xs
xsm
sm
md
lg

เกลือจิ้มเกลือ ที่เยรูซาเล็มตะวันออก

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>นายเรเซป ตอยยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี</b>
ทรัมป์ประกาศเมื่อพุธที่ 6 ธันวา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจะเดินหน้าย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟมาอยู่เยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับว่า เมืองหลวงของอิสราเอลคือ เยรูซาเล็ม ; ไม่ใช่กรุงเทลอาวีฟ

ทั้งๆ ที่พื้นที่ตะวันออกของเยรูซาเล็มเป็นดินแดนที่อิสราเอลไปยึดครองมาจากปาเลสไตน์ โดยอิสราเอลบุกเข้ายึดดินแดนบางส่วนจาก 3 ประเทศคือ ซีเรีย, อียิปต์ และจอร์แดน เมื่อนายพลตาเดียว โมเช ดายัน ได้ชนะสงคราม 6 วัน (5-10 มิถุนายน 1967) และพื้นที่เยรูซาเล็มตะวันออกขณะนั้นอยู่ในการดูแลของจอร์แดน

จากนั้นมา กองกำลังของอิสราเอลได้เข้าควบคุมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ศาสนาที่เยรูซาเล็มตะวันออก ต่อมามีมติของสหประชาชาติว่าดินแดนนี้จะต้องตกลงกันระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล โดยต้องมีทั้ง 2 รัฐอยู่คู่กัน (Two-State Solution) ไม่ใช่เป็นดินแดนของอิสราเอลประเทศเดียว

ที่ทรัมป์ประกาศได้สร้างความโกรธแค้นในประเทศปาเลสไตน์ และในประเทศมุสลิมทันที โดยทรัมป์แจงเหตุผลว่า เขาทำตามสัญญาที่เขาหาเสียงไว้ (ส่วนหนึ่งเพื่อดึงคะแนนชาวยิวในสหรัฐฯ มาลงคะแนนให้เขา)

แต่ช่างเหมาะเจาะ ที่เขาประกาศหลังจากเขาแพ้การเลือกตั้ง ส.ว.ที่รัฐอลาบามา เพราะเขาทุ่มสุดตัวหาเสียงให้ผู้พิพากษารอย เมอร์ ที่แพ้ให้กับผู้สมัครฝ่ายเดโมแครต และเป็นการแพ้ครั้งแรกของพรรครีพับลิกันในรอบ 25 ปีทีเดียว

การประกาศที่สร้างความโกลาหลไปทั้งโลกของทรัมป์ น่าจะเลือกจังหวะเพื่อกลบข่าวการพ่ายแพ้ของเขาในรัฐอลาบามานั่นเอง เพราะเป็นการเลือกตั้งที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นรัฐของรีพับลิกันมาตลอด มีประชากรผิวขาวถึง 60% และตอนเลือกปธน.เมื่อ 8 พฤศจิกาปีที่แล้ว ทรัมป์ชนะขาดลอยถึง 30% เหนือกว่าฮิลลารี ดังนั้น การพ่ายแพ้ของทรัมป์กำลังเป็นตัวอย่างที่จะแพร่เชื้อไปยังรัฐอื่นๆ ทางใต้ที่คนผิวขาว (โดยเฉพาะผู้หญิง) อาจเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของทรัมป์ (ที่ลวนลามผู้หญิงมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่ม) ---และจะเร่งเร้าผลักดันให้คนผิวดำในรัฐตอนใต้มีกำลังใจออกมาลงคะแนน (ในอดีตคนผิวดำจะมาลงคะแนนกันน้อย เพราะเป็นคนส่วนน้อย คนผิวดำมีชีวิตที่ไม่ค่อยเท่าเทียมคนผิวขาวทางตอนใต้ และถูกกลั่นแกล้งโดยพวก KKK จึงมักอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ตอนเหนือๆ)

หลังทรัมป์ประกาศ, และจะส่งรองปธน.ไมค์ เพนซ์ ไปพูดจากับประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางเรื่องนี้; ปรากฏว่าเหล่าประเทศมุสลิมไม่พอใจ มีการเดินขบวนมากมายที่ประเทศปาเลสไตน์ 3 วัน 3 คืน ทั้งเผาธงชาติสหรัฐฯ และประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งที่อินโดนีเซีย

เหล่าประเทศมุสลิมบอกว่า ไม่ต้องส่งรองปธน.ไมค์ เพนซ์ มาหรอก ไม่ต้องการพบ...จนรองปธน.เพนซ์ต้องหาเหตุผลรักษาหน้า แถลงว่า กำลังจะมีกฎหมายสำคัญเรื่องปฏิรูปภาษีเข้าสภา เขาจึงเลื่อนการเดินทางไปตะวันออกกลาง (ไม่อย่างนั้น ชีวิตเขาอาจไม่ปลอดภัย เมื่อเจอการประท้วงอย่างหนักหน่วงด้วยซ้ำ)

รมต.ตปท.เร็กซ์ ที. ก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล รวมทั้งรมต.กลาโหม เจมส์ แมตทิส ก็เช่นกัน

สังเกตได้ว่า ทรัมป์ไม่แต่งตั้งเร็กซ์ ที.ให้เดินทางไปเจรจากับตะวันออกกลาง แต่กลับไปตั้งรองปธน.เพนซ์แทน

หลังคำประกาศของทรัมป์ได้ไม่กี่วัน ทางสันติบาตอาหรับได้จัดประชุมด่วน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายของทรัมป์ และยังมีองค์พระสันตะปาปาที่ทรงออกมาคัดค้านคำประกาศของทรัมป์ รวมทั้งรมต.ตปท.ทั้ง 28 ชาติสหภาพยุโรปก็ไม่เห็นด้วย; มีคำพูดประณามทรัมป์อย่างเผ็ดร้อนจาก ดร.มหาเธร์ แห่งมาเลเซีย
<b>ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย</b>
ฝ่ายตุรกีซึ่งเป็นประธานขององค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC-Organization of Islamic Cooperation) ได้เรียกประชุมสมาชิกทั้ง 57 ประเทศ เป็นประชุมวิสามัญฉุกเฉินซึ่งมีประเทศอิสลามทุกนิกาย (ทั้งชีอะห์คือ อิหร่าน, อิรัก, เลบานอน และสุหนี่ และจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย ฯลฯ มากันหมด)

ไม่ใช่แค่ประเทศมุสลิมที่เป็นอาหรับ โดยมีการประชุมโอไอซีเมื่อ 13 ธันวา--1 อาทิตย์หลังจากทรัมป์ประกาศ

แถลงการณ์ของโอไอซีประณามการประกาศของทรัมป์ บอกว่าขัดกับข้อตกลงสหประชาชาติ ถือเป็นโมฆะ

ผู้นำตุรกีประกาศจะย้ายสถานทูตตุรกีมาอยู่ที่เยรูซาเล็มตะวันออก และเรียกร้องให้ทุกๆ ประเทศทำตามโดยประกาศก้องว่าเมืองหลวงของปาเลสไตน์คือ เยรูซาเล็ม!!
กำลังโหลดความคิดเห็น