ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โศกนาฏกรรมระหว่างการฝึกทหารยังคงไม่มีจุดสิ้นสุด การตายไม่สมเหตุสมผลยังคงถูกทิ้งเป็นปริศนานำมาซึ่งความเคลือบแคลง เช่นเดียวกับ กรณีการเสียชีวิตของ “น้องเมย - นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก เพียง 1 วัน
น้องเมยเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 17 ต.ค. 2560 โดยญาติไม่ได้รับคำชี้แจงโดยรายละเอียดจากผู้เกี่ยวข้อง เพียงแต่รับใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
เหตุการณ์ครั้งนี้อาจจบลง เมื่อร่างไร้วิญญาณหลงเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทว่า การเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำเด็กหนุ่มนักเรียนเตรียมทหารของ “ครอบครัวตัญกาญจน์” ยังดำเนินต่อไปด้วยความคลางแคลงใจ โดยทางผู้เป็นพ่อ นายพิเชษฐ นางสุกัลยาผู้เป็นแม่ และพี่สาวคือ น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ จึงตัดสินใจแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยการทำพิธีฌาปนกิจศพหลอก เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยซ่อนร่างของน้องเมย ไว้ด้านหลังเมรุเพื่อนำไปชันสูตรถึงสาเหตุการเสียที่ชีวิตที่แท้จริง กระทั่งพบว่า “สมอง หัวใจ อวัยวะภายในหายไป”
สาเหตุการเสียชีวิตภายในโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก ของ “น้องเมย - นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” ทางครอบครัวยังติดใจอยู่หลายประเด็น อาทิ การกล่าวอ้างว่าภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว การผ่าพิสูจน์ศพที่ได้นำอวัยวะภายในออกไปโดยไม่แจ้งญาติ การถูกทำโทษการซ่อมอย่างรุนแรงจนหยุดหายใจชั่วขณะ
และการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารผู้ทรงเกียรติผู้นี้ ทำให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดชื่อดังในอดีตนำแสดงโดย “ทอม ครุยส์” เรื่อง A Few Good Men (ชื่อไทย : เทพบุตรเกียรติยศ) เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรม “พลทหาร” และการสืบสวนหาความจริงว่า “ใครออกคำสั่ง” กระทำไปเพื่ออะไรและทำอย่างไรถึงไร้ร่องรอย รวมถึงชั้นเชิงและการเฉไฉของคนมีอำนาจในการกองทัพ อันสะท้อนสัจธรรมแวดวงทหารที่ว่า “ทหารชั้นผู้น้อย” มักตกเป็นเบี้ยล่างอย่างไร้ทางสู้
-1-
กรณีการเสียชีวิตของ “น้องเมย - นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเพียง 1 วัน ไร้คำอธิบายอย่างละเอียดจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพียงระบุในใบมรณะบัตรว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ทางครอบครัวได้ตัดสินใจร้องต่อสื่อมวลชน และค้นหาความจริงสาเหตุการเสียชีวิต กระทั่งขยายปมปัญหา “ระบบอันล้มเหลวในโรงเรียนการศึกษาวิชาทหาร”
แดนสนธยาหลังรั้วโรงเรียนที่บุคคลภายนอกมิอาจล่วงรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น โดยเฉพาะประเด็น “โดนแดก” “ถูกซ่อม” หรือที่ทหารเรียกว่า “ธำรงวินัย” ธรรมเนียมการทำโทษฝึกวินัยทางทหารด้วยท่าทรมานร่างกาย ที่มักกระทำเกินกว่าเหตุรุนแรงถึงขั้นอาจหมดสติและอันตรายถึงชีวิต
เบื้องหลังปมการเสียชีวิตของน้องเมย ค่อยๆ เปิดเผยต่อสาธารณะ น.ส.สุพิชชา พี่สาวของนักเรียนเตรียมทหารผู้เสียชีวิต เปิดเผยถึงการนำร่างของน้องเมยไปชันสูตรโดยปกปิดเป็นความลับ เพื่อต้องการความชัดเจนถึงสาเหตุการณ์เสียชีวิตอีกครั้ง กระทั่งพบว่าอวัยวะภายในของน้องชายหายไป และพบว่าร่างของน้องเมยมีบาดแผลบอบช้ำทั่วร่างกาย กระดูกซี่โครงหัก 4 ซี่ ทั้งการหายไปของอวัยวะภายในซึ่งตามระเบียบต้องคืนมาพร้อมกับศพ หากจะนำเก็บไว้ต้องมีจดหมายอย่างเป็นทางการมายื่นให้กับครอบครัว
“ขณะยืนดูการพิสูจน์ศพของน้องชาย พอเขาเปิดช่วงกะโหลกเราก็ดูว่าทำไมสมองของน้องเราเละขนาดนั้น หรือเขาทำอะไรมา เปล่าเลย พอเปิดออกมากลายเป็นว่าในกะโหลกมีแต่กระดาษซับเลือดเอาไว้ คุณหมอก็บอกว่าใจเย็น อย่าเพิ่งตกใจไป เดี๋ยวเราลองเปิดช่องท้องดูก่อน เพราะว่าทางการแพทย์พอผ่าออกมาแล้วจะชอบเก็บไว้ในช่องท้อง แต่พอเปิดช่องท้องแล้วก็ไม่เจอ เราพบว่าสมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ หายไป ทาง ผอ.การแพทย์แจ้งกับครอบครัวเพียงว่า สถาบันที่ผมนำร่างน้องไปผ่า จะขออนุญาตตัดชิ้นเนื้อบางส่วนเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต แต่ไม่ได้แจ้งว่าเขาจะเอาไปทั้งชิ้นแบบนี้” น.ส.สุพิชชา บอกเล่าความรู้สึก
ประเด็นแรก เหตุใดจึงนำอวัยวะภายในออกไปโดยไม่แจ้งครอบครัวให้ทราบก่อน หากการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารโปร่งใส เหตุใดจึงอวัยวะภายในจึงหายไปอย่างไรคำอธิบาย “เราไม่ได้ปรักปรำว่ามีคนขโมยเอาไป แต่แค่สงสัยว่าทำไมถึงไม่แจ้งเรา” นั่นเป็นสิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่ครอบครัวตัญกาญจน์
ในการนี้ต้องการปกปิดอำพรางหรือไม่อย่างไร เพราะข้อเท็จประการหนึ่ง น้องเมย เคยถูกลงโทษทางวินัยในท่าที่อันตรายเป็นเวลานาน จนหมดสติไปแล้ว 1 ครั้ง เนื่องจากถูกรุ่นพี่สั่งซ่อม โดยมีนักเรียนในฐานะผู้บังคับบัญชา ได้มีการธำรงวินัยน้องชายจนเกินกว่าเหตุ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2560 ทำให้หมดสติ ชีพจรต่ำเกือบจะเสียชีวิต แต่ครั้งนั้นปั๊มหัวใจทำให้ฟื้นขึ้นมาได้
ส่วนสาเหตุโดนซ่อมมาจากน้องเมยและเพื่อนอีกคนหนึ่ง เดินไปในเส้นทางที่นักเรียนรุ่นพี่ห้ามใช้เดิน ซึ่งเป็นการห้ามกันเองไม่เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาแต่อย่างใด กระทั่ง ในช่วงกลางคืนได้มีการธำรงวินัยน้องเมยอีกในห้องซาวน่า โดยใช้วิธีหักปักลงพื้นและให้ใช้เท้าขึ้นลงนานนับชั่วโมงจนกระทั่งหมดสติ
ปัจจัยดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นว่า มีใครต้องการปกปิดการตายที่แท้จริงในครั้งนี้หรือไม่ เนื่องจากไม่มีการแจ้งญาติให้ทราบถึงเรื่องการผ่าชิ้นส่วนอวัยวะภายในออกไป กระทั่ง ครอบครัวผู้เสียชีวิตค้นพบความจริงด้วยตัวเองหลังส่งร่างไร้วิญญาณของน้องเมยชันสูตรด้วยตนเอง
“ต้องการทราบถึงสาเหตุการตายและไม่ต้องการให้นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นหลังๆ ต่อจากน้องเมย ต้องเสียชีวิตจากการธำรงวินัยเช่นน้องเมย”ครอบครัวตัญกาญจน์ กล่าว
-2-
ความล้มเหลวเชิงระบบปัญหาที่ซ่อนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหารไม่เคยได้รับการแก้ไข และการตายของเหล่านักเรียนเตรียมทหารรุ่นแล้วรุ่นเล่ายังคงไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง อ้างอิงจากเฟซบุ๊กจากครูโรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ซึ่งน้องเมยเคยมุ่งมั่นศึกษาเป็นระยะเวลา 2 ปีเศษ เพื่อสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา ความว่า
“ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงเรียนกวดวิชา รวม 2 ปีเศษ ครูทุกคนทราบดีว่า น้องเมย มีความตั้งใจแน่วแน่อย่างยิ่งที่จะสอบเป็นนักเรียนเตรียมทหารให้ได้ และมีอุดมการณ์ในการที่จะทำงานรับใช้ประเทศชาติมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป ยืนยันได้ว่า เมยไม่ได้เคยถูกบังคับจาก พ่อ แม่ หรือครอบครัว ให้เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารแต่อย่างใด
“ส่วนการเสียชีวิตของ นรต.ภคพงศ์ สาเหตุก็เพราะระบบงานในโรงเรียนเตรียมทหารล้มเหลว ขาดการเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชา ปล่อยปะละเลยให้นักเรียนรุ่นพี่ปกครองรุ่นน้อง ซึ่งมีวุฒิภาวะเทียบเท่า นักเรียนชั้น ม.5 และ ม.6 ปกครองกันเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ในส่วนของการสั่งโทษ ที่เรียกว่า การแดก กันจนเกินสมควร จนมีการบาดเจ็บ และสืบเนื่องมาจนถึงการที่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งพบว่ามีนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตทุกปี ในระยะ 3-4 ปีมานี้
"สงสัยว่านักเรียนที่เข้าไปเรียนโดยมีความตั้งใจที่จะจบมา เพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติและแทนคุณแผ่นดิน กลายเป็นว่าเข้าไปเพื่อรับใช้ความบ้าคลั่งในใจของรุ่นพี่บางคน จนทำให้หมดโอกาสที่จะทำตามความตั้งใจที่ตั้งไว้แต่แรก หรืออาจจะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นนักเรียนทหาร เป็นนักรบ ต้องฝึกหนัก ข้อนี้ผมเห็นด้วย แต่พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า น้องๆ ที่เข้าไปนั้น เป็นเพียงนักเรียนที่มีอายุเพียง 16-18 ปีเท่านั้น สมควรแล้วหรือไม่ที่จะทำการฝึกหรือลงโทษกันจนต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิต"
ครูโรงเรียนกวดวิชาดังกล่าว ระบุถึงการออกมาโพสต์ในครั้งนี้ว่า เพื่อให้อนาคตลูกหลานที่กำลังจะเข้าไปเรียนในโรงเรียนเตรียมทหาร หรือครอบครัวไม่เจอกับเหตุการณ์อันไม่ควรเกิดขึ้นนี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ได้ลงมาดูแลนักเรียนที่เข้าไปเรียนในโรงเรียนบ้างว่ามีความเป็นอยู่กันอย่างไร โดยไม่ใช้คำว่า “สมัยก่อน เจอมาหนักกว่านี้” ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบอย่างมาก ถ้า นตท.ภัคพงศ์ ไม่ถูกทำโทษจนเกินสมควร เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
สอดคล้องกับหลักฐาน บันทึกส่วนตัวด้วยลายมือของน้องเมย ที่เผยข้อความเสทือนใจต่อการถูกซ่อมอย่างบ้าคลั่ง ที่มีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขณะน้องเมยยังมีชีวิตอยู่ซึ่งเขียนถึงชีวิตประจำวัน และความรู้สึกของการใช้ชีวิตภายในรั้วโรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 60 ตัดทอนสาระสำคัญ ความว่า
“โรงเรียนเตรียมทหารต้องปลูกฝังวัฒนธรรมแบบทหารที่ต้องมีวินัย ซึ่งย่อมไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย แต่ในวันที่ 26 พ.ค. 60 น้องเมยได้เขียนว่า “เช้ามาก็โดนต่อยท้องไปหมัดนึงจุกโคตรเลย แถมตกกลางคืนมามีลงนรกอีก เหนื่อยมาก”
“ในท้ายไดอารี น้องเมยเขียนย้อนไปถึงความภาคภูมิใจที่ผ่านการทดสอบพละรอบ “สถานีดึงข้อ” ได้คะแนนเต็ม ท่อนสุดท้ายเขาเขียนถึงกำลังใจจากครอบครัว ใจความว่า
“ผมบอกพ่อไว้ว่าวันสอบพละจะถึง 20 ครั้งให้ดู และแล้วก็ถึงคิวผม (ก่อนหน้าคิวผมคือใจผมสั่นแรงมาก) ผมก็ขึ้นราวดึงข้อ พอกรรมการให้สัญญาณว่าปล่อยตัวลงดิ่ง ผมก็ปล่อย พอกรรมการบอกเชิญดึง ผมดึงแบบไม่สนใจกรรมการเลย เพราะเราดึงถูกท่า ผมทำตามที่พ่อสอน 14 ทีแรกดึงรวดเดียว พอทีที่ 15 ขึ้นไปผมเริ่มแรงจะหมด เข้าทีที่ 18 แรงกลับมาได้ทีที่ 19 แม่ตะโกนมา “เมยได้อีก” เท่านั้นแหละได้ทีที่ 20 เลย”
“ที่อ้างว่า ร่างกายของน้องไม่แข็งแรง ก็ดูเอาที่น้องเขียนแล้วกันว่าหัวใจแกร่งแค่ไหน เมื่อไปดูประวัติการรักษาที่ครอบครัวเอาให้ผมดู มีแต่ปวดหัวตัวร้อน ไม่มีอะไรที่บ่งบอกอาการ ยกเว้นหลังวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ที่ไปโดนเรื่อง “ธำรงวินัย” (ถูกซ่อม หรือ โดนแดก)
“ท้ายสุด ครอบครัวของน้องเมยทิ้งคำถามไว้ให้โรงเรียนเตรียมทหารอันเก่าแก่ ซึ่งผลิตบุคลากรไปทำหน้าที่รับใช้ชาติมายาวนานว่า “ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของน้องเมยคืออะไร?”
“แล้วหากครอบครัวตัดสินใจเผาร่างของน้องเมยไป แต่ไม่ได้ “สมอง” และ “หัวใจ” ที่ทำให้เขาได้เข้าโรงเรียนเตรียมทหารคืนมา ครอบครัวจะรู้สึกอย่างไร? ช่างยากเกินคำบรรยายจริงๆ”
นอกจากนี้ หลักฐานอันแสดงให้เห็นการลุอำนาจของรุ่นพี่ ยังปรากฎผ่านแชตระบายความในใจเมื่อครั้งถูกซ่อมจนหยุดหายใจ ต้อง CPR จึงฟื้นคืนมา ซึ่งน้องเมยได้เผยกับเพื่อนแต่ได้กำชับว่าอย่าบอกใคร เนื่องจากไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต
แต่ที่น่าขัน เมื่อเหล่าท็อปบูตตบเท้าแถลงข่าวเฉไฉ หลังการเสียชีวิตของ “น้องเมย - นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” กลายเป็น “วาระร้อนในสังคม” แจงยิบอ้าง สาเหตุการเสียชีวิตสืบเนื่องจาก “ประเด็นปัญหาสุขภาพส่วนตัว” ของนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งย้อนแย้งกับประวัติสุขภาพและคำยืนยันทางจากทางครอบครัว ที่ชี้ชัดว่า “สมบูรณ์แข็งแรงดี” พร้อมนั่งยันนอนยันไม่มีเหตุ“โดนซ่อมจนตาย” ในโรงเรียนเตรียมทหารอย่างแน่นอน
-3-
“เงื่อนงำ” การตายของ “น้องเมย” นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ยิ่งอลวนอลเวงเมื่อ “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความคิดเห็นต่อปมเสียชีวิตที่ญาติเคลือบแคลงสงสัยว่าตนเองก็เคยโดนซ่อมแต่ไม่ตาย พร้อมทั้งพยายามชี้นำว่า สาเหตุการตายมาจาก “ความอ่อนแอ” ของผู้ตายเอง เพื่อเบี่ยงเบนข้อสงสัยว่า “นตท.เมย” ถูก “ทำร้ายร่างกาย” ในระหว่างที่อยู่ในโรงเรียนฯ ผ่านรหัสที่เรียกขานกันในวงการ ว่า “โดนซ่อม-โดนแดก-ธำรงวินัย” นั่นเอง
ทั้งยังโชว์วิสัยทัศน์ “พี่ใหญ่แห่งกองทัพไทย” ด้วยว่า “คนที่จะมาเป็นนักเรียนทหาร ต้องพร้อมสำหรับการสูญเสีย” และทำราวกับการตายของลูกหลานคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วคุ้งทั่วแคว
“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ไม่มีการซ้อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย และเชื่อว่าทางโรงเรียนไม่ได้ปิดบังข้อมูล แม้ว่าบริเวณที่เด็กล้มลงจะไม่มีภาพวงจรปิดก็ตาม เพราะหากเสียชีวิต ใครจะมาปิดบังสาเหตุก็ไม่ได้”
“...ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สกอตจั๊มป์ ไม่ต้องถูกตัวกัน และการซ่อมไม่ได้มากมายอะไร ขณะเดียวกันประเด็นที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีสโตรก ซึ่งการเป็นโรคนี้เกิดจากการฝึก หรือแม้แต่ยืนตากแดดเฉยๆ ก็เป็นเพราะอากาศร้อน ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวฉับพลัน พร้อมทั้งยืนยันว่าการซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า หากการซ่อมเกินกำลังคนจะรับได้จะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า
“ผมก็เคยโดนซ่อมจนเกินกำลังจะรับได้ จนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย! เรื่องเหล่านี้ก่อนจะรับเด็กเข้ามาต้องตรวจเช็กร่างกายเป็นอย่างดี แต่เข้ามาแล้วเป็นโรคฮีทสโตรกก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ที่ผ่านมาสัดส่วนนักเรียนเสียชีวิตจากโรคนี้จะน้อย แม้ว่าจะโดนซ่อม แต่ร่างกายแข็งแรง”
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปอีกว่า จะแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก พล.อ.ประวิตร สวนทันควันอย่างมีอารมณ์
“ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ” พล.อ.ประวิตร ประกาศกร้าว
งานนี้บรรดาเจ้าภาพชี้แจงในลักษณะคาดคะเน ทั้งที่ยังไม่มีผลชันสูตรออกมาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะการกล่าวอ้างประเด็นปัญหาสุขภาพส่วนตัวของนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งไม่สมเหตุสมผลขัดต่อพยายานหลักฐานที่หลุดออกมา เช่นเดียวกับ พลเอก ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ออกมาเปิดเผยว่า น้องเมยน่าจะมีโรคประจำตัวแต่ไม่ได้ขัดกับการเข้ามาเป็นทหาร
สอดคล้องกับ พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร แจงว่าการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารว่าไม่ได้ถูกซ่อมหรือถูกทำโทษแต่อย่างใด ชี้ภาพลำดับเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560ก่อนน้องเมยจะเสียชีวิต มีอาการเป็นลม ล้มลง หัวใจเต้นอ่อน หมดสติ จนถูกนำตัวส่งที่กองแพทย์ฯ และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ซึ่งน่าจะเกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่ที่น่าสงสัย คือ ภาพจากกล้องวงจนปิดไม่สามารถจับภาพขณะน้องเมยล้มลง
ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า ประเด็นเรื่องถูกซ่อมจนหยุดหายใจไปช่วงหนึ่ง เมื่อช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่
“การซ่อมหรือที่เรียกว่าการดำรงทางวินัยมีอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหารอยู่แล้ว น้องเมยก็เข้ากิจกรรมเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ส่วนขอบเขตของการซ่อมนั้น ตามระเบียบของโรงเรียนมีข้อปฏิบัติชัดเจน หากใครทำผิดจากกฎระเบียบก็จะต้องสอบ สวน ลงโทษตามกฎหมายที่มีอยู่ และในกรณีการซ่อมน้องเมยครั้งนั้น ได้ลงโทษทางวินัย ผู้เกี่ยวข้องไปเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้ติดใจเอาความ” พล.ต.กนกพงษ์ กล่าว
-4-
สำหรับประเด็นที่ทางครอบครัวตัญกาญจน์ สงสัยว่าการผ่าชันสูตรศพและนำอวัยวะออกมาเพื่อตรวจนั้นต้องมีการแจ้งกับทางญาติหรือไม่ ภายหลังได้รับคำอธิบายจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการยกเหตุว่าเป็นเรื่องความเข้าใจผิดเกิดจากสื่อสารที่คลาดเคลื่อนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและครอบครัวผู้เสียชีวิต
นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เผยว่ากรณีดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าผู้ตายเสียชีวิตอย่างไร กล่าวคือ การแพทย์มีการเสียชีวิตอยู่ 2 แบบ คือ 1. เสียชีวิตแบบธรรมชาติ คือ เกิดจากโรคภัย หมอทราบสาเหตุชัดเจน และ 2.การเสียชีวิตจากสาเหตุที่ไม่สอดคล้องกับการรักษา ทางแพทย์ก็จะมีการผ่าชันสูตรศพ ในการเสียชีวิตแบบธรรมชาติทางแพทย์สามารถนำศพไปชันสูตรได้ต้องขออนุญาตจากครอบครัวหรือญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตก่อน เพื่อให้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน
แต่การเสียชีวิตของน้องเมย เป็นการเสียชีวิตที่ยังหาสาเหตุไม่ชัดเจน ทางพนักงานสอบสวนจึงส่งร่างมาเพื่อผ่าพิสูจน์เป็นในส่วนของรูปคดี ทางการแพทย์จะทำการผ่าชันสูตรทันทีเพื่อความรวดเร็วของรูปคดีให้ชัดเจนถึงสาเหตุของการตายมากยิ่งขึ้น เท่ากับว่า การเสียชีวิตทางคดีทางแพทย์สามารถชันสูตรศพได้เลยโดยไม่ต้องบอกญาติ
โดยทาง พ.ท.รุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยรายละเอียดการชันสูตรศพนักเรียนเตรียมทหารว่าได้รับร่างมาคืนวันที่ 18 ต.ค. 2560 และลงมือชันสูตรตอนเช้า เบื้องต้นไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอกจึงผ่าเปิดภายใน พบว่ากระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำชายโครงข้างขวาและซ้าย โดยกระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ซึ่งรอยที่บริเวณชายโครง เกิดจากของแข็งไม่มีคมมากระแทก
ทั้งนี้ ไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องการเกิดรอยระหว่าง CPRช่วยชีวิต หรือประเด็นของแข็งอื่นกระแทกได้ จึงต้องมีการผ่าเพื่อส่องทางกล้องจุลทรรศน์โดยวิธีการจะต้องเก็บอวัยวะไว้ครึ่งหนึ่ง การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุจะอยู่ที่สมองและหัวใจ โดยสมองจะนิ่มมาก จึงต้องฟิกฟอร์มาลีน จึงได้เก็บสมองและหัวใจทั้งหมดไว้เพื่อทำสไลด์ ส่วนผลทางพิษวิทยา มี 3 ทาง จะต้องเก็บผลทางเลือด กระเพาะ กระเพาะปัสสาวะ ได้ผ่าเพื่อตรวจสารพิษ แต่ตอนตรวจพบว่ามีการหดเล็กมาก ไม่มีฉี่ในกระเพาะปัสสาวะ ได้เก็บคืนไป อาจจะสังเกตไม่เห็น ส่วนในกระเพาะไม่พบเศษอาหาร
“สรุปในส่วนของอวัยวะที่ได้เก็บไว้ทั้งหมด คือ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้ทำสไลด์ เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติงาน จึงได้ออกรายงานให้เจ้าพนักงาน เมื่อตรวจ รายงานมีแนวโน้มไปทางหัวใจ จึงลงรายงานว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทั้งนี้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้หลายสาเหตุ แต่มีการเก็บตัวอย่างพบว่ากายภาพของหัวใจปกติ จึงต้องตรวจระดับลึก จากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบเซลล์บางตัวที่ไม่ควรพบในคนอายุ 19 ปี แต่อาจพบได้เมื่อหัวใจมีพยาธิสภาพผิดปกติ ส่วนเรื่องการเต้นของหัวใจ สารไฟฟ้านำหัวใจทำให้หัวใจเต้นพริ้ว หัวใจเต้นผิดปกติ การผ่าชันสูตรไม่สามารถตอบคำถามในส่วนดังกล่าวได้ ต้องใช้วิธีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าระหว่างการมีชีวิต อย่างไรก็ตามเด็กที่แข็งแรง เมื่อล้มลงจำเป็นต้องหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร” พ.ท.รุฏฐ์ กล่าว
คำอธิบายของทหารย้อนแย้งกับสิ่งที่ นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่รู้สึกตกใจและแปลกใจต่อการที่แพทย์ออกมาระบุในทำนองว่าสามารถเอาอวัยวะภายในของน้องเมยออกไปได้ ทั้งที่ความจริงแล้วจะทำอะไรก็ควรต้องบอกกับญาติให้ทราบชัดเจนก่อน ที่สำคัญคือไม่ควรทำด้วยวาจาแต่ต้องทำเป็นเอกสารและให้เซ็นยินยอม และการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาตินั้นจะต้องมีการชันสูตร
ส่วนที่ทหารอ้างว่าเรื่องธำรงวินัยเป็นเรื่องปกติที่จะฝึกวินัยความอดทนของนักเรียนใหม่ เห็นว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านทรมานแล้วทั้งปี 2550 และปี 2552 ซึ่งประเทศก็มีภาระผูกพันที่ต้องทำตามอนุสัญญานี้ ฉะนั้น การธำรงวินัย เช่น การชกท้อง หรือบังคับให้ทำอะไรหนักๆ เกินกว่าร่างกายจะรับไหว มันก็เข้าข่ายเป็นการทรมานอยู่แล้วซึ่งก็ทำไม่ได้
“ก็เป็นคำถามที่ท้าทายทางทหารเหมือนกันว่า ต่อไปเรามีกฎหมายต่อต้านการทรมานแล้วเรายังบอกว่าธำรงวินัยเป็นวัฒนธรรมของโรงเรียนที่จะต้องรักษาไว้ให้ยังคงอยู่อีกหรือ เพราะถ้ากฎหมายทรมานสูญหายมีผลบังคับใช้ วิธีการที่เป็นการบังคับจิตใจหรือทำให้เกิดความทุกข์ทรมานร่างกาย จิตใจ ผิดกฎหมายหมดเลย เพราะถือว่าเป็นอาชญากรรม”
“การจะทำให้คนรู้รักษาวินัย มีวิธีการการอื่นๆ อีกมากมาย และประเพณีวัฒนธรรมอะไรที่ไมดี ไม่ถูกต้องก็ควรจะปรับปรุง ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน โดยหากรัฐบาลจะประกาศเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ก็ควรจะปฏิรูประบบนี้เสีย ไม่เช่นนั้นก็จะไปเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกกับลูกของประชาชนคนอื่นๆ ” นางอังคณาให้แง่คิด
อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2560 ครอบครัวตัญกาญจน์ ได้เดินทางมารับชิ้นส่วนอวัยวะของ “น้องเมย - นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” ณ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ได้แก่ หัวใจ สมอง กระเพาะอาหาร เพื่อนำไปให้สถาบันนิติวิทยาตรวจซ้ำชันสูตรรอบ 2 เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
วันนี้....ถึงเวลาแล้วที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องยอมรับและสะสางปัญหาที่ซุกใต้พรม และนำความสูญเสียนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์เป็นโอกาสสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาในโรงเรียนทหารเสียที เหมือนกับเนื้อท่อนหนึ่งของ “เพลงความฝันอันสูงสุด” ที่น้องเมยชื่นชอบความว่า “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด...”
เส้นทางเกียรติยศ “จักรดาว” นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์
“น้องเมย” หรือ “นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร ย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็ก เขาตั้งปณิธานอยากรับใช้ชาติในฐานะ “ชายชาติทหาร” มุ่งมั่นเพียรพยาม ฝึกฝนร่างกาย เตรียมความพร้อมจิตใจ เตรียมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร กระทั่ง ในที่สุดก็ฝ่าฝันอุปสรรคผ่านการคัดเลือกเป็น “นักเรียนเตรียมทหาร” ตามที่ตั้งใจ
“น้องเมย” เป็นลูกชายคนเล็กของ “ครอบครัวตัญกาญจน์” คุณพ่อพิเชษฐ - คุณแม่สุกัลยา ตัญกาญจน์ ครอบครัวนักแข่งรถ พี่สาว 1 คน คือ สุพิชชา ตัญกาญจน์ จบปริญญาตรีนิติศาสตร์
ในเรื่องสุขภาพของ น้องเมย ครอบครัวยืนยันว่าสุขภาพแข็งแรงดีอ้างอิงได้จากประวัติการตรวจสุขภาพและการรักษา ไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพใดๆ ตามคำกล่าวอ้างถึงสาเหตุการเสียชีวิตปริศนา มีการเตรียมความพร้อมเรียนพิเศษฝึกฝนร่างกายอยู่เสมอ กระทั่ง สอบวิชาพละได้คะแนน 944 เต็ม 1,000 คะแนน
และการจากไปอย่างไม่มีวันกลับในครั้งนี้ สร้างความเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่ “ครอบครัวตัญกาญจน์” โดยคุณพ่อพิเชษฐ กล่าวอาลัยแก่ลูกชายผู้จากไป ความว่า
“มันเกินคำบรรยาย เขาเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล ผมหวังมากว่าเขาจะเป็นคนดูแลครอบครัวในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากเรือล่ม เขาตกน้ำเสียชีวิตไป เหลือพวกผม 3คนลอยลำอยู่”