ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์
คณะนิเทศศาสตร์ และศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะนิเทศศาสตร์ และศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อคราวที่แล้ว ในบทความ ปาร์ซีแห่งอินเดีย : มนุษย์ล่องหนผู้ขับเคลื่อนโลก ผู้เขียนได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรม และบทบาทของชาวปาร์ซีในอินเดียอย่างพอเป็นสังเขป มาในครั้งนี้ ก็ถึงคราวที่ผู้เขียนจะเขียนถึงคนเชื้อสายปาร์ซีในสยาม กลุ่มคนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสยามประเทศสู่ความทันสมัย
คนเชื้อสายปาร์ซีจะเริ่มเข้ามาในสยามเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัด แต่ก็น่าที่จะเชื่อได้ว่าคนเชื้อสายปาร์ซีจำนวนหนึ่งคงจะเริ่มเข้ามาค้าขายในสยามพร้อมๆ กับการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของราชสำนักสยามภายใต้สนธิสัญญาเบอร์นี่ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ทั้งนี้ด้วยปรากฏว่าหลุมศพของชาวปาร์ซีที่เก่าแก่ที่สุดที่เราสืบค้นได้ในบางกอก มีการระบุปีมรณะของผู้ตายว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๓๗๓ นอกจากนี้แล้วเราก็ยังจะพบอีกว่า กิจการที่มีชาวปาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้นและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครย่างกุ้งอย่าง บริษัทบอมเบย์-เบอร์ม่า หรือ ห้างบีโรซา ก็มักจะเข้ามาตั้งสาขาในบางกอกในเวลาไล่เลี่ยกัน อย่างไรก็ตามหากเราจะยึดถือเอาตามหลักฐานลายลักษณ์ที่ปรากฏแน่ชัดเป็นสำคัญ เราก็พอจะแน่ใจได้ว่าต้นตระกูลของคนเชื้อสายปาร์ซีที่เข้ามามีบทบาทในสยาม ส่วนใหญ่ก็จะย้ายถิ่นฐานเข้ามาในช่วงของการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของประเทศ ภายหลังจากการเสด็จประพาสอินเดียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในช่วงต้นรัชกาล
การเสด็จประพาสอินเดียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๔ นั้น เป็นเหตุการณ์ที่คนไทยในปัจจุบันควรให้ความสนใจ เพราะการเสด็จประพาสในครั้งนั้นเป็นความพยายามของพระองค์การสำรวจสถานการณ์ร่วมสมัยของอินเดีย (ซึ่งในสมัยนั้นรวมพม่าเข้าไปด้วย) ทั้งในบริบทด้านการบริหารรัฐกิจ การทหาร การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการพัฒนาสยามสู่ความทันสมัย โดยภายหลังจากการเสด็จประพาสอินเดียครั้งนั้นได้เกิดการรวมตัวของกลุ่มสยามหนุ่มและการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปสยามในด้านต่างๆ ซึ่งฟันเฟืองที่จะช่วยให้การปฏิรูปนั้นลุล่วงได้เร็วที่สุดก็คือ การนำเข้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญและแรงงานฝีมือจากต่างประเทศ
ประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศในช่วงรัชกาลที่ ๕ มักจะให้ความสำคัญกับนายฝรั่งที่เข้ามารับราชการหรือลงทุนในสยามเป็นหลัก แต่ถ้าหากเราลองพิจารณาดูรายชื่อของผู้ที่ปฏิบัติงานจริงในหน่วยราชการหรือกิจการต่างๆ เราจะพบว่าคนที่มีบทบาทส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนนานาชาติพันธ์ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากอินเดียและมาลายา หยาดเหงื่อแรงกายและประสบการณ์ของคนกลุ่มนี้ที่อุทิศให้กับการทำงานเพื่อสยาม น่าที่จะมีคุณูปการต่อกระบวนการพัฒนาสยามสู่ความทันสมัยอย่างเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่านายฝรั่งที่เป็นเจ้าของกิจการเสียอีก
การเดินทางสู่สยามของคนเชื้อสายปาร์ซี
คนเชื้อสายปาร์ซีส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาเพื่อช่วยพัฒนากิจการรถไฟสายต่างๆ ของสยาม ที่ต่อมาจะได้พัฒนาขึ้นเป็นกรมรถไฟหลวง ด้วยคนเชื้อสายปาร์ซีในอินเดียนั้นได้ชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมและการบริหารกิจการรถไฟ ในเมืองที่เป็นชุมทางรถไฟที่สำคัญในเอเชียใต้อย่างนครฌาณศรี (Jhansi) นครละฮอร์ (Lahore) นครบังกาลอร์ (Bengaluru) หรือ นครวาโดดารา (Vadodara) เราก็มักจะพบการตั้งถิ่นฐานของชาวปาร์ซี ด้วยเหตุนี้ ในเอกสารรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่างๆ ของสยามสำหรับนักลงทุนและพ่อค้าชาวต่างประเทศ อย่าง The Directory for Bangkok and Siam ที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ เราก็จะพบคนเชื้อสายปาร์ซีจำนวนหนึ่งรับราชการอยู่ในกรมรถไฟหลวง อย่าง นายพี เอ เปสตันยี นายดี เอ เปสตันยี นายซี ฟรามจี นายจี บีโรซา นายดี มาเนคจี นายจี โบมันจี และนายจี อาร์ วัทชา เหล่านี้เป็นรายชื่อที่ยังคงชื่อและนามสกุลแบบปาร์ซีไว้ ในขณะนี้อีกจำนวนหนึ่งก็จะเปลี่ยนไปใช้ชื่อตามราชทินนามที่ได้รับพระราชทาน อย่าง นายช่างอาร์ โซรับจี อดีตหัวหน้าคนขับรถจักรและนายสถานีเชียงใหม่ที่ได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ ขุนอนุจรจักรวิชัย เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วคนเชื้อสายปาร์ซีอีกจำนวนหนึ่งก็ได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำงานในห้างร้านของฝรั่งหรือเพื่อประกอบธุรกิจของตนเอง คนที่มีชื่อเสียงก็คือ นายห้างเอ็ฟ มามา บีโรซา ที่ทำกิจการส่งออกและนำเข้าสินค้า น่าเสียดายว่าหลักฐานเกี่ยวกับนายห้างบีโรซาที่พอหาได้นั้นมีอยู่น้อยมาก จนกระทั่งเราไม่สามารถวาดภาพที่ชัดเจนของกิจการในสยามของนายห้างบีโรซาได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนก็ค้นพบโดยบังเอิญว่า ศพของนายห้างบีโรซานั้นเคยถูกฝังอยู่ที่สุสานปาร์ซีในย่างกุ้ง โดยสอบทานจากรายชื่อของป้ายหลุมศพจากสุสานปาร์ซีที่ถูกรื้อถอนไปโดยรัฐบาลทหารพม่าในปี พ.ศ. ๒๕๓๘
นอกจากนี้แล้วคนเชื้อสายปาร์ซีอีกจำนวนหนึ่งก็ได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำงานในห้างร้านของฝรั่งหรือเพื่อประกอบธุรกิจของตนเอง คนที่มีชื่อเสียงก็คือ นายห้างเอ็ฟ มามา บีโรซา ที่ทำกิจการส่งออกและนำเข้าสินค้า น่าเสียดายว่าหลักฐานเกี่ยวกับนายห้างบีโรซาที่พอหาได้นั้นมีอยู่น้อยมาก จนกระทั่งเราไม่สามารถวาดภาพที่ชัดเจนของกิจการในสยามของนายห้างบีโรซาได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนก็ค้นพบโดยบังเอิญว่า ศพของนายห้างบีโรซานั้นเคยถูกฝังอยู่ที่สุสานปาร์ซีในย่างกุ้ง โดยสอบทานจากรายชื่อของป้ายหลุมศพจากสุสานปาร์ซีที่ถูกรื้อถอนไปโดยรัฐบาลทหารพม่าในปี พ.ศ. ๒๕๓๘
คนไทยเชื้อสายปาร์ซีกับการนำสยามสู่ความทันสมัย
นายห้างบีโรซานั้นมีบุตรสาว ๒ คนที่เกิดและอาศัยอยู่ในสยาม คือ นางสาวหวาน และนางสาวเล็ก บีโรซา ซึ่งสุภาพสตรีเชื้อสายปาร์ซีทั้งสองคนได้รับการศึกษาที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง นางสาวหวาน บีโรซา นั้นน่าที่มีผลการเรียนเป็นที่โดดเด่นจนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียน ต่อมาก็ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลให้ไปศึกษาการพยาบาลและการสาธารณสุข ณ สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ซึ่งก็น่าที่จะเป็นสตรีชาวสยามกลุ่มแรกๆ ที่ได้ไปศึกษาวิชาการพยาบาลตามแบบแผนตะวันตกในต่างประเทศ โดยเริ่มต้นจากการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพนางพยาบาลในมณฑลคอนเนกติกัต ก่อนที่จะเข้าศึกษาเฉพาะด้านการผดุงครรภ์ในจังหวัดนิวยอร์ค และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านการปกครองโรงพยาบาลและประชานามัยพิทักษ์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยเมื่อครั้งที่เธอสำเร็จการศึกษา หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาต่างก็รายงานข่าวการจบการศึกษาของเธอกันอย่างครึกครื้น โดยบางฉบับก็ยังติดตามมารายงานข่าวการทำงานของเธอถึงในสยาม
เมื่อสำเร็จการศึกษา นางสาวหวาน บีโรซาได้กลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งหัวหน้านางพยาบาลแห่งกองอนามัยสภากาชาดสยาม และต่อมาก็เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานของการอนามัยศึกษาและการพยาบาลศึกษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นับว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่มีคุณูปการต่อการสาธารณสุขศึกษาในประเทศไทยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คนไทยเชื้อสายปาร์ซีอีกตระกูลหนึ่ง ที่มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาสยามสู่ความทันสมัยก็เห็นจะหนีไม่พ้นสมาชิกแห่งตระกูลเปสตันยีจากนครละฮอร์ที่ปัจจุบันอยู่ในเขตปากีสถาน นายดี เอ (อดุลย์) เปสตันยี ผู้เป็นต้นตระกูลเปสตันยีในสยามได้เดินทางเข้ามารับราชการในตำแหน่งเสมียนในกรมรถไฟหลวงสยาม ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองเดินรถ ก่อนที่จะได้ย้ายไปทำงานในบริษัทเดินเรือคลองแสนแสบของพระยาภักดีนรเศรษฐ์ (นายเลิศ) นายอดุลย์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกิจการของกรมรถไฟหลวงในยุครุ่งเรืองและมีตำแหน่งบริหารในคณะกรรมการสภากาชาดไทย นายอดุลย์มีบุตร-ธิดาที่เกิดในสยามรวม ๕ คน ที่แต่ละคนต่างก็มีบทบาทในการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมของสยามไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
นางดีน่า (เปสตันยี) กีรติวิทโยฬาร อดีตคุณครูโรงเรียนกุลสตรีวังหลังและภริยาของ หลวงกีรติวิทโยฬาร (กี่ กีรติวิทโยฬาร) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาไทยแห่งมหาวิทยาลัยเบอร์ลินและเป็นผู้แต่งหนังสือแบบเรียนภาษาไทยสุดคลาสสิกอย่าง “นกกางเขน” “อุดมปัญญาดี” และ “เรณู-ปัญญา” อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสล่วงรู้ได้เลยว่า ในความเป็นจริงคุณครูดีน่าจะได้มีส่วนช่วยเหลือหลวงกีรติวิทโยฬารในการแต่งหนังสือชุดดังกล่าวมากน้อยเพียงใด คงได้แต่จินตนาการกันไปเองถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคู่สามีภรรยาหัวก้าวหน้าที่มีการศึกษาสูงกว่าคนสยามทั่วไปในสมัยนั้น
นางสาวอุมา เปศลชีวี (โอมาย เปสตันยี) เป็นผู้บุกเบิกการศึกษาแผนกอนุบาลในโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และเป็นผู้นำวิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาเด็กประถมวัยจากต่างประเทศอย่างแนวคิดการเรียนควบคู่กับการเล่าเข้ามาเผยแพร่ โดยในช่วงที่คุณครูอุมาดูแลการเรียนการสอนของโรงเรียนแห่งนี้อยู่นั้น แผนกอนุบาลและประถมของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยถือเป็นแบบอย่างให้กับโรงเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศ
ทายาทของตะกูลเปสตันยีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เห็นจะเป็น นายรัตน์ เปสตันยี หลานชายที่เกิดจากนายเล็ก เปสตันยีบุตรชายคนที่สองของนายอดุลย์ จากความทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อวงการภาพยนตร์ไทยจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตของรัตน์ เปสตันยี ทำให้คนไทยเชื้อสายปาร์ซีท่านนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัตนะแห่งภาพยนตร์ไทย
รัตน์ เปสตันยีสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ด้วยความชื่นชอบในศิลปะภาพยนตร์และการถ่ายภาพ คุณรัตน์ได้ศึกษาหาความรู้ในการสร้างภาพยนตร์ด้วยตนเอง กระทั่งสามารถสร้างภาพยนตร์ส่งประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติและคว้ารางวัลจากมือของอัลเฟร็ด ฮิทช์ค๊อคมาได้ ภาพยนตร์อย่าง “แพรดำ” “น้ำตาลไม่หวาน” “โรงแรมนรก” “ชั่วฟ้าดินสลาย” “นิ้วเพ็ชร์” และ “สันติ-วีณา” นอกจากที่จะเป็นผลงานที่บุกเบิกวัฒนธรรมภาพยนตร์ไทยร่วมสมัยแล้ว ก็ยังเป็นมรดกภาพยนตร์ของโลกที่สถาบันศิลปะภาพยนตร์ทั่วโลกยกย่อง
นอกจากนี้แล้ว ทายาทของคุณรัตน์ เปสตันยีก็ยังมามีบทบาทในวงการภาพยนตร์ ทั้งในฐานะนักแสดง อย่าง คุณรัตนาวดี รัตนาพันธุ์ (พรรณี ตรังคสมบัติ) และ คุณจักรกริช (เอเดิล) เปสตันยี และในฐานะผู้อำนวยการสร้าง อย่าง คุณสันติ์ เปสตันยี ผู้บุกเบิกธุรกิจการประสานงานกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย โดยในปัจจุบัน ทายาทรุ่นที่ ๕ ของตระกูลเปสตันยีในไทยก็ยังสืบทอดการทำงานทางด้านนี้อยู่
อารียันต์ มันยีกุลกับวิชาการเกษตรสมัยใหม่
หากประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของเกษตรกรรมแล้ว คนไทยเชื้อสายปาร์ซีอีกท่านหนึ่งที่สังคมไทยควรจะยกย่องอีกท่านหนึ่งก็คือ นายอารียันต์ “ดินชาห์” มันยีกุล ผู้วางรากฐานการศึกษาด้านแมลงและศัตรูพืช ตลอดจนการศึกษากีฏวิทยาในประเทศไทย จวบจนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์แมลง “จักรทอง ทองใหญ่” ที่กรมวิชาการเกษตร ที่อาจารย์อารียันต์ มันยีกุลได้ริเริ่มขึ้นมาร่วมกับ ม.ร.ว. จักรทอง ทองใหญ่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ก็ยังนับเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย
อารียันต์ มันยีกุล เป็นบุตรชายของ นายโบมันจี กัซดาร์ คนเชื้อสายปาร์ซีที่เข้ามารับราชการในกรมรถไฟหลวงในสำนักงานบัญชี ก่อนที่จะย้ายไปเป็นนายสถานีรถไฟบางกอกน้อย จนกระทั่งได้รับราชทินนามเป็น ขุนพานิชภัณฑ์ หัวหน้ากองคลังและพัสดุของกรมรถไฟหลวง เช่นเดียวกับคนไทยเชื้อสายปาร์ซีคนอื่นๆ อารียันต์ มันยีกุลได้รับการศึกษาขึ้นพื้นฐานในบางกอก ก่อนที่จะเดินทางไปบอมเบย์เพื่อรับศีลในฐานะศาสนิกโซโรอัสเตอร์ในพิธีนวโชติ (Navjote) และเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาขั้นสูง ในขณะที่ชาวสยามเชื้อสายปาร์ซีส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงพี่น้องของนายอารียันต์ตัดสินใจที่จะต้ังรกรากอยู๋ในอินเดีย นายอารียันต์กลับตัดสินใจที่จะเดินทางกลับสู่สยามเพื่อรับราชการในกระทรวงเกษตราธิการ
อาจารย์อารียันต์ มันยีกุลมีบทบาทสำคัญในการนำวิชาการใหม่ๆ ด้านการเกษตรจากอินเดียมาปรับใช้ในสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการด้านการศึกษาวิจัยศัตรูพืช ผลงานตีพิมพ์ที่เป็นภาษาอังกฤษของอาจารย์อารียันต์ในด้านกีฏวิทยาและธรรมชาติวิทยานีี้มีอยู่เป็นจำนวนมากและยังให้เป็นเอกสารอ้างอิงในวงวิชาการตะวันตกจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ยังไม่มีนักวิชาการด้านการเกษตรในไทยคนไหนสนใจที่จะรวบรวมและสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการเกษตรและรรมชาติวิทยาที่ท่านได้บุกเบิกเอาไว้ให้กับประเทศไทย
ชื่อของแมลงศัตรูพืชที่เราคุ้นชินกัน อย่าง เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดด ตัวห้ำ ตัวเบียนไข่ ตัวเบียนดักแด้ ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการบัญญัติขึ้นมาผ่านการวิจัยภาคสนามและทำงานร่วมกันระหว่างอาจารย์อารียันต์ ม.ร.ว.จักรทอง และเกษตรกรพื้นถิ่น ซึ่งเป็นการเปิดศักราชของการศึกษาแนวทางการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชในไทยอย่างเป็นระบบ
จากการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและศัตรูพืชคนสำคัญ อาจารย์อารียันต์จึงมักได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านการเกษตรสำคัญๆ ของชาติ นับตั้งแต่การบุกเบิกการตรวจสอบและกักกันพืชในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ การทดลองนำพันธ์ข้าวสาลีจากอินเดียมาปลูกในภาคเหนือของไทยในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ รวมถึงการเป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานทางวิชาการให้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อารียันต์ มันยีกุลรับผิดชอบสอนวิชาโรคพืชและกีฏวิทยาให้กับนิสิตหลากหลายรุ่น โดยหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.ระพี สาคริก ปรมาจารย์กล้วยไม้ไทย ในบทความ “เส้นทางกล้วยไม้ จากพื้นแผ่นดินไทยสู่ระดับโลก” อาจารย์ระพีได้เล่าถึงเหตุการณ์ในชั้นเรียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ที่ทำให้ท่านหันมาสนใจศึกษาเรื่องกล้วยไม้อย่างจริงจัง ในครั้งนั้น อาจารย์อารียันต์ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกๆ ในประเทศไทยที่เล่นกล้วยไม้ได้นำลูกกล้วยไม้คัทลียาซึ่งติดเชื้อโรคราจนเน่าดำจากบ้านมาให้นิสิตดู ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่นิสิตทั้งชั้นเรียนได้เห็นกล้วยไม้คัทลียาของจริง ทั้งนี้ด้วยในอดีตการเลี้ยงกล้วยไม้เป็นของเล่นที่จำกัดอยู่ในแวดวงแคบๆ ของนักเลงกล้วยไม้เท่านั้น ใครจะไปนึกว่าการเปิดโลกทัศน์และจุดประกายความสนใจใคร่รู้ของนิสิตคนหนึ่งในวันนั้น จะได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรแขนงสำคัญแขนงหนึ่งของไทยในวันนี้
นอกจากนี้แล้ว ทายาทของอาจารย์อารียันต์ มันยีกุลก็ยังมีบทบาทต่อสังคมไทยในด้านต่างๆ ทั้งในแวดวงการศึกษาและศาสนา เช่น ดร.ชวลิต มันยีกุล ในแวดวงธุรกิจ เช่น คุณรัชนี (มันยีกุล) คุณศนิตา คาจิจิ และคุณศิลิกา (คาจิจิ) มัสกาตี หรือในแวดวงดนตรีและศิลปะ อย่าง ปอง นครชัย
สังคมพหุวัฒนธรรมและพัฒนาการของชาติไทย
กลุ่มบุคคลที่ผู้เขียนกล่าวถึงในข้างต้นนั้น เป็นเพียงจำนวนหนึ่งของคนไทยเชื้อสายจากอินเดียและเอเชียใต้ที่มีคุณูปการต่อพัฒนาการของประเทศไทยในด้านต่างๆ นอกเหนือจากบุคคลเหล่านี้แล้ว ยังมีบุคคลท่านอื่นๆ ทั้งที่เป็นคนไทยเชื้อสายอินเดีย-เอเชียใต้ และคนไทยเชื้อสายอื่นที่ได้สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติอีกจำนวนมาก คนเหล่านี้คือ “วีรบุรุษของชาติ” สังคมไทยควรจะให้ความสนใจ ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิต และยกย่อง
นโยบายการอ้าแขนเปิดรับผู้ย้ายถิ่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้นำมาซึ่งการปฏิรูปสู่ความทันสมัยและความเจริญรุ่งเรืองของสยาม อีกทั้งสังคมพหุวัฒนธรรมอันเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของประเทศไทยในวันนี้ เราควรจะภูมิใจว่า การปฏิสังสรรค์ของกลุ่มคนหลากเชื้อชาติ ภาษา ความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้ย้ายถิ่นนี้เองที่เป็นบ่อเกิดของตัวตน “คนไทย” ในวันนี้และในอนาคต
ปัจฉิมอุทิศ
บทความในครั้งนี้ ผู้เขียนตั้งใจเขียนอุทิศให้ คุณนฤมล (มันยีกุล) นครชัย ทายาทของอาจารย์อารียันต์ มันยีกุลผู้ซึ่งเมตตาให้ผู้เขียนบุกเข้าไปพูดคุยถึงที่บ้านทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากการพูดคุยในวันนั้นได้ทำให้ผู้เขียนได้รู้จักอาจารย์อารียันต์และเห็นภาพของชุมชนชาวปาร์ซีในเมืองไทยชัดเจนมากขึ้น เป็นที่น่าเสียดายว่าผู้เขียนไม่มีโอกาสทำงานให้สำเร็จทันที่คุณนฤมลจะได้อ่าน หรือกลับไปเล่าให้ฟังว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่คณะรัฐศาสตร์ที่เคยทำกิจกรรมด้วยกันยังจำเสียงร้องเพลงอันไพเราะของคุณนฤมลได้เป็นอย่างดี
ชื่อในภาษาอูร์ดู-ฟาร์ซีของคุณนฤมลนั้นคือ “มาห์รุคห์” ที่แปลว่าดวงจันทร์ หากงานเขียนชิ้นนี้จะได้ช่วยจุดประกายทางความคิดให้แก่ผู้อ่านในเรื่องคุณค่าและพลังของสังคมพหุวัฒนธรรม หรือสามารถจะให้ภาพที่กระจ่างขึ้นของกลุ่มคนไทยเชื้อสายปาร์ซีที่มีคุณูปการยิ่งต่อสังคมไทยได้ ผู้เขียนของอุทิศคุณงามความดีทั้งหมดให้กับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างลงมาจากสรวงสวรรค์