xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พรรคทหาร-ปรากฎการณ์ ป.ป.ช. คสช.ขอเวลาอีกไม่นาน (เหรอออ??)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “มันไม่เคยสำเร็จสักที แล้วจะไปตั้งให้เมื่อยทำไม...” คือคำที่หล่นออกมาจากปากของ “นายกฯ ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับไอเดียการตั้ง “พรรคทหาร คสช.” ที่ถูกเปิดโปงออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ฟังผิวเผิน ก็คงต้องบอกว่า เป็นการ “ปฏิเสธ” เสมือนหนึ่งไม่มีความคิดอยู่ในหัวมาก่อน หากแต่นั่นเป็นเพียง “หน้าฉาก” ในการพยายามรักษาระยะห่างจาก “แผนการสืบทอดอำนาจ” ในฐานะ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” โดยตรงเท่านั้น

แต่หากมองกันอย่างลึกๆ ก็จะเห็นร่องรอยการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของ “องคาพยพ คสช.” ที่คล้องจองกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ข้ามชอตจาก “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ไปเป็น “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง” ที่วางเกมกันยาวโล้ไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วยซ้ำ

จนดูท่าคำสัญญา “คสช.ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ถูกกระเถิบไปเรื่อยๆ จนประชาชนผู้มีสิทธิทวงสัญญา ยังรู้สึกกระด้างมากกว่าคนที่ให้สัญญาไว้ด้วยซ้ำ

เอาเข้าจริง “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ก็ดักทาง-ดักคอมาตลอดกับ “ทฤษฎีสมคบคิด” เพื่อสืบทอดอำนาจของ “ขุนทหาร คสช.” ชำแหละนัยความเคลื่อนไหวของ “ตัวละคร” ให้รู้เช่นเห็นชาติกันบ่อยๆ บางครั้งทำให้ “บางดีล” ถึงกับล่มปากอ่าวไปด้วยซ้ำ

โดยรอบนี้ประเด็น “พรรคทหาร” ถูก “เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาปูด “แผนลับ” ว่ากำลังมีการสมคบคิดกันของ “ทหารกลุ่มหนึ่ง - อดีตข้าราชการใหญ่ - เจ้าสัว - นักการเมืองพันธุ์เก่า” ในการปั้น “พรรคทหาร” เพื่อปูทางให้ “นายกฯลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ อีกคำรบหลังการเลือกตั้ง โดยวางตัว “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขุนพลเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. เป็นหัวหน้าพรรค และมี สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาเป็นเลขาธิการพรรค

แล้วเอานโยบายเรือธงอย่าง “ประชารัฐ” ของรัฐบาลมาตั้งเป็นชื่อ “พรรคประชารัฐ”

“เดอะแจ๊ค” ยังแฉด้วยว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือ “อดีตกำนันคนดังภาคใต้” ที่คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเหนือจาก “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.

การถูกเปิดโปงแผนการตั้งพรรคทหารรอบใหม่นี้ ถือว่าเป็นการสุมไฟการเมืองให้ร้อนแรง ในจังหวะที่เหมาะเจาะ ด้วยว่า มีความเคลื่อนไหวของ “ลูกหาบ คสช.” ที่กำลัง “เขี่ยลูก” ให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งเพิ่งมีผลมาบังคับใช้ได้ไม่กี่เดือน

โดยคนที่ออกมาจุดพลุก็คุ้นเคยกันดีอย่าง ไพบูลย์ นิติตะวัน ว่าที่แกนนำพรรคประชาชนปฏิรูป อดีตสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ผู้ปวารณาตัวเป็น “ลิ่วล้อ คสช.” เคยประกาศจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้ง

ตามมาด้วยคิวของ “กำนันเทือก” ที่เคยบประกาศลั่นว่า “ขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก” แต่วันดีคืนดีเกิดคันมือ ทำหนังสือถึง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง ด้วยเช่นกัน หลักใหญ่ใจความเพื่อให้ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคการเมืองเก่าและพรรคที่จะตั้งขึ้นใหม่

เคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่า “สุเทพ” ที่เคยยุติบทบาท เลขาธิการ กปปส. พร้อมกับคำประกาศที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง แล้วหันมาใช้ตำแหน่ง “ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ในการทำกิจกรรมต่างๆ เลือกใช้ตำแหน่ง “เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ เลขาธิการ กปปส. ลงนามในหนังสือฉบับล่าสุด

แถมก่อนจะร่อนหนังสือมาถึงประธาน สนช. “สุเทพ” ก็เริ่มบิวต์บรรยากาศด้วยการ “รีรัน” คลิปบันทึกการเคลื่อนไหวของ กปปส.เมื่อช่วงปี 2557 ในแฟนเพจของตัวเอง เสมือนหนึ่งปลุกให้แนวร่วม กปปส.เตรียมพร้อมสำหรับภารกิจบางประการ

ตามมาติดๆกับคิวของ “เสี่ยเรียงหิน” สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ที่เสนอให้ “นายกฯตู่” ใช้อำนาจมาตรา 44 ในการแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.เพื่อให้เอื้อต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น สาระสำคัญคือการให้ลงสมัคร ส.ส.ในนามอิสระได้

สามประสาน “ไพบูลย์ - สุเทพ - สมศักดิ์” เคลื่อนกันเป็นจังหวะจะโคน เหมือนแบ่งงานกันทำ ขยับกันออกมาในทิศทางเดียวกันอย่างบังเอิญ คล้ายกับว่ามี “ปฏิบัติการสมรู้ร่วมคิด” ก่อหวอดเพื่อหวังผลบางประการ มองผิวเผินห็เหมือนหวังให้ขยับโรดแมป เลื่อนเวลาการเลือกตั้งออกไปอีก

หากแต่ลึกๆแล้วเป็นความพยายาม “ชงหวาน” เพื่อให้ คสช.รับลูก ในการใช้อำนาจพิเศษ เปิดทางให้มีการ “เซตซีโรพรรคการเมือง” หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องให้มีการ “รีเซต” บางส่วน โดยเฉพาะเรื่องสมาชิกพรรค ที่ทุกพรรคต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หมดเพื่อตัดความได้เปรียบของพรรคการเมืองเดิมๆ โดยเฉพาะพรรคใหญ่อย่าง พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์

พูดง่ายๆ คือให้ ล้างกระดาน เริ่มต้นกันใหม่ ไม่ให้มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกัน ทั้งหมด

ถอดรหัสจากหนังสือถึงประธาน สนช.ของ “กำนันสุเทพ” ที่ซ่อนนัยบางประการไว้ระหว่างบรรทัดว่า “...เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และความเท่าเทียมในโอกาสทางการเมืองแก่พรรคการเมืองเก่าและพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่...”

แล้วก็เผอิญอีกอย่างไม่น่าเชื่อว่า คสช.ก็โดดลงมารับลูกอย่างว่าง่าย ไม่มีการแยกเขี้ยวใส่ เหมือนเวลาที่ขั้วการเมืองอื่นขยับ เมื่อ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ หนึ่งในตัวการร่างกฎหมายของ คสช. จุดพลุ และหนีไม่พ้นการเป็นผู้ร่างการใช้ มาตรา 44 ในการปลดล็อกพรรคการเมือง

ก่อนที่ “นายพลไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะออกมาระบุว่า คำสั่งมาตรา 44 ที่กำลังจะออกมานั้น เป็นการขยายเวลาให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ตามกรอบเวลาที่ พ.ร.ป.พรรคการเมือง กำหนด

แต่จะเปิดทางให้เฉพาะ “พรรคการเมืองใหม่” สามารถเริ่มจองชื่อพรรค สรรหาสมาชิก เก็บค่าบำรุงสมาชิกได้ และให้เริ่มประชุมใหญ่ครั้งแรก เพื่อคัดเลือกหัวหน้า และกรรมการบริหารพรรคได้

ส่วน “พรรคการเมืองเก่า” ยังมีความจำเป็นต้องฟรีซไว้เหมือนเดิม ทำได้เพียงตรวจสอบสถานภาพสมาชิกเดิมเท่านั้น ส่วนการประชุมหรือกิจกรรมการเมืองนั้นทำไม่ได้ ด้วยว่า “ฝ่ายความมั่นคง” อ้างว่ายังพบความเคลื่อนไหวทางการเมือง

การแบะท่าจะใช้ “อภินิหาร มาตรา 44” ออกมารูปนี้ ก็หนีไม่พ้นทำให้ “คนนินทา หมาดูถูก” ว่า เปิดทางให้มีการตั้ง “พรรคทหาร” หรือกระทั่ง “พรรคนอมินี” ได้โอกาสสยายปีกกันก่อนพรรคการเมืองในระบบเดิม

อีกทั้งยังว่ากันว่า หากปล่อยให้ “พรรคทหาร - พรรคนอมินี” โลดแล่นกันสักพักแล้วยังไม่เวิร์ค “บิ๊ก คสช.” ก็พร้อมใช้อภินิหารอีกครั้งในการ “รีเซต-เซตซีโร่” พรรคการเมืองเก่า เพื่อสลายขั้วการเมืองให้แตกย่อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกด้วย

และในขณะที่มิติเรื่อง “พรรคทหาร” กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อีกมิติในเรื่อง “เกมเพลย์เซฟ” ที่ “ดักไต๋” ไว้นานนมแล้ว กับการยึด “อาณาจักรสนามบินน้ำ” คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไว้ในอาณัติของ “ขุนทหาร คสช.” ต่อไป ก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี

เมื่อ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.... ได้ผ่านการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 จากที่ประชุมใหญ่ สนช.ไปเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงกระบวนการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเท่านั้น

ทั้งที่เจอลากไส้ แฉเล่ห์เหลี่ยมหมกเม็ด แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เข้าทาง คสช.มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ดูเหมือนผู้เกี่ยวข้องก็ไม่ยี่หระ ดันจนผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กระทั่งคอมเมนต์ของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในเรื่องคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิม ที่ขัดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างชัดเจน ก็ถูกตีค่าเป็นแค่เสียงรำพึงของผู้เฒ่าคนหนึ่งเท่านั้น เป่าทิ้ง “สเปกเทพ” ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ต่ออายุให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่คุณสมบัติไม่ผ่านอย่างน้ำขุ่นๆ

สุดท้ายอานิสงส์ก็ตก “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่คุณสมบัติขัดแบบชัดเจนที่สุด ได้รับการต่อวีซ่าให้อยู่ยาวไปอีก 7 ปี จนครบวาระ ร่วมกับกรรมการ ป.ป.ช. ที่ตั้งกันในยุคคสช.เรืองอำนาจ

กลายเป็น “องครักษ์” ที่จะอยู่ค้ำอำนาจให้กับ “บิ๊ก คสช.” แบบยาวไปๆ เอาง่ายๆ 7 ปี ของ “ป.ป.ช.สายตรงวงษ์สุวรรณ” ที่ไปคล้องจองกับบทเฉพาะกาล 5 ปีในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ล็อกไว้ให้ “ขุนทหาร คสช.” มีสิทธิชี้ขาดการตั้งรัฐบาล 2 ชุด เป็นอย่างน้อย ลากยาวอยู่ในอำนาจได้ชิลๆ ไป 8 ปี โดยไม่ต้องกังวลว่า จะโดนเช็กบิลจาก ป.ป.ช. อย่างรัฐบาลอื่นเขา

ตลอดจนการให้อำนาจล้วงข้อมูลทุจริตทุกรูปแบบ ที่ คณะกมธ.วิสามัญฯได้มีการแก้ไขเนื้อหา “ติดดาบ - ติดหนวด” ไว้ใน มาตรา 37/1 ระบุว่า “ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารอื่นใดที่ส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ในการสื่อสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด ถูกใช้หรืออาจถูกใจเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดที่เป็นความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดอื่นพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้กำหนด ซึ่งการกระทำควาผิดดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งได้รับการอนุมัติจากป.ป.ช.เป็นหนังสือจะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวก็ได้

“การอนุญาตให้อธิบดีผู้พิพากษาฯพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลหรือสิทธิอื่นใดประกอบกับเหตุผลและความจำเป็น และสั่งอนุญาตได้คราวละไม่เกิน 90 วันโดยกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ก็ได้ และให้ผู้เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสาร ให้สิ่งสื่อสารตามคำสั่งดังกล่าวให้ความร่วมมือเพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรานี้”

อ่านหยาบๆ ไม่ต้องตีความลึกซึ้ง นี่มันตีขลุมไปกระทั่ง “ดักฟัง-แฮกข้อมูล” ได้เต็มรูปแบบ ทำเอา “ซือแป๋ มีชัย” ร้องจ๊าก หลุดออกมาว่า “ไอหยา!! ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ขัดรัฐธรรมนูญ” แต่ก็กลายเป็นเสียงบ่นของผู้เฒ่าอีกเรื่องที่ถูกเมินอย่างไม่ไยดีเช่นเดิม

สะท้อนให้เห็นว่า นอกเหนือจากธง แห่งการยึด ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการถูกเช็คบิลภายหลังแล้ว ก็ยังมีธงที่จะติดอาวุธให้ ป.ป.ช.กลายมาเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ในการห้ำหั่นกับฝ่ายการเมือง หรือขั้วตรงข้าม อีกด้วย

คงเป็นเพราะเดิมพันที่สูง จึงทำให้ คสช.กล้าเดินหมากที่สุ่มเสี่ยงขนาดนี้

ด้วยว่าประเด็น “ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล” เป็นประเด็นที่อ่อนไหว ไม่เพียงแต่นักการเมืองเท่านั้น กับประชาชนคนทั่วไปก็ดูจะไม่เห็นดีเห็นงามกับมาตรการลักษณะนี้ หนำซ้ำทำให้หวาดระแวง การใช้อำนาจของรัฐมากขึ้นด้วย

การไม่ฟังอีร้าคร่าอีรม กล้าเอาเรื่อง “ละเมิดสิทธิ” มาเป็นเครื่องมือ ตลอดจนการต่อวีซ่า ป.ป.ช. แบบค้านสายตา ฮุบ "องค์กรปราบโกง" ที่เคยเป็นความหวังของประชาชน มาใช้เป็น "เครื่องมือการเมือง"ของตัวเองเช่นนี้

เสมือนส่งสัญญาณท้าทายมาถึงสังคมไทย ในทำนองว่า เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจกฎบัตร กฎหมาย หรือการกระทำที่ค้านสายตาอะไรทั้งสิ้น ขณะเดียวกันน้ำคำที่ประกาศเรื่องปราบทุจริตมาเกือบ 4 ปีมานี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมความสำเร็จจับต้องได้เลย

จนน่ากลัวว่า หมากยึด พร้อมติดอาวุธให้ ป.ป.ช.งวดนี้ จะกลาย เป็น “ตัวเร่ง” ให้ คสช.ต้องพังเร็วกว่าที่คาด และอาจจะพังพาบกันทั้ง “องคาพยพ คสช.” จนอาจไม่มีโอกาสได้เห็น “พรรคทหาร” ที่อุตส่าห์นัดแนะปั้นกันอยู่ก็เป็นได้


กำลังโหลดความคิดเห็น