xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โปรแรงส่งท้ายปี อุ้มซื้อเรือเลิกทำประมง คลำทางปลดใบเหลืองอียู??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สไตล์การแก้ไขปัญหาเรื้อรังในภาคการเกษตรของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชักจะออกมาในแนวเดียวกัน อย่างกรณี “ชาวสวนยางพารา” ที่เผชิญปัญหาราคาตกก็มีโปรจูงใจให้โค่นทิ้ง ส่วน “ชาวประมง” รัฐบาลก็ใจป้ำรับซื้อเรือร่วม 2 พันลำหากอยากจะเลิกเพื่อลดจำนวนเรือและควบคุมการจับปลา หวังอียูปลดล็อก “ใบเหลือง” ในปีหน้า ส่วนจะสำเร็จหรือแค่คลำทางออกจากเขาวงกตต้องรอลุ้นกัน งานนี้มีเดิมพันสูงนับแสนล้าน

ในการซื้อเรือประมงนั้น “พล.อ.ประวิตร ย้ำให้ทุกส่วนราชการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อปลดล็อคใบเหลืองจากสหภาพยุโรป (อียู) เพราะถ้าทำไม่ได้ ธุรกิจประมงทั้งระบบที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท จะได้รับผลกระทบ และถ้าปล่อยปละละเลย ก็จะถือเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ โดยผู้เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ซึ่งต้องทำให้ได้เหมือนที่เราแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน และการละเมิดลิขสิทธิ์” พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวในการแถลงผลประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา

แนวทางการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) ที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 เห็นชอบในหลักการ ก็คือ การรับซื้อเรือประมงที่จะไม่ทำประมงต่อไป ประมาณ 1,900 ลำ ตามข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย โดยจะนำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อของบประมาณ และดำเนินการควบคู่ไปกับการควบรวมใบอนุญาตการทำประมงตามเป้าหมายการควบคุมจำนวนเรือทำประมงให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถออกเรือได้มากกว่าเวลาที่กำหนดไว้ คาดว่าภายในวันที่ 27 ธ.ค.นี้ จะประกาศเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวประมง

แนวทางดังกล่าว เป็นไปตามข้อตกลงเมื่อประมาณต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่กรมประมง ได้ประชุมหารือร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและสมาคมประมง ทั้ง 22 จังหวัดชายทะเล และมีมติร่วมกันเรื่องโครงการซื้อเรือประมงคืนในส่วนเรือกลุ่มขาวแดง ซึ่งเป็นเรือที่ถูกตรึงพังงา (ล็อกพวงมาลัย) กับกรมเจ้าท่า หรือเป็นเรือที่ไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 949 ลำ แต่บางส่วนขายไปแล้วคงเหลือประมาณ 900 ลำ เพื่อนำไปใช้ในหน่วยงานราชการต่าง ๆ หากสภาพเรือมีความมั่นคงแข็งแรง แต่บางส่วนอาจจะไปจมทำปะการังเทียม และยังมีข้อเสนอในส่วนที่ทำประมงแล้วไม่คุ้มอยากขายเรือทิ้ง กระทั่งสรุปตัวเลขสุดท้ายรวมแล้วที่ 1,900 ลำ

สำหรับราคาที่จะรับซื้อเรือนั้น นายพิชัย แซ่ซิ้ม นายกสมาคมการประมงสมุทรปราการ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ราคากลางรับซื้อเรือตามมติ ครม. ที่เคยใช้กับเครื่องมือประเภทอวนรุน จำนวน 330 ลำ ก่อนหน้านี้ จะนำมาใช้กับเรือประมงพาณิชย์ในกลุ่มขาวแดง ที่มีตั้งแต่ขนาดเรือ 1-150 ตันกรอสขึ้นไป โดยราคาเฉลี่ยรับซื้อคืนต่อตันกรอสในอัตรา 50% ของราคากลาง จะอยู่ในช่วง 4.49-6.45 หมื่นบาท ตัวอย่าง เรือขนาด 1-10 ตันกรอส ราคากลางที่จะเสนอ ครม. อยู่ที่ 8.89 แสนบาท ราคาเฉลี่ยรับซื้อคืนต่อตันกรอส 50% ของราคากลาง อยู่ที่ 4.49 หมื่นบาท ขนาดเรือ 10.1-20 ตันกรอส ราคากลางอยู่ที่ 1.79 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยรับซื้อเรือคืน 4.91 หมื่นบาทต่อตันกรอส เป็นต้น

“เรื่องการซื้อขายเรือคืน กรมประมง ได้แจ้งว่า เรือที่อยู่ในระบบกว่า 1 หมื่นลำเศษ ที่มีอาชญาบัตรหรือมีใบอนุญาต หากเห็นว่า หากทำประมงต่อแล้วไม่คุ้ม ก็สามารถนำเรือมาขายได้ เฉพาะอย่างยิ่ง เรือในกลุ่มที่ 2 คือ เรือที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเกิน 10% จากที่จดทะเบียนขอใบอนุญาตไว้ (มีจำนวน 848 ลำ) ทางกรมประมงจะให้ลดวันทำการประมงลง โดยอ้างเหตุผลว่า เรือกลุ่มนี้ทำให้การจัดสรรปริมาณสัตว์น้ำคลาดเคลื่อน มีผลต่อค่า MSY (ปริมาณการจับสัตว์น้ำสูงสุดที่ยั่งยืน) ดังนั้น ในกลุ่มนี้ หากเห็นว่า การลดวันทำการประมงลงจะไม่คุ้มกับต้นทุนและค่าแรงงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะขายเรือให้กับรัฐบาล ทางอธิบดีกรมประมง ก็เห็นชอบ จึงให้ทางสมาคม 22 จังหวัด เร่งประสานกับสมาชิกเป็นการด่วน หากใครจะขายก็ให้รีบแจ้งความประสงค์ภายในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ เช่นเดียวกับ กลุ่มขาวแดง” นายกสมาคมการประมงสมุทรปราการ กล่าวถึงแนวทางที่หารือกันเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา

กล่าวโดยสรุปแล้ว ในจำนวนเรือที่รัฐฯรับซื้อ จะเป็นสองส่วนหลักๆ คือ เรือขาวแดง ที่ไม่ได้รับอนุญาต ประมาณ 900 กว่าลำ และเรือขนาดใหญ่ที่จะถูกลดวันทำประมงลงแล้วไม่คุ้มอีก 800 กว่าลำ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท ตามที่เคยมีข่าวว่ากระทรวงเกษตรฯ สมัยบิ๊กฉัตร-พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ เตรียมเสนอ ครม.ของบมาจัดซื้อ แต่ยังไม่ทันดำเนินการให้เสร็จสรรพ พล.อ.ฉัตรชัย ก็โยกย้ายออกจากตำแหน่งเสียก่อน

การรับซื้อเรือคืนเป็นอีกมาตรการหนึ่งในปลายทางของการแก้ไขปัญหาประมงที่มีความสลับซับซ้อนและเรื้อรังมานาน หลังจากสหภาพยุโรป (อียู) แจก “ใบเหลือง” ให้กับประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2558 เนื่องจากไทยขาดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Finishing : IUU) ที่สอดคล้องกับสากล โดยไทยยังคงมีการใช้เครื่องมือผิดกฎหมายทำประมง ขาดการควบคุมจำนวนเรือประมง จนส่งผลต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ เกิดปัญหาการทำประมงเกินขนาด หรือ Over Fishing และปัญหาการใช้แรงงานทาส ที่เป็นผลพวงมาจากการที่ไทยถูกลดอันดับไปอยู่ใน Tier 3 จากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (US’s Trafficking in Persons Report : TIP Report) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมิ.ย. 2557

หลังเจอใบเหลืองจากอียูและไทยถูกลดชั้น นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองกันว่าเป็นการเล่นงานไทยจากอียูและสหรัฐฯ หลังรัฐประหาร พ.ค. 2557 แต่หากยอมรับความจริงก็จะเห็นว่า มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นนั้นจริงๆ และอียูได้เตือนประเทศไทยในปัญหานี้มาก่อนหน้าแล้ว แต่ไทยยังเพิกเฉยปล่อยให้เกิดปัญหาเรือประมงไม่ได้รับอนุญาตแล่นกันเกลื่อนทะเล และเมื่อกรมประมง เร่งรัดให้กรมเจ้าท่าซึ่งกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเรือเร่งจดทะเบียนก็ทำกันอย่างเร่งรีบภายใต้กำลังเจ้าหน้าที่เพียงน้อยนิด และนำมาซึ่งปัญหาการติดสินบน จนทำให้มีจำนวนเรือประมงที่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก เกิดปัญหาการทำประมงเกินขนาดตามมา

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพ.ค. 2558 ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาประมงโดยเฉพาะตามคำสั่ง ม. 44 ได้ให้กรมเจ้าท่า ตรวจสอบจำนวนเรือประมงในระบบทั้งหมด พบว่า มีเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ประมาณ 49,860 ลำ เกิดปัญหาการทำประมงเกินขนาด จำเป็นต้องลดจำนวนเรือประมงลง โดยเรือที่ขาดการต่ออายุจำนวน 7,000 กว่าลำ ต้องถอนใบอนุญาตและเอาออกจากระบบ จากนั้นก็มีการออกคำสั่งโดยใช้ม. 44 แก้ไขปัญหาอีกหลายครั้ง พร้อมกับการสำรวจทะเบียนเรือใหม่

ต่อมา ในช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. 2558 ศปมผ. รายงานพบเรือประมงที่ขึ้นทะเบียน 11,700 ลำ ส่วนอีก 8,024 ลำ ไม่พบ ซึ่งส่วนนี้กรมเจ้าท่าได้รับคำสั่งต้องถอนใบอนุญาตทั้งหมด กระทั่งเกิดการร้องเรียนจากเรือประมงที่ตกสำรวจเพราะมัวออกทะเลหาปลา จนเกิดการร้องเรียนและมีมาตรการเยียวยาด้วยการยื่นอุทธรณ์เพื่อตรวจสอบใหม่เมื่อต้นปี 2559

จากการสังคายนาขึ้นทะเบียนเรือมาเป็นระยะ ทำให้จำนวนเรือประมงลดลงเรื่อยๆ จากเกือบ 50,000 ลำ ลดลงเหลือ 38,704 ลำ เป็นเรือประมงพาณิชย์ 12,092 ลำ (ขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป) นอกนั้นเป็นเรือประมงพื้นบ้าน โดยในจำนวนเรือพาณิชย์ มีเพียง 10,991 ลำที่มีอาชญาบัตรและจดทะเบียนถูกต้องจากกรมเจ้าท่า ที่เหลือพันกว่าลำไม่มีอาชญาบัตร กรมเจ้าท่าจึงให้แจ้งจุดจอดและทำการตรึงพังงา หรือล็อกพวงมาลัยพร้อมทำเครื่องหมายไว้ห้ามนำเรือออกทำประมงในเวลานี้ กระทั่งนำมาสู่มาตรการรัฐบาลรับซื้อเรือข้างต้น

นอกเหนือจากการรับซื้อเรือแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ออกมาตรการเยียวยาเรือประมงที่ได้รับผลกระทบ โดยให้แบงก์รัฐปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ที่มีเรือประมงผิดกฎหมาย หรือชาวประมงที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ รวมทั้งช่วยเหลือแก่ชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกเครื่องมือประมง เช่น อวนรุน และการซื้อเรือคืน โดยใช้งบประมาณรวม 1,459.10 ล้านบาท

การแก้ไขปัญหาประมงโดยการซื้อเรือเพื่อลดปริมาณเรือลง ถือเป็นมาตรการที่ไม่ต่างไปจากการช่วยเหลือชาวสวนยางพารา ที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2560 ใน 3 มาตรการ คือ หนึ่ง ให้ส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม ศึกษาธิการ ท่องเที่ยวและกีฬา ไปหาข้อสรุปถึงปริมาณความต้องการใช้ยางพารา จากที่มีอยู่ราว 7-8 หมื่นตัน ซึ่งยังเป็นปริมาณที่น้อยเกินไป

สอง ชดเชยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการรับซื้อยางพาราไม่เกิน 3% โดยเตรียมวงเงินไว้ 20,000 ล้านบาท เพื่อดูดซับผลผลิตออกจากตลาดได้ราว 3.5 แสนตัน และสาม ลดการกรีดน้ำยางในพื้นที่ส่วนราชการ 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.61) 1.2 แสนไร่ ช่วยลดปริมาณได้ราว 5 พันตัน และชวนให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกยางหันเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น มีเป้าหมาย 2 แสนไร่ โดยจะจ่ายเงินชดเชยให้ไร่ละ 400 บาท แต่ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่

มาตรการจูงใจให้โค่นยางหรือขายเรือประมงให้รัฐบาล จะว่าไปก็เป็นการคลำทางเพื่อแก้ไขปัญหาเช่นกัน เพราะหากต้องการให้โค่นยางทิ้งเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นแทนโดยชดเชยเงินเพียงไร่ละ 400 บาท นั้นถือว่าต่ำมากๆ ไม่จูงใจด้วยประการทั้งปวง

มิหนำซ้ำมาตรการช่วยเหลือเพื่อพยุงราคายังมาช้ามาก เพราะช่วงปลายๆ เดือนม.ค. เป็นต้นไป ชาวสวนยางโดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน ก็เริ่มปิดหน้าพักการกรีดยางในฤดูกาลนี้กันแล้ว วงเงินที่ให้ผู้ประกอบการซื้อยางดูดซับออกจากตลาดจึงไม่มีความหมายใดๆ กับชาวสวนยาง

มองย้อนกับมากรณีการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายเพื่อปลดล็อกใบเหลืองของอียู ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน หากฟังการชำแหละแบบถึงกึ๋นจาก นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งคร่ำหวอดในวงการประมงมาชั่วชีวิต โดยนั่งเป็นเลขาธิการและนายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย, ประธานและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย, ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทศิริชัยการประมง และบริษัทร่วมทุนในหลายประเทศ

นายวิชาญ ต้องการสื่อสารให้คนภายนอกวงการทราบว่า 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากอียูแจกใบเหลืองให้ไทย เกิดอะไรขึ้นกับการประมงไทยของไทย ชาวประมงถูกป้ายความผิดให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อปัญหา เป็นพวกที่เลวร้าย ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ และอื่นๆ อีกสารพัด และอยากให้ผู้มีอำนาจให้เปิดใจ ยอมรับ และเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เพื่อที่จะได้แก้ปัญหากันให้ถูกทาง ดังที่ว่า ....

“.... พอได้ใบเหลืองมา รัฐบาลก็ลุกขึ้นมาเต้น ถามว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องประมงทะเล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงฯ อธิบดีกรมประมง แก้ปัญหากันผิดมาตั้งแต่แรก แค่เข้าใจความต้องการของ EU ก็ผิดแล้ว เข้าประเภทฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ตั้ง ศปมผ. ออก พ.ร.บ.ประมง ออกคำสั่งตามมาตรา 44 (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558) สารพัดโดยคิดว่าจะแก้ไขปัญหาได้ และทำให้ EU ยกเลิกใบเหลือง

“… ลองไปอ่านดูด้วยใจที่เป็นกลาง และคิดตามบนความเป็นจริงความเป็นไปได้เถอะครับ จะเห็นว่าคำสั่ง และมาตราที่กำหนดออกมานั้นมีข้อบกพร่องมากมาย บางครั้งออกคำสั่งมาบังคับใช้แล้วทำไม่ได้ ต้องตามมาแก้ไข บางมาตราเจ้าหน้าที่ก็นำไปบังคับใช้แบบไม่เข้าใจ คนไม่ผิดก็ไปกล่าวหาว่าผิด ลองไปอ่านเอกสารคำวินิจฉัยของ EU ที่แจ้งเหตุผลในการให้ใบเหลืองประเทศไทย ข้อ 94 ดูสิครับ กว่าครึ่ง EU ชี้เป้าไปที่กรมประมงว่าไร้ประสิทธิภาพ ขาดความรู้ ความสามารถ และขาดความน่าเชื่อถือในการจัดการทรัพยากรและแก้ปัญหา IUU

“…เป็นความผิดของชาวประมงหรือครับ

“ผมอยากถามว่า 2 ปีที่ครอบครัวชาวประมงไทยต้องรับกรรมจากการถูกบังคับให้ต้องจอดเรือเกือบ 3,000 ลำ ที่เป็นทั้งเครื่องมือทำมาหากินและเป็นสินทรัพย์ไว้เฉยๆ รอวันผุพัง โดยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา นั้นเป็นความถูกต้องแล้วหรือครับ แล้วกรมประมง ล่ะครับ… ได้แก้ปัญหาข้อบกพร่องของตนหรือยังครับ

“เชื่อไหมครับ ประเทศไทยเคยมีเรือประมงไทยที่ทำการประมงนอกน่านน้ำอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่ก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินการแก้ปัญหา IUU Fishing มากกว่า 1,000 ลำ แต่วันนี้กลับถูกรัฐบาลไทยบังคับให้จอด หรือไม่ก็เพื่อความอยู่รอดก็ต้องไปชักธงประเทศอื่นกันจนไม่มีเรือประมงที่ชักธงไทยทำการประมงนอกน่านน้ำเหลืออยู่แม้แต่เพียงลำเดียว ท่านทั้งหลายที่กำหนดนโยบาย เขียน และเห็นชอบกฎหมายประมงมาบังคับใช้ ท่านชื่นชมความสามารถหรือภูมิใจผลงานของตัวเองไหมครับ

“..... ครบรอบ 2 ปี พอดี วันที่รัฐบาลเริ่มต้นแก้ปัญหา IUU Fishing มาอย่างผิดทาง โดยไม่ยอมรับความผิดพลาดในการกำหนดนโยบายและดำเนินการมาแต่ต้น ปล่อยให้ชาวประมงผู้ประกอบอาชีพสุจริตต้องขาดรายได้ ไม่มีปัจจัยในการเลี้ยงชีพและครอบครัว หลายรายต้องหมดตัว มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่รู้อนาคต ประชาชนในฐานะผู้บริโภคต้องซื้อปลาแพง เพราะประเทศไทยต้องเริ่มนำเข้าสัตว์น้ำมาเพื่อการบริโภค หลังจากที่เราไม่เคยเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2504 แต่ปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกครับ อยากถามว่าใครผิด Un-Happy Anniversary ครับ …ชาวประมงไทยทุกคน”

ของขวัญส่งท้ายปีที่ว่าโปรแรงแบบไฟกระพริบ เอาเข้าจริงชาวประมงกับชาวสวนยางก็อาจเฮกันไม่ออก


กำลังโหลดความคิดเห็น