“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
รัฐบาลเผด็จการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐ-ด้วยปืน กับ รัฐบาลเผด็จการรัฐสภายึดอำนาจรัฐ-ด้วยเงิน!
ทำผิดต่อชาติและประชาชนเหมือนกัน เพียงแค่รัฐบาลไหนจะทำผิดมากและน้อยต่างกันเท่านั้น ทั้งหมดต้องลงไปตรวจสอบในรายละเอียดด้านลึกเท่านั้น
ทั้งนี้ต้องยอมรับตรงกันเสียก่อนว่า ประเทศไทยแห่งนี้ไม่เคยปกครอง ด้วยระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงเลย มีแต่การปกครองด้วย “ธนา-คณา-โจราธิปไตย” ที่ซื้อเสียงและโกงเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาคอร์รัปชั่นโกงชาติโกงประชาชนครับ
หลังรัฐประหารโดยกลุ่มทหารและพลเรือน ในนาม “คณะราษฏร์” ปี 2475 เป็นต้นมา ชาติไทยมีการเลือกตั้งแบบตะวันตกนับครั้งไม่ถ้วน ชาติไทยได้นักการเมืองเลวร้ายส่วนใหญ่อยู่ในสภา ชาติไทยได้รัฐบาลส่วนใหญ่ที่คอร์รัปชั่นโกงชาติอยู่ในทำเนียบฯ จึงถูกสื่อมวลชนเปิดโปงความชั่วออกสู่สาธารณะ ถูกประชาชนประณามและต่อต้านอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะยุครัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรก ”ทักษิณ” กับเครือข่ายเข้ายึดอำนาจรัฐไปไว้ในกำมือ การคอร์รัปชั่นโกงชาติเป็นไปอย่างโจ๋งครึ่ม แถมยังแอบสนับสนุนให้มีขบวนการ “ล้มเจ้า” อีกด้วย จนประชาชนทั้งชาวพันธมิตรฯ และกปปส. ต้องออกมาชุมนุมขับไล่อย่างกล้าหาญต่อเนื่องยาวนาน
สุดท้าย..รัฐบาลเครือข่าย “ทักษิณ” ก็ต้องปิดฉากลง ด้วยการโดน “คณะทหาร” ทำรัฐประหาร โค่นล้มลงถึง 2 ครั้ง 2 ครา
แต่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งสกปรกนับครั้งไม่ถ้วน ก็กลับมิได้ทำให้การเมืองของชาติไทยดีขึ้น เพราะไม่มีการปฏิรูปชาติลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ-การเมือง-การศึกษา ฯลฯ โดยรัฐบาลเผด็จการทหารกลับหลงผิด ด้วยการบริหารชาติอย่างสามานย์ ในสูตร “สมบัติชาติผลัดกันโกง” เป็นส่วนใหญ่
อำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์ที่ไม่รู้จักพอ นอกจากจะเป็น “เชื้อชั่ว” ของนักการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้งสกปรกมายาวนานแล้ว “เชื้อชั่ว” แบบเดียวกันยังลุกลามไปติด รัฐบาลเผด็จการทหารที่มาจากรัฐประหาร ให้หลงในกิเลสตัณหาอยากจะสืบทอดอำนาจ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ชนิดไม่รู้จักพอด้วย
ผู้มีอำนาจรัฐประหารในอดีต หลงเดินทางผิดทั้งตั้งพรรคการเมืองขึ้น โดย “จอมพลป.พิบูลสงคราม” ตั้ง “พรรคมนังคศิลา” “จอมพลถนอม กิตติขจร”ตั้ง“พรรคสหประชาไทย” “พล.อ.สุจินดา คราประยูร”ตั้ง “พรรคสามัคคีธรรม” โดยใช้นักการเมืองน้ำเน่าหน้าเดิมส่วนใหญ่มาเป็นฐานเสียง และใช้การเลือกตั้งสกปรกเลียนแบบตะวันตก ส่งตนและพวกพ้องเข้ายึดอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง
บทเรียนผู้นำรัฐประหารกับพวกในอดีต ใช้นักการเมืองน้ำเน่าและการเลือกตั้งสกปรก สืบทอดและยึดครองอำนาจไว้ในกำมืออีกครั้งนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า บรรดานักการเมืองน้ำเน่านั้น “เหนือชั้นกว่า”
บรรดา “กลุ่มทหารการเมือง” ในแทบทุกลีลา เพราะนักการเมืองน้ำเน่าจัดเจน ในการหาประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า ดังนั้น ช่วงที่ “กลุ่มทหารการเมือง” มีอำนาจรัฐอยู่ในกำมือ นักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลายจะทำทีเป็น “ยอมสยบ” และยกพรรคเข้าไปเป็น ”พวกพ้อง”
โดยจะคอยชี้แนะชี้นำผลักดัน ให้ “กลุ่มทหารการเมือง” ใช้การเลือกตั้งสกปรก เป็นหนทางสืบทอดและขึ้นสู่อำนาจอีกครา ด้วยการตั้งพรรคการเมืองเครือข่ายทหารขึ้น ตามด้วยการซื้อตัวนักการเมืองน้ำเน่าคนนั้นคนนี้มาเข้าพรรคในเครือข่ายทหาร รวมทั้งให้ดึงพรรคการเมืองน้อยใหญ่ มาสนับสนุน “กลุ่มทหารการเมือง” ฯลฯ
โดยก่อนจะมีการเลือกตั้ง กลุ่มนักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลาย จะสร้างมิติทางความคิดให้ “กลุ่มทหารการเมือง” มารับใช้แนวทางอันสามานย์ของพวกตนว่า ถ้าจะเอาชนะการเลือกตั้งเครือข่าย “กลุ่มเหลี่ยม” ได้นั้น จำเป็นต้องใช้ทั้งเงินกับคนในกลไกรัฐและองค์กรอิสระ ที่เกี่ยวข้องและส่งผลได้เสียกับชัยชนะในการเลือกตั้ง ให้สนับสนุนพรรคทหารและพรรคแนวร่วม เช่น
ต้องสกัดมิให้อีกฝ่ายซื้อเสียงและโกงเลือกตั้ง แต่ “ไฟเขียว” ให้พรรคเครือข่าย “กลุ่มทหารการเมือง” ทำอะไรต่อมิอะไรได้ ผลการเลือกตั้งในจุดใดไม่ได้ตามแผน ก็ใช้กลไกบางองค์กรฯล้มการเลือกตั้งบางจุด โดยผู้ชนะอาจโดน”ใบแดง”ห้ามลงสมัครอีก เพื่อให้ผู้สมัครเครือข่าย “สีเขียว” ที่เป็นรอง-ชนะ เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ กลุ่มนักการเมืองน้ำเน่าและกลุ่มนายทุนสามานย์ จะแสวงหาผลประโยชน์สารพัดจาก “กลุ่มทหารการเมือง” หรือมีส่วนร่วมในการโยกย้ายแต่งตั้งบรรดา รัฐมนตรี-ข้าราช
การ-องค์กรอิสระ ฯลฯ
เรียกว่า..นักการเมืองน้ำเน่าเหล่านั้น จะได้กอบโกยผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ คอร์รัปชั่นทั้งเงินราษฏร์และเงินหลวง รวยทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งไงล่ะ!!!
โดยใช้ข้ออ้างว่า..เพื่อทำให้ “กลุ่มทหารการเมือง” ที่หลงอำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์ ชนะการเลือกตั้งสกปรกเข้าไปยึดอำนาจ ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลเพื่อประกาศว่า
“..บัดนี้..รัฐบาลของพวกผม มิใช่เผด็จการทหารที่มาจากการรัฐประหารแล้ว แต่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน..นะว้อย..”
กรณีล้มเหลวของ “สองจอมพล” กับ “หนึ่งพลเอก” ที่ใช้นักการเมืองน้ำเน่าและการเลือกตั้งสกปรก สืบทอด-ขึ้นสู่อำนาจ-ใช้อำนาจ-ไร้ชอบธรรมอย่างแท้จริง จึงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อพลังประชาชน!
หนึ่งจอมพล-สิ้นอำนาจไปตายยังต่างแดน! หนึ่งจอมพล-ต้องลงจากอำนาจหนีไปต่างแดน ก่อนจะกลับมาตายในบ้านเกิดอย่างเงียบๆ! ส่วนหนึ่งพลเอกถูกหนึ่งพลตรี-นำประชาชนออกมาขับไล่ จนรัฐบาลล้มครืนลงก่อนเวลาอันควร!
ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงกลายเป็นว่า “นักการเมืองรัฐประหาร” และ “นักการเมืองเลือกตั้ง(สกปรก)” ไม่เคยคิดจะใช้อำนาจรัฐสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน ไม่คิดแม้แต่จะปฏิรูปชาติทุกภาคส่วน เพื่อทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติบ้านเมือง และกีดกันตั่วมิให้มีอำนาจก่อความเดือนร้อนให้แผ่นดิน ตามที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระองค์ทรงเคยดำรัสตรัสไว้ แต่กลับไปสมคบกันแสวงหาอำนาจ เพื่อกอบโกยเงินทองและผลประโยชน์ชาติกันอย่างชั่วช้าสามานย์
อีกทั้งยังส่งผลให้คนในชาติเกิดความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-การศึกษา ฯลฯ ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคม “คนกินคน” ที่เห็นแก่ตัว บนฐานเศรษฐกิจที่ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” หรือ “ปลาใหญ่สวาปามปลาเล็กได้อย่างเสรี” ฯลฯ
โดยกลุ่มทุนสามานย์ไทยและต่างชาติ บิดเบือนว่านี่คือระบบเศรษฐกิจ “การแข่งขันอย่างเสรี” บนโลกแห่งการเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบ ที่อ้างว่า “ไร้พรมแดน” แห่งการกอบโกยนั่นเอง
”ความรวยไม่รู้จักพอ” ของทุนสามานย์ไทยและเทศ ทำให้ต้องยึดอำนาจรัฐเพื่อโกงชาติ จนบางครั้งต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วน ที่ไม่รู้ทันในเล่ห์ร้ายของนักการเมืองเลือกตั้ง(สกปรก) และนักการเมืองรัฐประหารที่เห็นแก่ตนและพวกพ้อง ซึ่งไม่รักชาติรักประชาชนอย่างแท้จริง
ดังเหตุการณ์การเมืองในยุค สองจอมพลกับหนึ่งพลเอก และยุค “ทักษิณ ชินวัตร” กับเครือข่าย
ประวัติศาสตร์การเมืองเดินหน้ามาถึงยุค รัฐบาลรัฐประหาร “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” ซึ่งใครบางคนกำลังหลงเดินไปบนหนทางเดิมๆ หนทางที่ใช้นักการเมืองน้ำเน่าเป็นฐานเสียง โดยเล็งผลเลิศจะสืบทอดและยึดอำนาจทั้งรัฐสภาและรัฐบาล
เพราะ “บิ๊กทหาร” บางคนหลงเชื่อว่า นี่เป็นวิถีทางของ “ระบอบประชาธิปไตย” อีกทั้งเป็นหนทางที่จะชนะการเลือกตั้งต่อเครือข่าย “ทักษิณ” แม้จะรู้ว่า..เป็นแค่ชัยชนะชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
น่าแปลก..ที่ “ผู้นำรัฐประหาร” ชุดนี้ รู้ทั้งรู้ถึงต้นเหตุปัญหาของภัยร้ายแรง ต่อความมั่นคงของชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประชาชน แต่กลับไม่ปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเสียงเรียกร้องของคนทั้งชาติก่อนมีรัฐประหาร แต่วันนี้ “บิ๊กตู่” ปล่อยให้เกิดกระแส “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” ไปเสียแล้ว ดังนั้น
3 ปีกว่าของ “บิ๊กตู่”ไม่มี “ดอกไม้ ”จะให้! แต่เวลาที่เหลือยังมีโอกาสจะได้รับ “ดอกไม้” นะ “บิ๊กตู่”!!!