xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สมคิด” วิ่งสู้ฟัดอุ้ม “ครม.” Mission ที่แล้ว ปั้น GDP Mission นี้.... “หลังแอ่น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดรอบเดือน พ.ย.นี้ อันเป็นผลพวงมาจากการใช้มาตรา 44 ย้ายอธิบดีกรมการจัดหางาน ก่อนที่ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล จะลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

อันเสมือนการ “เปิดหลุม” ให้มีการรีโนเวทเสนาบดีฝ่ายบริหาร ปรับโหมดเข้าสู่ “ครม. ประยุทธ์ 5” อย่างเต็มตัว ท่ามกลางกระแส “ข่าวลือ-ข่าวปล่อย” ที่ออกมาไม่เว้นแต่ละวัน

หากแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้มีอำนาจเต็มในการปรับ ครม.ติดภารกิจประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ก็ทำให้กระแสสร่างซาไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่ “ท่านผู้นำ” กลับสู่มาตุภูมิ พร้อมกับรายงานข่าวว่ามีการนำรายชื่อ “ครม.ประยุทธ์ 5” เข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ เรื่องนี้ก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

สวนทางกับท่าทีของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น “นายกฯตู่” เอง หรือ “บิ๊กเนม” หลายคนในรัฐบาลที่เลือกจะเล่นบท “ตีกรรเชียง - ติ๊ดชึ่ง” เลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนราวกับนัดแนะกัน เดาไม่ยากว่า “บิ๊กรัฐบาล” ต้องการเฟดตัวเองออกจากกระแส ด้วยไม่ยากให้มีการโฟกัสมาที่การปรับ ครม.มากนัก หวังทำให้กระแสการทำโผ ครม.นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับการปรับ ครม.ไฟท์บังคับหนนี้ นอกเหนือจากการปิดหลุมในส่วนของ “กระทรวงจับกัง” แล้ว ยังถือว่าโจทย์สำคัญในการ “กระชากเรตติ้ง-กู้พลังศรัทธา” ให้กลับคืน หลังจากผ่านพ้นปีที่ 3 เข้าสู่ปีที่ 4 ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาพร้อมกับคะแนนความนิยมที่ “ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”

ดูได้จาก “สำนักวิจัยซูเปอร์โพล” ที่ครั้งหนึ่งเคยปล่อยผลสำรวจความนิยมเกือบเต็ม 100% ในการสนับสนุนให้ “รัฐบาลลุงตู่” อยู่ต่อไปยาวๆ กลับเปิดเผยผลความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ล่าสุดอยู่ที่ 52% ซึ่งตกจากไม่กี่เดือนก่อนซึ่งยังอยู่ที่เกือบ 80% อยู่เลย

จนมองกันว่าการปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” น่าจะเป็น “โอกาสสุดท้าย” ในการชี้วัดอนาคตของ “ลุงตู่และชาวคณะ” ที่ถูกจับได้ไล่ทันว่า คิดอ่านการไกลจะตั้ง “พรรคทหาร” เป็นฐานในการ “สืบทอดอำนาจ” หลังการเลือกตั้ง

ด้วยโจทย์ใหญ่ในการกระชากความนิยมให้กลับคืนมา หากทำไม่ได้ก็จบ ที่ตกผลึกออกมาว่า นอกเหนือจากการผลักดันนโยบายหลายๆ ด้าน รวมทั้งวาระสำคัญ “การปฏิรูปประเทศ” ที่ไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังมีบุคลากรประเภทที่กระเตงกันแบบจะอยู่ไปทั้งชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดเรตติ้งให้ตกฮวบลงมาอีก

ชี้เป้าไปไม่พ้นเหล่า “ซุป’ตาร์ คสช.” ไล่ตั้งแต่พี่ใหญ่ คสช. “ป๋าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาจนถึงพี่รอง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทั่งตำบลกระสุนตกรายล่าสุด “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

เป็น 3 เป้าใหญ่ที่ที่ติด “ท๊อปทรี” ในรายชื่อรัฐมนตรีที่ควรปรับออกจากตำแหน่งแทบทุกสำนัก

หากแต่กระแสเรียกร้องก็ดูจะไม่ทำให้ “นายกฯ ตู่” ซึ่งยืนยันหลายหนว่า จัดทำโผ ครม.ด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียวหวั่นไหว ยังคงยึดติดสายสัมพันธ์ “เพื่อนพ้องน้องพี่” อันทำให้ “3 ซุป’ตาร์ คสช.” ตลอดจน “รมต.ขุนทหาร” หลายหน่อยังจะได้เชิดหน้าอยู่ใน “ครม.ประยุทธ์ 5”

แต่ก็อาจจะปรับลดบทบาทความสำคัญของแต่ละคนลงไปบ้างตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้โดดเด่นเป็น “เป้ากระสุน” อย่างที่ผ่านมา

โดยเฉพาะรายของ “บิ๊กป้อม” ที่เคยมีข่าวถึงขั้นหลุดจาก ครม.มาหลายหน งวดนี้ก็มีแนวคิดในการลดภารกิจความเป็น “รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง” ลงไปพอสมควร และมอบหมายให้ดูแลหน่วยงานสำคัญบางแห่ง ด้วยเหตุผล “วิน-วิน” ว่า “ป๋าป้อม” จะได้มีเวลาในการปั้นฝัน “พรรคทหาร” ได้มากขึ้น

แต่พอมีความเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด อาจเป็นเรื่องยากที่ “ป๋าป้อม” จะทำใจยอมรับได้พอเจอกระเซ้าเข้ามากๆ ถึงขนาดหล่นวาจา “ไอ้ห่า....” ออกมาเต็มหูเหล่า “นกกระจอก” สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ก่อนหลบเข้าหลังฉากไป อ้างว่าเข้ารักษาอาการป่วย

แม้จะจำใจต้องผละจากบทบาทในฝ่ายบริหารไปชั่วคราว แต่ “หมากเกม” ต่างๆ ก็ยังต้องเดินต่อ ไม่ว่าจะการปูทางสืบต่ออำนาจ ที่ว่ากันว่า “บิ๊กป้อม” จะเป็นคีย์แมนสำคัญของ “พรรคทหาร” หรือการทอดบันไดลงหลังเสือของ คสช.ให้ปลอดภัยจากภยันตรายในอนาคต เมื่อไม่มีอภินิหารกฎหมายที่ชื่อ “มาตรา 44” แล้ว ก็เป็น “วาระสำคัญ” ที่ “ป๋าป้อม” รับไปดูแล

กับภารกิจชำแหละร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ท้าทายทุกเสียงวิจารณ์ด้วยการส่งน้องเลิฟร่วมสายเลือด “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สมาชิก สนช. และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้ามานั่งร่วมเป็นกรรมาธิการประกบด้วยตัวเอง

ด้วยภารกิจที่ใหญ่หลวงนัก จึงไม่สนว่าจะถูกติฉินนินทา ความเหมาะควร ที่ “บิ๊กป๊อด” เป็นผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย ด้วยยังมีชนักคดีอยู่ใน ป.ป.ช. เพื่อกำกับแผนการตาม “ธง” ที่ตั้งไว้ ทั้งการหักกับ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ของ “ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธาน กรธ. ในการแก้เนื้อหาให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ได้ดำรงตำแหน่งต่อไป หลังรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่จะส่งผลให้ 7 ใน 9 ต้องกระเด็นตกเก้าอี้แบบทันด่วน

ด้วยว่าต้องเซฟ “เด็กในบ้าน” อย่าง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ในคุม “อาณาจักรสนามบินน้ำ” ต่อไป เพื่อเป็นข้อต่อรองหากอำนาจหลุดมือไปในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสเตปต่อไปในการแก้เนื้อหากฎหมาย ไม่ให้ย้อนหลังมาเช็คบิลเอาผิด “บิ๊ก คสช.” ที่มีพฤติการณ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “รัฐบาลเลือกตั้ง” ได้ในทุกกรณี

นอกเหนือจากน้องเลิฟ “บิ๊กป๊อด” แล้ว กมธ.คนอื่นๆ ก็ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กกากี - บิ๊กสีเขียว” ได้มาตรฐานตีตรา “สายตรงวงษ์สุวรรณ” มาแล้วทั้งสิ้น ยังมี “อ.กล้า”- กล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เดินเกมข้อกฎหมายคู่กันกับ นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกด้วย

เพราะแม้ “อ.กล้า” จะเป็นกรรมการ ป.ป.ช.มาก่อน แต่อย่าลืมว่า เขาคือ “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน” ของ “ป๋าป้อม” นั่นเอง

ได้อย่าง เสียอย่าง บทบาทในทางบริหารของ “บิ๊กป้อม” อาจลดลง แต่หากยังแผ่อิทธิพลใน “เรือแป๊ะ” สั่งซ้ายหันขวาหันได้อยู่ ก็พอทำเนา และอาจจะได้ผลทางอ้อมเป็นเรตติ้งความนิยมที่กระเตื้องขึ้นมาด้วย

อย่างไรก็ตาม การกระชากเรตติ้งของ “รัฐบาล คสช.” คงไม่ง่ายดายเพียงแค่การลดบทบาท “ซุป’ตาร์ คสช.” ที่ว่าไปเท่านั้น เพราะการ “รักษาน้ำใจ” เก็บกันไว้ใน ครม. ก็ไม่อาจได้ใจสังคมที่เรียกร้องให้อัปเปหิปรับออกไปจาก ครม.ได้อย่างเต็มที่

อีกด้านหนึ่งจึงจำเป็นต้องปรับ ครม. โดยยึดหลักการเน้นผลงานที่เป็นรูปธรรม มากกว่าการพวกพ้อง-ตอบแทนบุญคุณ ผลงานที่ว่านั้นก็หาใช่แค่ “การปฏิรูปประเทศ” ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ยาก อีกทั้งคนไทยยังค่อนข้างสิ้นหวังไปแล้วกับคำสวยหรูคำนี้

ดังนั้นสิ่งที่ “รัฐบาล คสช.” ต้องคำนึงถึงคือเรื่องที่จับต้องได้ เพื่อปูฐานราก วางฐานเสียง เอาไว้ ก็ด้วยเรื่อง “เศรษฐกิจปากท้อง” มากกว่า

ปรับ ครม.หนนี้ หลายคนอาจถูกลดบทบาท แต่หาใช่ “เฮียกวงสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อย่างแน่นอน ด้วย “นายกฯตู่” รับรู้ว่าที่ผ่านมา การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจโดย “ทีมสมคิด” ที่ยังติดขัดหลายประการ ก็มาจากการที่ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ยังไม่สามารถกุมอำนาจในกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ด้วยข้อจำกัดที่ “ผู้นำรัฐบาล” รับรู้ได้ ก็น่าจะใช้จังหวะนี้ในการเสริมทัพ-เพิ่มอำนาจให้ “ทีมสมคิด” มากขึ้น เพื่อให้แนวนโยบายต่างสอดประสานเป็นแนวทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องการค้าการขาย ที่มีข่าวว่า “กระทรวงเกษตรฯ-กระทรวงพาณิชย์” เล่นกันคนละคีย์มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

หรือกระทรวงยุทธศาสตร์อย่าง “กระทรวงคมนาคม” เอง ก็ทำเอา “นายกฯตู่ - รองฯสมคิด” หงุดหงิดมาพักใหญ่ ด้วย "โปรเจ็กต์เรือธง" มูลค่าเป็นล้านล้านบาทยังคาราคาซัง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง อย่างรถไฟไทย-จีน สายอีสาน แค่เฟสแรก กทม.-โคราช 3.5 กิโลเมตร เสาเข็มยังไม่ได้ตอก ทั้งที่เป็นแอ็กชั่นแพลนของปี 59 ด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามว่าแค่ 3 เฟส 249 กิโลเมตร เอาเป็นว่าติดขัดทุกขั้นตอน พันธสัญญาต่างๆ อะไรไม่ได้เซ็นกันสักที ทั้งที่มี ม.44 เป็นใบเบิกทางให้แล้วแท้ๆ ขณะเดียวกัน “โปรเจ็กต์ EEC” อีกโครงการเรือธงของรัฐบาล คสช. ก็ต้องมีระบบรางเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งด้วย หากเข้าอิหรอบเดิม ก็ “เจ๊งกะบ้ง” ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม

ทว่า ท่ามกลางปัจจัยที่ไม่เป็นใจหลายประการ แต่ “เฮียกวง” ก็ยังโชว์ฝีมือไม้ลายมือกระชากตัวเลขทางเศรษฐกิจขึ้นมาหลายตัว ทั้งธนาคารโลก (World Bank) ที่จัดอันดับประเทศที่มี ความสะดวกในการทำธุรกิจ “Doing Business 2018” โดยจัด ให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 26 จากทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้น จากเมื่อปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 46 ถึง 20 อันดับ สอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็น “เอเปค ซีอีโอ เซอร์เวย์ 2017” ซึ่งสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) กว่า 1,400 รายใน 21 ประเทศ ที่ระบุว่า ไทยเป็นประเทศเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ รวมทั้ง “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม” (WEF) ที่ประกาศปรับอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย มาอยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นจากปีกกลาย 2 อันดับ

สะท้อนให้เห็นว่า “ความเชื่อมั่น” จากนักลงทุนต่างชาติกลับมาแล้ว

ขณะที่อัตราเจริญเติบโตเศรษฐกิจไทย (GDP) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่เมื่อไตรมาส 2 ปี 2560 เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 3.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 4 ปี หรือ 16 ไตรมาส นับตั้งแต่ปี 2556 ทำให้จีดีพีครึ่งปีแรกของปีนี้ ขยายตัว 3.5% ขณะเดียวกัน ตัวเลขส่งออกไทยก็ทำ “นิวไฮท์” ในรอบหลายปี สรุปแล้วแนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจระดับมหภาคขยายตัวตามกันไปด้วย

นอกเหนือจากผลงานที่กลายมาเป็นเสียงชื่นชมถึงหัวหน้าทีมอย่าง “เฮียกวง” แล้ว ก็ต้องแจกจ่ายเครดิตไปให้ “2 ขุนพลคู่ใจ” อย่าง สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ที่ขยับตำแหน่งเมื่อครั้งปรับ “ครม.ประยุทธ์ 4” ด้วย

ขาหนึ่ง “สุวิทย์” รับหน้าดูแลคณะสานพลังประชารัฐในด้านต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ในขณะที่อีกขาหนึ่ง “อุตตม” ศิษย์ก้นกุฏิของ “เฮียกวง” ที่รับหน้าเสื่อการพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ที่เรียกกันว่า “New S-Curve” พร้อมกับการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะด้านเงินทุน เพื่อให้เป็นกำลังหลักในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยที่หัวทิ่มมาเนิ่นนาน ตลอดจนการจัดแจงปูทางการลงทุนใน EEC หรือพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก

จนล่าสุด “กัปตันสมคิด” ถึงกับกล้าประกาศว่า ปี 2561 จะเป็น “ปีทองแห่งการลงทุน” เลยทีเดียว ด้วย “มิชชั่นคอมพลีท” ไปหนึ่งเปราะกับการ “รีบูท” เศรษฐกิจของไทยในเวทีโลก

แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในเวทีโลกทำท่าจะไปได้ดี แต่ “เศรษฐกิจปากท้อง” ของคนในประเทศก็ยังดูด้อยอยู่พอสมควร หลักๆ ก็มาจากการไม่สอดประสานอันหนึ่งอันเดียวกับของ “ทีมเศรษฐกิจ” ตามที่ว่าไปแล้วข้างต้น

กล่าวคือ “ทีมเศรษฐกิจ” ยังไม่ใช่ “ทีมสมคิด” ทั้งหมดนั่นเอง ส่งผลให้รัฐบาลยังมีช่องโหว่ในเรื่อง “เศรษฐกิจรากหญ้า” ซึ่งจุดนี้ไม่เพียงเดิมพันความเป็นไปของ “รัฐบาลขุนทหาร” เท่านั้น ยังเดิมพันไปถึงอนาคตของ “ทีมลุงตู่” หลังเลือกตั้งด้วย โดยเฉพาะ “ปากท้องความเป็นอยู่” ของ “รากหญ้า - ท้องถิ่น” ที่ดูเบาไม่ได้ ทั้งราคาพืชผลทางการเกษตร สารพัดเมกะโปรเจ็กต์ ที่จะสร้างงาน-สร้างเงินให้กับคนในชาติ และอาจหมายรวมไปถึง “นโยบายประชานิยม” ชุดต่างๆ ที่จะเป็นการ “ปั่นกระแส - สะสมแต้ม” เอาไว้ลุยในสนามเลือกตั้งหนหน้าทั้งหมด

ตรงนี้ที่ทำให้เชื่อว่า หลังการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 งวดนี้ “ทีมสมคิด” น่าจะได้รับการขยับขยายมามุ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น หลังโชว์ฟอร์ม “รีบูท” เศรษฐกิจของไทยในเวทีโลก ให้ “ลุงตู่” ได้ยิ้มแฉ่งไปแล้ว การพลิกฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง หากได้ “ตัวช่วย” เข้ามาเสริมทีมไม่ว่าจะเรื่องตัวบุคคล หรืออำนาจสิทธิ์ขาดการตัดสินใจ

ด้านหนึ่ง “เพื่อนพ้องน้องพี่” ก็ต้องรักษาน้ำใจกระเตงกันไปแบบ “เสียไม่ได้” แต่ครั้นจะทู่ซี้ยกแพค “ตัวถ่วง” กันไปเฉยๆ ก็คงได้แต่นับถอยหลังสู่หายนะ อาจอยู่ไม่ครบเทอมโรดแมป คสช.ด้วยซ้ำ

หากจะพ้นหายนะ เมื่อมี “ตัวถ่วง” ก็ต้องมี “ตัวฉุด”

ส่องดูแล้วที่ช่วยได้ ก็คงมีแต่ผลงานด้านเศรษฐกิจ ที่วันนี้รับหน้าเสื่อโดย “ทีมสมคิด” ที่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ของ “ลุงตู่” ไปเสียแล้ว

เพียงแต่ว่า Mission นี้คงไม่ง่ายเหมือนกับการปั้น GDP ส่วนจะ “หลังแอ่น” หรือไม่นั้น อีกไม่นานคงรู้กัน


กำลังโหลดความคิดเห็น