xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“การบินไทย” เจ๊งยับ “แอร์เอเชีย” กำไรล้น ปริศนาธุรกิจที่สุดแสนจะมึนงง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ของการบินไทย เรียกได้ว่ายังอยู่ในอาการทรุดหนักคล้ายคนไข้ติดเตียงที่ไม่มีวี่แววจะโงหัวขึ้น สวนทางกันกับสายการบินอื่นๆ ที่มีเฮกันจากผลกำไรเบ่งบาน

วัดฝีมือกันให้เห็นจะจะว่าทีมบริหาร และบอร์ดการบินไทยชุดที่มียาสามัญประจำบ้านประจำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยี่ห้อ “อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม” นั่งเป็นประธานบอร์ดอยู่นั้น น่าจะมีปัญหาในการทำงาน ถึงแม้ว่านายอารีพงศ์ จะไขก๊อกออกจากการบินไทยก่อนหน้าที่จะมีการแถลงผลงานไตรมาส 3 เพียงไม่กี่วันไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ แม้ส่วนหนึ่งของเหตุและปัจจัยจะเชื่อมโยงมาจากบอร์ดการบินไทยชุดก่อน ๆ ด้วยก็ตาม

อย่างที่รู้ๆ กันการบินไทยนั้นเจอรัฐบาล คสช.แจก “ใบเหลือง” ติดโผ 1 ใน 7 ของรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาหนักต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ออกไปให้พ้นจากวังวนขาดทุนบักโกรก แต่จนแล้วจนรอดจนบัดนี้ก็ยังล้างตัวแดงไม่ได้ด้วยเหตุผลแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หรือ “ดีดี” ที่ยังสรรหาไม่ได้ และกรรมการเป่าต่อเวลายืดการเปิดรับสมัครออกไป (อีกครั้ง)

ทั้งนี้ การบินไทย ได้ออกประกาศเรื่องการขยายเวลารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) การบินไทยออกไปจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 2560 จากกำหนดเดิมสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเพื่อประโยชน์ของบริษัทฯ

สำหรับการรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกในตำแหน่งดีดีครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดรับสมัครรอบที่ 2 หลังจากการสรรหาครั้งแรกถูกยกเลิก เพราะผู้สมัครทั้งหมดไม่ผ่านเกณฑ์ โดยการเปิดรับสมัครรอบที่ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. - 15 ก.ย. 2560 จากนั้นได้ขยายเวลาการรับสมัครถึงวันที่ 20 ต.ค. 2560 และล่าสุดได้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 2560

ส่วนรายงานผลประกอบการแบบงามไส้ล่าสุดของการบินไทยที่อ่วมอรทัย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และการด้อยค่าของเครื่องบิน จนฉุดผลประกอบการดิ่งเหวขาดทุนในรอบ 9 เดือนของปีนี้ไปกว่า 3.87 พันล้านบาทนั้น แสดงให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารภายใต้การกำกับของประธานบอร์ด ที่ชื่อนายอารีพงศ์ อย่างยิ่งยวด และเป็นภาพสะท้อนกลับไปยังรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ อย่างช่วยไม่ได้

ก็มีอย่างที่ไหนที่ทำท่าขึงขังจะปฏิรูปใหญ่การบินไทย แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้การสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ค้างคามาตั้งแต่ต้นปีลากยาวมาจนถึงปลายปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ปล่อยให้ นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดี นั่งบริหารเป็นมวยแทนอยู่ท่ามกลางกระแสร่ำลือถึงความขัดแย้งเรื่องการสรรหาดีดีคนใหม่ของนายอารีพงศ์ ภู่ชะอุ่ม ประธานบอร์ด กับ นายคณิศ แสงสุพรรณ กรรมการ (บอร์ด) แล้วจะให้การบินไทยฟื้นฐานะขึ้นมาได้อย่างไร

เมื่อระดับบิ๊กการบินไทยซดเกาเหลาไม่กินเส้นกัน การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลประกอบการจะออกมาเป็นเช่นนี้

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทั้งสองคนกลับกำลังได้ดิบได้ดีในหน้าที่การงาน โดยนายศณิศ แสงสุพรรณ ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการการบินไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป เพื่อไปรับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังปลุกปั้นให้เป็นผลงานชิ้นโบแดงฝากไว้ให้แผ่นดิน

ส่วนนายอารีพงศ์ เตรียมนั่งเก้าอี้ใหญ่กว่านั้น แว่วข่าวว่า ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ใน “รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 5” ที่กำลังเขย่ากันใหม่ในเวลานี้เพื่อลดสัดส่วนบิ๊กทหารลงเอาพลเรือนเข้าไปนั่งแทนให้ภาพลักษณ์รัฐบาลดีขึ้น แต่เรื่องนี้นายอารีพงศ์ ยังไม่ตอบคำถามชัดถูกทาบทามหรือไม่ หรือจะคั่วเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงไหน แต่มีการทุ่มแทงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะไปกระทรวงพลังงาน หลังนายอารีพงศ์ เพิ่งปลดจากเกษียณในฐานะปลัดกระทรวงแห่งนี้

กล่าวถึงสภาพความยุ่งเหยิงภายในของการบินไทย ได้ว่างเว้นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่นานกว่า 9 เดือนหลังจาก นายจรัมพร โชติกเสถียร ครบวาระตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2560 ขณะเดียวกันก็ปรากฏข่าวฉาว คดี “สินบนโรลส์รอยซ์” ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเครื่องยนต์ของอังกฤษ ที่สารภาพต่อสำนักงานปราบปรามการทุจริตของอังกฤษ (SFO) ว่า ได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ในการบินไทยและเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยระดับสูงในหลายรัฐบาล ในช่วงปี 2534-2548 รวมเป็นเงินกว่า 36.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,300 ล้านบาท ซึ่งถึงบัดนี้เรื่องก็ค่อยๆ จางหายไปกับสายลม

ส่วนผลงานการขาดทุนการบินไทย จะว่าไปก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ คือ เรื่องต้นทุนน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน และการด้อยค่าของเครื่องบิน ซึ่งหากการสรรหาดีดีบินไทย มาได้ทันเวลาและได้นักบริหารมืออาชีพ รู้จักการบริหาร สต็อกน้ำมัน ประกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ตั้งบอร์ดที่เก่งจริงรู้จริงเรื่องการบินเข้ามาดูแล ป่านฉะนี้การปฏิรูปการบินไทยก็คงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

กล่าวสำหรับรายละเอียดผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 ของการบินไทย นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้แถลงเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ไตรมาส 3 ปี 2560 (ก.ค.-ก.ย.) การบินไทย มีรายได้ทั้งสิ้น 46,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 6.3% เนื่องจากรายได้จากค่าโดยสารและน้ำหนักส่วนเกินเพิ่มขึ้น 2,470 ล้านบาท จากปริมาณการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 14.9% แม้รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง 7.5% จากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ขณะที่รายได้จากค่าระวางขนส่งและค่าไปรษณียภัณฑ์เพิ่มขึ้น 577 ล้านบาท จากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัว

ขณะที่มีค่าใช้จ่าย 46,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,227 ล้านบาท เนื่องจากค่าน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 1,032 ล้านบาท จากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 11.3% และรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบินจำนวน 1,502 ล้านบาท และยังมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จำนวน 829 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิ 1,814 ล้านบาท โดยเป็นขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,825 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.84 บาท

ส่วนในงวด 9 เดือน ของปี 2560 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 141,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,360 ล้านบาท หรือ 4.7% เกิดจากรายได้จากกิจการขนส่งเพิ่มขึ้น 6,382 ล้านบาท หรือ 5.1% โดยรายได้จากค่าโดยสารและน้ำหนักส่วนเกิน จำนวน 116,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,980 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักจากปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 15.8% ขณะที่รายได้ผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าปีก่อน 10.1% จากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง

ด้านค่าใช้จ่ายรวม 139,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,856 ล้านบาท หรือ 6.8% สาเหตุหลักจากค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมน้ำมันเพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่มีค่าใช้จ่ายด้านค่าซ่อมเครื่องบินเช่า 550 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบิน 3,853 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,699 ล้านบาท ทำให้ รอบ 9 เดือนขาดทุนสุทธิ 3,878.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 362.67% โดยขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 1.78 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,476.68 ล้านบาท

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 3 บริษัทได้ดำเนินการตามแผนปฏิรูปองค์กรระยะที่ 3 “การเติบโตอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยรับมอบเครื่องบินเช่าดำเนินงานเพิ่มขึ้น ทำให้มีจำนวนเครื่องบินที่ใช้ในการดำเนินงานรวม 99 ลำ เพิ่มขึ้น 4 ลำ เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2559 อัตราการใช้ประโยชน์เครื่องบินเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้น 4.3% หรือจาก 11.6 ชั่วโมงในไตรมาส 3 ของปี 2559 เป็น 12.1 ชั่วโมง ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 7.9% และมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 78.2% สูงกว่าปีก่อนซึ่งเท่ากับ 73.5% มีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 5.99 ล้านคน สูงกว่าปีก่อน 8.9%

เมื่อเป็นเช่นนี้ นางอุษณีย์ กล่าวว่า การดำเนินงานในไตรมาส 4 ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และยังมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง โดยบริษัทได้เตรียมที่จะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน (Fuel Surcharge) เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีผลในช่วงไตรมาสที่ 4 หรือในช่วงฤดูท่องเที่ยวนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการมากนัก

อาการร่อแร่ของการบินไทย จากที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่ใหญ่และมีกำไรที่สุด มีชื่อเสียงระดับสากลยังไม่พ้นวิกฤต และหากดูผลประกอบการย้อนหลังยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

โดยผลการดำเนินงานปี 2558 ขาดทุนจากการดำเนินงาน 1,304 ล้านบาท ลดลงจาก 21,715 ล้านบาท ในปี 2557 หรือลดไปกว่า 94.3% มาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ลดลง แต่หากรวมผลการด้อยค่าของสินทรัพย์ โดยเฉพาะเครื่องบินพิสัยไกลที่รอจำหน่าย 10 ลำ และค่าใช้จ่ายพิเศษตามแผนปฏิรูป ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงถึง 16,324 ล้านบาท สุดท้ายทำให้ขาดทุนสุทธิ อยู่ที่ 13,047 ล้านบาท

ส่วน ปี 2559 ที่ผ่านมา แม้อวดโอ่ว่า มีรายได้จากการประกอบการสูงกว่า 200,000 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 180,000 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 4,071 ล้านบาท แต่หากดูไส้ในผลประกอบการ กลับพบว่า เป็นผลมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันกว่า 18,000 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนในการบริหาร ซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายด้านอื่นที่ควรต้องปรับลด กลับทะยานขึ้นมาถึง 4,773 ล้านบาท ยังผลให้การบินไทยและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิแค่ 47 ล้านบาทเท่านั้น

สถานะทางการเงินที่ง่อนแง่นของการบินไทย ทำให้ต้องแบกขาดทุนสะสมตลอด 3 ปีมานี้กว่า 40,000 ล้านบาท

การบริหารการบินไทยไม่มีประสิทธิภาพขนาดไหน ดูภาพสะท้อนกรณีล่าสุดใหม่ๆ สดๆ เป็นตัวอย่าง นั่นคือการแจ้งหยุดบิน “แอร์บัส 380-800” ช่วง 12 - 20 พ.ย. 2560 นี้ เหตุต้องซ่อมบำรุงและอะไหล่ขาดแคลน

มีรายงานข่าวจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI แจ้งว่า บริษัทเกิดปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ของเครื่องบิน Airbus A380-800 ทำให้จำเป็นต้องหยุดบินเครื่องดังกล่าวในระหว่างวันที่ 12 - 20 พ.ย. 60 เนื่องจากต้องนำเครื่องบางลำ ทำการซ่อมบำรุง โดยจะนำเครื่องชนิดอื่นมาบินทดแทนใน 10 เที่ยวบิน ดังนี้

1. เที่ยวบินที่ TG116 และ TG117 (ไปและกลับ) วันที่ 16 พ.ย. 60 จะให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER
2. เที่ยวบินที่ TG201 และ TG202 วันที่ 15 พ.ย. 60 จะให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 747-400
3. เที่ยวบินที่ TG642 วันที่ 12-19 พ.ย. 60 และ เที่ยวบินที่ TG643 วันที่ 13-20 พ.ย. 60 จะให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 747-400
4. เที่ยวบินที่ TG678 และ TG679 วันที่ 16 พ.ย. 60 จะให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 777-300
5. เที่ยวบินที่ TG910 และ TG911 วันที่ 13, 15, 16 และ 18 พ.ย. 60 จะให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER

สาเหตุของปัญหาด้านการซ่อมบำรุงนั้นอาจจะเกิดจากอะไหล่ของเครื่องบินในแบบต่างๆ เริ่มขาดแคลน เนื่องจากปัจจุบันสายการบินจากทั่วโลกเติบโตมาก ทำให้มีเครื่องบินออกใช้งานจำนวนมาก ขณะที่ศูนย์ซ่อมมีจำนวนน้อย และยังเกิดปัญหาขาดแคลนอะไหล่เครื่องยนต์ ทำให้เครื่องบินที่ถึงระยะซ่อมต้องซ่อมบำรุงนานกว่าปกติ

ช่วงกลางปีที่ผ่านมาการบินไทย เคยเกิดประสบปัญหาขาดแคลนอะไหล่เครื่องยนต์ของเครื่องบินมาแล้ว โดยเฉพาะโบอิ้ง 787 Dreamliner ทำให้ต้องจอดเครื่องบิน บางลำไม่สามารถนำมาให้บริการได้ เนื่องจากเครื่องยนต์มีปัญหาต้องรอเปลี่ยนเครื่องใหม่ จากศูนย์ซ่อมที่สิงคโปร์ แต่เนื่องเป็นปัญหาของสายการบินอื่นๆ ด้วย ทำให้ต้องรอการติดตั้งเป็นเวลานาน การบินไทยจึงแก้ปัญหาด้วยการนำเครื่องบินแบบอื่นมาทำการบินทดแทนเป็นการชั่วคราว

กระนั้นก็ดี ขณะที่การบินไทย ขาดทุนยับเยิน และมีปัญหาภายในที่ยากจะสะสาง สายการบินอื่นๆ กลับมีผลประกอบการเติบโตงดงาม อย่างเช่น แอร์เอเชีย ซึ่งแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีนี้เช่นกัน โดยเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ของบริษัท ระบุ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ผู้ถือหุ้นใหญ่สายการบินไทยแอร์เอเชีย(TAA) เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 สำหรับ AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 8,734 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิ 261 ล้านบาท

ส่วน TAA รายได้รวมอยู่ที่ 8,734 ล้านบาท กำไรสุทธิ รวม 472 ล้านบาท มียอดขนส่งผู้โดยสารไตรมาสนี้รวมอยู่ที่ 4.93 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 อัตราส่วนขนส่งผู้โดยสารร้อยละ 85 เพิ่มขึ้น 1 จุด จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีเครื่องบินประจำการฝูงบิน ณ สิ้นสุดไตรมาส รวม 54 ลำ

สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสายการบินเวียตเจ็ท (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ : VJC) ประกาศข้อมูลผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2560 ว่า ทำรายได้และกำไรมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการขยายเส้นทางบินและการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของเครือข่ายการบิน โดยมีรายได้ประมาณ 9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 34.4% และมีผลกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ประมาณ 1,545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35.1% ส่วนผลกำไรรวมของธุรกิจทั้งหมดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 4,370 ล้านบาท

วันเวลาที่เหลือในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ การบินไทยจะพลิกฟื้นฐานะได้หรือไม่ เพราะหลังจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ได้ปลดล็อกธงแดงด้านมาตรฐานการบินของไทยแล้ว คงสร้างความคึกคักให้กับการขยับขยายธุรกิจการบินได้อีกอักโข โดยการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) คาดว่าการปลดธงแดง จะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินของไทยมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นจากปกติที่เติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 8%

การบินไทยจะตะกายขึ้นไปพร้อมกับการเติบโตโดยรวมของอุตสาหกรรมการบิน หรือจะยังจมปลักวนๆ เวียนๆ อยู่กับปัญหาการขาดทุน และเป็นแหล่งตักตวงประโยชน์ของผู้มีอำนาจที่อิ่มหนำแล้วจากไปทิ้งปัญหาไว้ไม่มีวันจบสิ้น...กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์


กำลังโหลดความคิดเห็น