที่ตู่พูดว่าจะนำความสุขมาให้คนไทยจะต้องดำรงความมุ่งหมายนี้ให้ได้ แม้จะเหนื่อยยากก็ตาม”

คำพูดของ “ป๋าเปรม” แทบไม่ต้องถอดรหัสอะไรให้มากความ ด้วยเสมือนเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศออกปาก “ทวงสัญญา” ที่ คสช.เคยให้ไว้หลังยึดอำนาจใหม่ๆ ที่ว่า “ให้ดำรงความมุ่งหมาย” ก็คือ “การปฏิรูปประเทศ” ที่ “ประยุทธ์” และทีมงานใช้เป็น “ธงนำ” ในการเข้ามาฮุบอำนาจบริหารประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

3 ปีผ่าน ย่างเข้าจะครบ 4 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การที่คนระดับ “ป๋าเปรม” ต้องมาทวงถามเองก็แปลว่า คสช.สอบตกในพันธกิจหลักเรื่องการปฏิรูปประเทศย่างเห็นได้ชัด

อันเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง “กองหนุนร่อยหรอ” ก็ไม่เพียงแต่กลายเวลาที่พิสูจน์แล้วว่า คสช.ทำไม่ได้ หรือไม่ทำตามที่พูดเท่านั้น ยังมีอีกหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นว่า นอกเหนือจากละเลยเรื่องส่วนรวมแล้ว ยังปล่อยให้มีการกอบโกยผลประโยชน์เข้ามาให้เห็นอีกด้วย
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ กับคำเตือนเรื่อง “กองหนุน” ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์นำขบวนตบเท้าไปอวยพรปีใหม่
จากช่วงแรกๆ ที่ คสช.เข้ามาท่ามกลางเสียงชื่นชม พร้อมความหวังว่า บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เวลาผ่านไปๆ นอกจากไม่ดีขึ้นแล้ว ยังทำท่าจะตกต่ำย่ำแย่ลงในหลายด้าน โดยเฉพาะในแง่ “ความโปร่งใส” ในการบริหารบ้านเมือง

อีกทั้งยังมีหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นถึงความหลงเหลิงใน “อำนาจ” อย่างชัดแจ้ง ไม่ต้องย้อนไปไกล คิวที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ย่ำยีบทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญ2560” ที่ คสช.ทำคลอดมาเองกับมือหน้าตาเฉย กับการต่ออายุให้กับ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ด้วยเหตุผลที่ว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ที่ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน กำลัง “ทำงานเข้าฝัก” ให้ดำรงตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะครบวาระ ไม่ต้องโดน“รีเซต - เซตซีโร” เหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ

หรือกรณีที่กำลังถูกดักทางว่า การแก้กฎหมายที่ส่งผลถึงความเป็นไปของ “รัฐวิสาหกิจไทย” ด้วยการปรับเปลี่ยนนิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ในร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ... ทำ ให้ “ความเป็นรัฐเจือจางลง” ในชั้นของบรรดาบริษัทลูกทั้งหลาย ตามข้อสังเกตของ คำนูณ สิทธิสมาน อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มองว่าไม่เพียงแต่จะอุ้ม “รัฐวิสาหกิจ” ให้พ้นกฎหมายตรวจสอบภายในประเทศแล้ว ยังจะเปิดช่องให้ “ทุนนอก-ทุนไทย” เข้ามาสวาปามก้อนเค้กที่ชื่อ “รัฐวิสาหกิจ” อีกครั้ง

ผลลัพธ์การใช้อำนาจที่มีอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ไม่ได้ทำเพียงส่วนรวมนั้น ก็ทำให้ “กองหนุน” หรือแนวร่วมที่เคยร่วมกันชูรักแร้สนับสนุน “ฮีโร่ตู่” เมื่อพฤษภาคม 2557 ตีตัวออกห่างจากรัฐบาลชุดนี้ ไม่เท่านั้นหลายส่วนยังตั้งตัวเป็น “ปฏิปักษ์-ฝ่ายตรงข้าม” ไปอีกต่างหาก

จนตกผลึกกลายมาเป็นเสียงเตือนจาก “ป๋าเปรม” ถึง “หลานตู่”

ทว่า น่าแปลกที่ “ประยุทธ์” กลับตีความ “กองหนุน” ตามคำ “ป๋าเปรม” ไปแบบคนละเรื่องเดียวกัน ราวกับคนฟังภาษาไทยไม่แตกฉาน เมื่อระบุว่า “..กองหนุน หมายความว่า เราได้เอาคนทุกคนมาช่วยขับเคลื่อนประเทศไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชารัฐ ทั้งข้าราชการ เอกชน ประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ท่านก็บอกว่าใช้ไปหมดแล้ว..”

ก่อนจะจบแบบกำปั้นทุบดินว่า “กองหนุนอยู่ที่ใจ”

ไม่เพียงแต่คำพูดหรือการตีความที่มองได้ว่า “ประยุทธ์” พยายาม “ไม่นำพา” ความปรารถนาดีของ “ป๋าเปรม” ที่ต้องการบอกว่า กองหนุนหมดจากความผิดหวังใน คสช. แต่หากเร่งทำให้ประชาชนมีความสุขตามที่สัญญาไว้ กองหนุนจะกลับมาเอง

พฤติการณ์ของ “ประยุทธ์และคณะ” ยังสะท้อนว่า มุมมองที่มีต่อ “กองหนุน” หาใช่แรงศรัทธาหรือแรงสนับสนุนจากประชาชนที่จะมาจากการปฏอรูปประเทศให้สำเร็จแต่อย่างใด หากแต่ “กองหนุน” ในใจของ “ประยุทธ์” คือ “กลุ่ม-ก๊วนการเมือง” ที่จะมาเป็น “นั่งร้าน” ให้ คสช.สืบทอดอำนาจ และผลักดัน “ประยุทธ์” เป็น “นายกฯ คนนอก” มากกว่า

ไม่ว่าจะเดินสาย “ตกเขียว-ตีเมืองขึ้น” ผ่านหมายเป็นทางการ ครม.สัญจร หรือตรวจราชการ ใช้จังหวะกระจายงบประมาณลงในพื้นที่โดยตรง พร้อมกวาดต้อน “กลุ่ม-ก๊วนการเมือง” มาประดับฉาก ทั้ง “เมืองย่าโม” จ.นครราชสีมา ของกลุ่ม สุวัจน์ ลิปตพัลลภ แห่งพรรคชาติพัฒนา หรือฉากอวยไส้แตกที่ จ.สุพรรณบุรี ฐานที่มั่นพรรคชาติไทยพัฒนา ของตระกูลศิลปอาชา ก่อนแวะไปเปิดงานของกองทัพเรือที่ จ.ชลบุรี ฐานที่มั่นพรรคพลังชล ที่วันนี้มี สนธยา คุณปลื้ม เป็นเสาหลัก

ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นคิว ครม.สัญจร จ.พิษณุโลก - สุโขทัย ที่ปิดห้องคุยกับ “กลุ่มมัชฌิมา” ที่มีชื่อ “มิสเตอร์เรียงหิน” สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหอก ยกทัพมาต้อนรับขับสู้ แสดงตัวว่างวดหน้าสังกัด “พรรคทหาร” แน่นอน

จากท่าทีที่ไปหนุงหนิงกับ “นักเลือกตั้ง - นักการเมือง” ที่เป็นมนุษย์สานพันธุ์ที่ “ประยุทธ์” ตั้งแง่รังเกียจ และมักพูดถึง “นักการเมือง” แบบ “สาดเสียเทเสีย-หาดีไม่ได้” ตลอด 3-4 ปีมานี้

เสียงวิพากษ์ยังไม่ทันจาง ก็มีฉากภาพหลุดของ “บิ๊กตู่” และชาวคณะ ไปยืนยิ้มแป้นแล้น ร่วมกับพี่น้องบ้านใหญ่สะสมทรัพย์ แห่ง จ.นครปฐม ทั้ง “เผดิมชัย-ไชยยศ-ไชยา-อนุชา” อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ด้วยข้ออ้างตื้นๆ ว่า ไปตีกอล์ฟ แล้วบังเอิญเจอกัน จนเกิดคำถามว่า สนามกอล์ฟเมืองไทยมีเป็นดอกเห็ด ไฉนถึงเจาะจงไปที่ “นิกันติ กอล์ฟ คลับ” ที่รู้กันทั้งบางว่า เป็นของ “ตระกูลสะสมทรัพย์” แถมย้อนดูข่าวช่วงแรกที่คณะ คสช. ปาดหน้าเข้ามาคว้าชิ้นปลามันไปรับประทาน พันธกิจแรกๆ เอาเป็นเอาตายกับการล้างบาง “ผู้มีอิทธิพล” ที่โดยมากเป็น “นักการเมืองระดับบิ๊กเนม” ทั้งนั้น

กับภารกิจชื่อเท่ๆ ว่า “ปฏิบัติการฟ้าสาง”ที่ทุกพื้นที่อิทธิพล โดนกันถ้วนหน้า หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือเครือข่าย “บ้านใหญ่สะสมทรัพย์” ที่ จ.นครปฐม ถูกเจ้าหน้าที่ “ลง” กันแบบถี่ยิบกับ ปฏิบัติการ “นครปฐมร่มเย็น” เรียกว่า ทุบกันจนน่วม

มาวันนี้หัวหน้าคณะรัฐประหารกลับลงไปเกลือกกลั้วกับนักการเมืองด้วยตัวเอง

ยิ่งน่าสังเกตว่า การพบปะลักษณะนี้ ที่ควรจะ “ปิดลับ” กลับมีการบันทึกภาพ ก่อนจะหลุดออกมาราวกับ “ตั้งใจ” เสมือนต้องการส่งสัญญาณให้ “ก๊วนการเมืองอื่น” รีบต่อสายปรี่เข้ามาสวามิภักดิ์ หากไม่ต้องการ “ตกรถ” ร่วมวงอำนาจไปด้วย

คิวที่ “ก๊วนลุงตู่” ออกหน้าดีลกับ “ก๊วนการเมือง”ด้วยตัวเองแบบนี้ ส่อเค้าจะเข้าทำนอง “สูตรขี้ผสมข้าว” อย่างที่ “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เคยชำแหละไว้ตั้งแต่ปีกลาย

ถึงขนาดที่ “บิ๊กตู่” ผู้เคยฉาบเคลือบด้วยภาพลักษณ์ “คนดี - คนเสียสละ” ยอมเปลืองตัวลงมาเล่นด้วยตัวเอง เพียงเพราะต้องการ “กองหนุน” สำหรับสมรภูมิเลือกตั้ง เพื่อเป็น “ทางลัด” ในการสืบทอดอำนาจ ซึ่งต่างจาก “กองหนุนแบบป๋า” ที่ต้องการให้ คสช.ใช้อำนาจที่มีอยู่ ทำตามสัญญาเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ เพื่อให้ประชาชนเป็น “นั่งร้าน” ที่ยั่งยืน

เมื่อ “ลุงตู่” สละภาพ “คนดี” ยอมแปดเปื้อนกับ “ของเน่า-ของเสีย” ที่ตัวเองตราหน้าไว้เอง ก็ต้องรอดูว่าการเดิมพันคณะนี้จะลุล่วงอย่างที่ “บิ๊กทหาร” คิดไว้หรือไม่

วันเวลาจะตัดสินเอง




กำลังโหลดความคิดเห็น