xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ห้ามขึ้นเสียงนะคร้าาา ทัศนคติติดลบ - จุดจบ คสช.?? “นายกฯ คนนอก” อาจต้องเปลี่ยนตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มันก็จะหลอนๆ หน่อย กับความน่าสะพรึงของ “น้องเกี่ยวก้อย” มาสคอตสัญลักษณ์แทนการปรองดอง ที่เพิ่งเปิดตัว “เดบิวต์” ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

โต้โผใหญ่โปรเจ็กต์นี้ก็คือ กระทรวงกลาโหม โดยมี “เสธ.ต้อง”ล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ที่อีกขาหนึ่งเป็น ประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ภายใต้ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม รับหน้าเสื่อเรื่องการสร้างความปรองดองอยู่

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งตั้ง ป.ย.ป.ขึ้นมา “บิ๊กป้อม” ประกาศนโยบายไว้ดิบดีว่า จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในการตกผลึกข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดอง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ทว่า ผ่านไปเกือบ 12 เดือน กลับไร้ความคืบหน้าใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย จนมีเจ้ามาสคอต “น้องเกี่ยวก้อย” นี่แหละ

กระแส “น้องเกี่ยวก้อย” เป็นที่ฮือฮาชั่วข้ามคืน ด้วยมุมมองที่หลากหลาย มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่ยกเว้นเพียง “เสียงชื่นชม” อย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกเอ่ยถึง

ก็ด้วยสภาพของ “น้องเกี่ยวก้อย ที่ไม่น่าพิศมัย ไร้รสนิยม ไม่จรรโลงให้เกิดความปรองดอง ขาดหลักคิดในแง่การตลาด-สร้างความประทับใจอย่างเห็นได้ หนักข้อไปถึงว่า “งานขยะ 4.0” จนมีคำถามไปถึง “คนคิดไอเดีย” ลามไปถึงการถูกนำเปรียบเปรยว่าถอดแบบมาจาก “คุณแม่อู๊ด” ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยา “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย “บิ๊กตู่” เจ้าของผลงาน “ฝายแม่ผ่องพรรณ” หรือเปล่า

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีคำถามไปงบประมาณของโครงการ ไม่ว่าจะค่าออกแบบ หรือค่าผลิต ตลอดจนข้อสังเกตว่าส่วนหัวของมาสคอตตัวดังกล่าวที่ดูสภาพเก่า มีรูปร่างคล้ายกับมาสคอตทหารหญิงที่ใช้ในกิจกรรมคืนความสุขเมื่อปี 2557 อีกด้วย เมื่อเอามาสคอตตัวเก่าเอามา “รียูส” แต่วางบิลเป็นงบประมาณก้อนใหม่

ดรามาที่เกิดขึ้นเป็นไฟลามทุ่งยังตอกย้ำถึงผลงานความล้มเหลวเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ตั้งเข้ามายึดอำนาจ 22 พ.ค.257 ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วย

หากแต่ในทางกลับกัน “น้องเกี่ยวก้อย” กลับสร้างผลในมุมกลับ ให้แต่ละฝ่ายแต่ละสีเสื้อ ปรองดองสามัคคีรุมสกรัม “น้องเกี่ยวก้อย” ไม่มีชิ้นดี

นอกเหนือจากเป็นโครงการที่ไร้รูปธรรมแล้ว ยังสะท้อนหลักคิดของ “รัฐบาลลายพราง” ว่ายังติด “ทัศนคติ” คิดตื้นๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง

เป็นการซ้ำเติมในจังหวะที่ “รัฐบาลทหาร” กำลังตุปั๋ดตุเป๋อย่างหนักจากกระแสดรามา กรณีการตายอย่างมีเงื่อนงำของ “นตท.เมย” ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) รุ่นที่ 60 ภายในรั้วโรงเรียนฯ รวมไปถึงวีรกรรมของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และชาวคณะ ในการลงพื้นที่ตรวจราชการ และประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ในพื้นที่ภาคใต้

ทั้งหลายทั้งปวงกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ที่ประจานความเป็นตัวตนของ “รัฐบาลลายพราง” ออกมาอย่างสิ้นไส้ ว่ามี “ทัศนคติติดลบ” จนเป็นผลพวงให้คะแนนนิยมตกต่ำอย่างหนัก ไม่สามารถรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้

กล่าวถึงในกรณีของ “นตท.เมย” นั้น มี่ความผิดพลาดตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุใหม่ๆ ที่ทางโรงเรียนฯ-กองทัพพยายาม “ตัดจบ-เบี่ยงประเด็น” สาเหตุการตายของ “นตท.เมย” ว่าเป็นปัญหาสุขภาพส่วนตัว ขัดกับข้อมูลข้อเท็จจริงที่ออกมาจาก “ครอบครัวน้องเมย”

เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง โดยเฉพาะ “พี่ใหญ่กองทัพไทย” อย่าง “ป๋าป้อม” ที่นับวันยิ่งพูดยิ่งเจ๊ง ทั้งวาทะ “ไม่พร้อมสูญเสีย ไม่ต้องมาเรียนเตรียมทหาร” เรื่องซ่อม-ธำรงวินัยเป็นเรื่องปกติ ตัวเองเคยโดนแต่ไม่ถึงตาย หรือการโพล่งเรื่อง “ฮีมสโตรก” เป็นลมแดดออกมา ทั้งที่ขัดแย้งจากข้อเท็จจริงไปไกลลิบ

ย้อนไปในช่วงที่เรื่อง “น้องเมย” จะเป็นข่าวใหญ่ จะมีการใช้ “เพจสายดาร์กเพจหนึ่ง” ปล่อยข้อมูลว่า “น้องเมย” ไม่ได้อยากเป็นทหาร ตลอดจน “นายทหารใหญ่” เรียงหน้าออกมาโบ้ยไปว่าเป็น “ปัญหาสุขภาพส่วนตัว”

ความจริงคือความจริง ทุกข้อกล่าวหาถูกหักล้างด้วย ข้อมูลจากฝ่ายน้องเมย ทั้งเพื่อนสนิท-ครอบครัว ตอกย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า “นตท.เมย” บอร์นทูบีมาเป็นทหาร แถมวินัยสูง-ความสามารถเยี่ยม เสียด้วย

แล้วแทนที่จะห้ามปรามกัน “นายกฯตู่” ที่เคยเป็นไอดอลของ “ครอบครัวตัญกาญจน์” ยังมาให้ท้าย “ลูกพี่คนดีที่หนึ่ง” อีกด้วย โทษไปว่าสื่อทำให้อารมณ์เสีย “บิ๊กป้อม” เลยพลั้งปากออกมา แต่ไม่ได้ตั้งใจตอบแบบนั้น ยังอ้างไปอีกว่า ต่างประเทศก็มี “ธำรงวินัย” เหมือนกัน หลังถูกถามว่าจะมีการปรับระเบียบเรื่องซ่อมธำรงวินัยหรือไม่ พร้อมยืนยันว่า “เป็นเรื่องของกองทัพ”

เหมือนเป็นคำตอบในตัวว่า ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง “วัฒนธรรมดีงาม” เด็ดขาด ประมาณว่าของเดิมก็ดีอยู่แล้ว เป็น “ทัศนคติ” ที่ยึดมั่นถือมั่นใน “เกียรติยศ - ศักดิ์ศรี” ที่ผ่านการหล่อหลอมมาจาก “สถาบันทหาร”

แม้ว่า “ป๋าป้อม” จะออกมาหงายการ์ด “ขอโทษ” ทางครอบครัวตัญกาญจน์แล้ว แต่คำพูดหลายกรรมหลายวาระที่เสียดแทงหัวอก “คนเป็นพ่อ-แม่” ก็ยากเหลือเกินที่จะลืมเลือน และกว่าจะขอโทษได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปหลายวัน

ก็ด้วย “ไอโอ”ปฏิบัติการข่าวสารของทางทหาร ไม่ได้ผล แถมตีกลับจนทั้งกองทัพแทบจมดิน

พอสำเหนียกได้ว่า มันจะพาลให้ “รัฐบาลเรือแป๊ะ” ถลาเซในลงก้นมหาสมุทร “พี่ใหญ่ป้อม” ก็อยู่ยาก กอปรกับได้รับข้อมูลมาว่าทาง “ครอบครัวน้องเมย” เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม กปปส. ออกมาร่วมเป่านกหวีดขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อช่วงปี 2557 ด้วย จึงหวังใช้คอนเนกชั่นผ่านสาย “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาฯ กปปส. ออกหน้าเป็น “ตัวกลาง” ไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่าง “กองทัพ-รร.เตรียมทหาร” กับ “พ่อ-แม่น้องเมย” โดยด่วน

แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อ “เจ๊ ป.” โฆษกปากกล้าสายตรงลุงกำนัน และ “น้อง ต.” หลานรักที่มีความห่วงใย“ลุงป้อม”เป็นที่สุด ดัน “ใส่สีตีไข่” ว่า “ลุงป้อม” เสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่พลั้งปากพูดกระทบ “น้องเมย” จนนอนร้องไห้-หลับทั้งน้ำตาแทบทุกคืน

เรียกว่าอ้าปากเห็นลิ้นไก่ พูดไม่จริงกันตั้งแต่ต้น “ครอบครัวน้องเมย” จึงยืนยันว่า สิ่งที่ทางครอบครัวต้องการคือ “ความยุติธรรม - ความจริง” รวมทั้งการนำคนผิดมาลงโทษ เพื่อกู้ศักดิ์ศรีให้แก่ “บุตรชายคนเดียวของครอบครัว” เท่านั้น

ความวัวยังไม่หาย ความควายก็มาอีก เผอิญเป็นช่วงที่ “ลุงตู่” กรีฑาทัพลงปักษ์ใต้ปลายด้ามขวาน ในการประชุม ครม.สัญจร ที่แรกเริ่มวางกำหนดการไปเพื่อกอบกู้คำแนนนิยม และขยายฐานเสียงของรัฐบาลทหาร เซตไว้เป็น “ช่วงเวลาดีๆ” ในการโกยความนิยมกลับคืน รวมทั้งเพิ่งปลดเปลื้องข้อติดขัดระหว่างรัฐบาลกับพี่น้องชาวใต้ ไม่ว่าจะเป็นราคาพืชผลยางพารา หรือการทำวิชาชีพประมง

แต่ก็เกิดชอตเด็ดขึ้นเมื่อจู่ๆ “ลุงตู่” ดันไปตวาดด้วยวาจารุนแรง ต่อตัวแทนชาวประมง ที่มายื่นหนังสือร้องเรียนกับตัวเอง “ใจเย็นๆ อย่ามาเถียงฉัน อย่ามาส่งเสียงกับผม เข้าใจเปล่า ผมฟังคุณนี่ พูดดีๆ ก็ได้ กดดันผมไม่ได้ทั้งนั้น” เป็นคำพูดเหมือนมีเรื่องคาใจกันมาก่อน สิ้นประโยคที่ว่า ก็ไม่พลาดที่จะถูกนำไปหยอกล้อ วิพากษ์เละเทะในหน้าสื่อและสังคมโซเชียลฯ


ยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีภาพความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ที่สลายการชุมนุมของ “ม็อบต้านถ่านหิน” ที่บริเวณด้านนอกออกสื่ออีก ทั้งที่มีการประสานงานกันล่วงหน้าระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมอยู่แล้ว และรู้ทั้งรู้ว่ามี “เอ็นจีโอจัดตั้ง” พยายามขุด “หลุมพราง” ล่อฝ่ายรัฐ แต่ก็ยังไปหลงกลอย่างง่ายดาย

ส่งผลให้การลงทุนเดินทางไกลไปถึงปลายด้ามขวานของ “นายกฯตู่” และชาวคณะครั้งนี้ “ขาดทุนย่อยยับ” กลับมา ไม่เพียงแต่เปิดช่องให้“ขั้วตรงข้าม” นำไปต่อยอดโจมตีได้แล้ว ยังส่งผลต่อเป็น “ลูกระนาด” ทำให้ “แนวร่วม-ติ่งทหาร” เริ่มแปรเปลี่ยนไป

ทั้ง “สื่อที่เคยเชียร์ทหาร” ก็เริ่มส่งเสียงแปร่งๆ หรือความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจาก “นักศึกษา ม.รังสิต” ที่เด้งรับกระแสในโลกโซเชียล “เทใจให้เทพา” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ขยับในเรื่องการเมืองค่อนข้างน้อย

รวมทั้งยังมีการขยายประเด็นไปจับได้ไล่ทัน “รัฐบาลทหาร” อีกว่า เหตุที่ปฏิบัติต่อ “แกนนำม็อบถ่านหิน” อย่างรุนแรงเช่นนี้ ก็ด้วยมีความกดดัน-คาดหวังมาจาก “บริษัททุนพลังงานใหญ่” ที่ทุบโต๊ะเปรี้ยงมาว่า ให้รัฐบาลเดินหน้า “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ไม่ว่าจะที่ อ.เทพา หรือ จ.กระบี่ ให้เห็นผลโดยเร็ว

ด้วย “บริษัททุนพลังงานใหญ่” ไปลงทุนมโหฬาร กับกิจการ “เหมืองถ่านหิน” ไว้ที่ประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่มีตลาดปล่อยของในเร็ววัน อาจกระทบกำไรที่ทำได้ถึงระดับแสนๆ ล้าน ที่ต้องหดหายไป

แรงกดดดันที่ถาโถมมาจากหลายทิศทาง ทำเอา “ท่านผู้นำ” อยู่ในอาการ “ตาขวาง” มอง “ผู้เห็นต่าง” เป็น “ศัตรู” ไปเสียหมด หลงลืมบทบาท “ผู้นำรัฐบาล” กลับไปสวมบท “ผู้บัญชาการทหาร” ที่ปฏิบัติกับ “ลูกน้อง-ไพร่พล”

หรือเป็นนายพลที่ตะวาดใส่ไอ้เณรนั่นเอง

ต่อเนื่องมาถึงวีรกรรมของ “ท่านไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด นายทหารคู่บุญ “ลุงตู่” ที่เลือกเล่นประเด็น “ชกใต้เข็มขัด” ในกรณีการหายตัวไปของ “แบมุส” มุสตารซีดีน วาบา หนึ่งในแกนนำม็อนต้านถ่านหิน โยงกับชายคนหนึ่งใน อ.สะบ้าย้อย ที่เคยแจ้งว่าหายตัวแต่ไม่นานปรากฏตัวว่าไปเที่ยวกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา ที่ จ.สตูล เป็นคำพูดด้วยสีหน้า “ขบขัน” ใน“รายการที่เป็นทางการ” หรือรายการเดินหน้าประเทศไทย ที่ออกอากาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ที่มีวาระในการแถลงผลการประชุม ครม.

เป็นคำพูดที่มุ่ง “ดิสเครดิต” ด้วยเรื่องในมุ้ง ที่ไม่น่าจะออกมาจากปากคนที่มีตำแหน่งค้ำคอ ทั้งนายพลโท แห่งกองทัพไทย - ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก โฆษกประจำสนักนายกรัฐมนตรี และ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ หากจะ “ดิสเครดิต” แกนนำม็อบเช่นนี้ ควรเป็นหน้าที่ของ “หน่วยใต้ดิน” มากกว่า

เหมือนอย่างที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “คำพูด” มักสะท้อนทัศนคติบุคคลได้อย่างดี กรณีนี้ก็ชัดเจนว่า เมื่อคนพูดๆ เรื่องต่ำๆ บุคคลนั้นคิดสูงส่งแค่ไหน

จากกรณี “บิ๊กป้อม” พลั้งปากพูดไม่สมควรถึง “น้องเมย” ผู้เสียชีวิต มาถึง “บิ๊กตู่” ตะคอกใส่ชาวประมง แล้ว “บิ๊กไก่อู” ยังมาพูดจาเหน็บแนมแกนนำมวลชน แบบไม่ให้เกียรติกันเช่นนี้ ก็สะท้อนทัศนคติของบุคคลในรัฐบาล หรือเหล่าบิ๊กทหารได้เป็นอย่างดี

เป็นทัศนคติของบุคคลที่ต่างก็มีพื้นฐานความเป็นมาจากการหล่อหลอมให้ยึดมั่นถือมั่นใน “เกียรติยศ-ศักดิ์ศรี” ที่ค้ำคอ-ติดบ่าออกมา จนทำให้แสดงออกต่อประชาชนคนเดินดินธรรมดา อย่างที่เห็นหรือเปล่า

เพราะเป็นการแสดงออกในช่วงที่รู้อยู่เต็มอกว่า คะแนนนิยมตกต่ำมากที่สุดในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา บวกกับการจัดการปมปัญหาการตายของ “น้องเมย” ทำให้แย่ไปสุดกู่ พูดกันถึงขนาดว่า อากัปกิริยาที่ไม่ให้เกียรติกันเช่นนี้ “กดหัว” ยิ่งกว่าสมัย “ทาสในเรือนเบี้ย” เสียอีก

มันน่าเสียดายอยู่ก็ตรงที่เพิ่งมีการปรับทัพเสริมทีม “ครม.ประยุทธ์ 5” เสร็จหมาดๆ บวกกับเปิดหัวปีงบประมาณใหม่ที่ยังไม่พ้นไตรมาส ที่น่าจะเป็น “ฮันนีมูนพีเรียด” ในการยิงตรงส่งงบประมาณถึงมือประชาชนรากหญ้า โกยแต้มได้ไม่ยาก แต่ดันไปเสียเที่ยว จนโดนตัดคะแนนความประพฤติไปซะนี่

มาถึงวันนี้ ใครที่เคยวิเคราะห์ฟันธงไปหลายครั้งว่า ประตูที่ “ลุงตู่” จะกลับมาเป็น “นายกฯ คนนอก” เปิดอ้าซ่า แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้ง อาจจะต้องขอ “กลืนน้ำลาย” ไปคิดทบทวนให้ถ้วนถี่อีกรอบ ด้วยกระแสความชังในวันนี้ “สีเขียว” แซงโค้ง “สีกากี” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ยิ่งวีรกรรมของสีเขียวระดับหัวขบวนเขียวลายพรางอย่าง “ลุงตู่ - ลุงป้อม” ที่ทำเอาคนร้องยี้กันเป็นแถวเช่นนี้ ถ้ายังไม่สำเหนียกตัวเอง แก้ไขโดยเร็ว มุมที่จะย่างก้าวสู่หายนะ ไปจนถึงจุดจบแบบไม่ค่อยจะสวยทั้งหมู่คณะ ก็ใช่ว่าจะไม่มี

แต่ก็ยังดีที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตัวบทกฎหมาย หมากกลที่วางไว้อยู่ ตรงนี้อาจจะส่งให้ “รัฐบาล คสช.” ไปต่อได้หลังการเลือกตั้งผ่าน “พรรคทหาร” ที่เซตอัพไว้แล้ว

ทว่า มาทรงนี้ “นายกฯ คนนอก” หลังเลือกตั้ง อาจไม่ใช่ “ลุงตู่” ที่เคยนอนมา ก็เป็นได้...ใครจะไปรู้


กำลังโหลดความคิดเห็น