xs
xsm
sm
md
lg

ม่ายสาวอเมริกัน จะเป็นสะใภ้หลวงที่อังกฤษ (ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนได้)

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>เจ้าชายแฮร์รี กับ เมแกน มาร์เคิล (คู่หมั้น) </b>
ปลายปีนี้เกิดข่าวรักหวานจ๋อยข้ามทวีประหว่างเจ้าชายหนุ่มรัชทายาทราชวงศ์อังกฤษลำดับที่ 5 กับหญิงอเมริกันสามัญชนที่ทำให้โลกตะลึง และหลายคนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 80 ปีที่แล้วที่มีลักษณะคล้ายๆ กันเกิดขึ้นระหว่างเจ้าชายองค์มกุฎราชกุมารอังกฤษที่ตกหลุมรักกับหญิงม่ายอเมริกันผู้ทรงเสน่ห์ ชนิดโงหัวไม่ขึ้น และได้สร้างประวัติศาสตร์อันแสนตกตะลึงให้แก่ราชบัลลังก์อังกฤษจนเป็นตำนานแห่งความรักของคนทั้งสอง

ครั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รี พระโอรสองค์สุดท้องของมกุฎราชกุมารเจ้าฟ้าชายแห่งเวลส์ ได้ทรงประกาศการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์นี้เอง หลังจากได้ทรงสวมแหวนหมั้นให้แก่ว่าที่เจ้าสาวของพระองค์เมื่อต้นเดือนนี้ และเพิ่งมาประกาศเป็นทางการโดยสำนักพระราชวังในช่วงปลายเดือน โดยสำนักข่าวในอังกฤษได้ตั้งตารอฟังข่าวนี้มาตลอดทั้งเดือน

พระคู่หมั้นของเจ้าชายแฮร์รีได้สร้างความประหลาดใจพอควรแก่คนอังกฤษเอง เพราะไม่เพียงเธอไม่มีเชื้อสายราชวงศ์อังกฤษหรือราชวงศ์อื่นๆ ในโลก หรือเป็นลูกหลานผู้ลากมากดีของอังกฤษ (อย่างเจ้าหญิงไดอานา พระมารดาของเจ้าชายแฮร์รีที่สืบมาจากตระกูลขุนนางอังกฤษถึง 400 ปี)

แต่เธอเป็นสามัญชนคนเดินดิน ที่สวมกางเกงยีนแทบตลอดเวลากับเสื้อเชิ้ตธรรมดา พร้อมรองเท้าส้นเตี้ยคู่กายตามตรอกซอกซอยต่างๆ ของสหรัฐฯ และแคนาดา

เธอไม่ใช่สาวโสดดังเช่นคู่ควงคนก่อนๆ ของเจ้าชายแฮร์รี (ท่านเคยออกเดทกับน้องสาวโสดของดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าชายแฮร์รี รวมทั้งกับดาราสาวโสดสวยๆ อีกหลายคน) แต่เธอได้แต่งงานมาแล้วกับอดีตผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อยู่กินกันมา 3 ปี (2011-13) และได้หย่าร้างกัน ก่อนหน้ามาเจอกับเจ้าชายแฮร์รี

ที่นับว่าน่าทึ่งเอาการสำหรับรัชทายาทอังกฤษ (แม้จะลำดับที่ 5 และกำลังจะเป็นลำดับที่ 6 หลังจากดัชเชสแห่งเคมบริดจ์มีพระประสูติกาลในปีหน้า) ก็คือ เธอเป็นลูกครึ่งผิวขาว-ดำ (Bi-Racial) โดยพ่อเป็นคนผิวขาว และแม่เป็นสุภาพสตรีแอฟริกัน-อเมริกัน

แต่ถ้านึกย้อนไปดูเจ้าหญิงไดอานา หลังจากทรงหย่าร้างกับเจ้าชายแห่งเวลส์แล้ว เธอก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับนายโดดี อัล ฟาเยด (ลูกเจ้าของกิจการแฮร์รอดส์) ชนิดเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีการสมรสกันในเวลาต่อมา โดยนายโดดีเป็นมุสลิม และทั้งคู่ก็เสียชีวิตพร้อมๆ กันกับอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 21 ปีมาแล้ว

เธอผู้นี้คือ ดาราสาวเมแกน มาร์เคิล เป็นชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ที่เมืองโตรอนโตของแคนาดาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เพื่อถ่ายทำทีวีซีรีส์ที่กำลังโด่งดังในเรื่องคดีความชื่อ “Suites” โดยเธอเป็นตัวนำ ในเรื่องก็เป็นนักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของนิวยอร์ก และฝึกงานด้านคดีความอยู่ ซึ่งทีวีซีรีส์นี้เจ้าชายแฮร์รีได้ติดตามชมมา 2 ปีก่อนพบตัวจริงของเธอ และท่านเคยพูดว่า ชอบนางเอกเรื่องนี้มากๆ และเป็นที่มาของความรักของคนทั้งสอง

เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ขี้อายที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และต่อปัญหาทางสังคมต่างๆ โดยเฉพาะคือบทบาทของหญิงที่ยังไม่เท่าเทียมกับชาย เธอได้ร่วมรณรงค์ให้บทบาทผู้หญิงพัฒนาและเป็นที่ยอมรับของสังคมให้เท่าเทียมชาย ขนาดยูเอ็นยังมอบให้เธอเป็นทูตด้านสตรี และเธอจะแนะนำตัวเธอว่า เธอเป็นผู้หญิงและเธอเป็น Feminist คือนักต่อสู้เพื่อให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับชาย

ส่วนหนึ่งเพราะคุณแม่ของเธอซึ่งเป็นผิวดำ แต่มีหน้าที่การงานที่ช่วยสังคม เธอเป็นนักบำบัดจิตเวช (Clinical therapists) และหลังๆ นี้ก็เป็นครูฝึกโยคะ พร้อมร่วมทำงานกับกลุ่มจิตอาสางานสังคมหลายแห่ง ส่วนคุณพ่อก็เป็นผู้อำนวยการระบบแสงสีของกองถ่ายภาพยนตร์ที่ฮอลลีวูด ครอบครัวของเธอมีฐานะที่ดีมาก อาศัยอยู่ในถิ่นมั่งคั่งที่สุดของกลุ่มคนผิวสีของแอลเอ ที่มีบ้านค่อนข้างใหญ่และมีสนามหญ้ากว้างขวาง แทบทุกบ้านจะเลี้ยงสุนัขสกุลดีๆ แล้วนำสุนัขมาเดินสนามกันทั้งนั้น ถิ่นพักอาศัยนี้ นักร้องผิวดำดังๆ เช่น เรย์ ชาร์ลส ก็เคยอยู่แถบนี้

เมแกนไป ร.ร.เอกชนคาทอลิกตั้งแต่เล็กๆ เพราะเธอเป็นคาทอลิกด้วย และสำหรับ ร.ร.ประถม มัธยมก็เป็น ร.ร.ที่ครั้งหนึ่งดาราดังแบบลิฟ ไทเลอร์ จูดี การ์แลนด์ ก็เคยเป็นนักเรียนที่นั่น

ช่วงมหาวิทยาลัย เมแกนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อดีเด่น นอร์ทเวสเทิร์นที่ชานเมืองชิคาโก เธอเรียนการละคร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เมแกนอายุ 36 ปีแล้ว ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีมีพระชนมายุ 33 พรรษา

นับว่าเจ้าชายแฮร์รีทรงเลือกว่าที่เจ้าสาวที่ไม่ใช่แบบอนุรักษนิยมแบบที่เจ้าชายแห่งราชวงศ์อังกฤษจะกระทำ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ, ธรรมเนียมวัฒนธรรมต่างๆ ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว, อายุอานามก็ไม่ใช่ผู้หญิงจะอ่อนกว่า และการเป็นสะใภ้หลวงที่มีเลือดของคนผิวสี (ที่ครั้งหนึ่งคนผิวดำเป็นชนชั้นทาสของอังกฤษ และยุโรป รวมทั้งสหรัฐฯ) ก็เป็นการแหวกประเพณียิ่ง

หรือเจ้าชายแฮร์รีจะทรงคล้ายกับพระมารดา-เจ้าหญิงไดอานา-ที่ทรงแหวกประเพณีหลายด้าน ทั้งในการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสทั้ง 2 ให้เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นใกล้ชิด (ต่างกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ที่มีแนนนีคอยดูแลมากกว่าใกล้ชิดกับพระราชมารดาที่ทรงเป็นองค์กษัตริย์ของราชอาณาจักร) รวมทั้งทรงตั้งใจให้โอรสทั้ง 2 ได้ลิ้มรสชาติของสามัญชน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ของชาวบ้าน

เจ้าหญิงไดอานา ยังหาญกล้าเอาพระหัตถ์ไปสัมผัสให้ความอบอุ่นปลอบโยนผู้ป่วยโรคเอดส์ ทำเอาทั้งโลกตะลึงแล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าโรคเอดส์ไม่ได้ติดต่อกันจากการสัมผัสธรรมดา

นอกจากนั้น ทูลกระหม่อมชวด (ใหญ่) ที่เป็นพระบรมเชษฐาของทูลกระหม่อมชวดของเจ้าชายแฮร์รีคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (พระบรมเชษฐาของพระเจ้าจอร์จที่ 6) ก็ทรงสละราชสมบัติหลังจากครองราชย์ได้ไม่ถึง 1 ปีเต็ม เพราะทรงหลงรักกับหญิงม่ายอเมริกันนางวอลลิส ซิมป์สัน ซึ่งได้หย่าร้างกับสามีคนแรก (มหาเศรษฐีนิวยอร์ก) ขณะที่ตกหลุมรักกับว่าที่กษัตริย์อังกฤษเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ต่อมาเธอได้หย่ากับสามีคนที่สอง เพื่อมาเป็นคู่รักของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด

กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงปรารถนาสถาปนานางวอลลิส ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี แต่ทางสภาอังกฤษทั้ง 2 สภาไม่เห็นชอบ เพราะเธอไม่เหมาะสมเนื่องจากเป็นหญิงม่าย 2 สามีแม้กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดจะต่อรองกับนายกฯ ว่า จะให้เป็นแค่พระชายา-ไม่ใช่ควีน (แบบนางคามิลลา ชายาเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์)-ก็ไม่เป็นผล ที่สุดทรงประกาศสละราชย์โดยมีบันทึกว่าด้วยความรักที่มีต่อสตรีอเมริกันนางนี้
<b>วอลลิส ซิมป์สัน และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 8</b>
กำลังโหลดความคิดเห็น