xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รอยร้าวขุนทหาร เปิดทางปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 พลิกวิกฤตขาลง คสช. หรือขยี้เรตติ้งต่ำตมต่อไป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่าจะเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วกับคิวการปรับทัพ เปลี่ยนขุนพล ร่วม “ครม.ประยุทธ์” อีกครั้งเร็วๆ นี้

หลังจาก “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก รมว.แรงงาน พร้อมยกทีมงานขนข้าวของออกจากที่ทำงานไปเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ที่ทำไม่ได้ตามเป้า แม้จะมีการยึดเวลามาให้ครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม

โดยมีข่าวในทำนองว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกปากตำหนิการทำงานของ “บิ๊กบี้” เกี่ยวกับงานของกระทรวงด้วยตัวเองหลายครั้ง

แล้วยังมี “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ “นายกฯตู่” ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งให้ วรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากอธิบดีกรมการจัดหางาน และให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน และให้ อนุรักษ์ ทศรัตน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน มาเป็น อธิบดีกรมการจัดหางาน แทน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป

เป็นคำสั่งที่ไม่เพียงแต่นายวรานนท์จะไม่รู้ตัวมาก่อน เจ้ากระทรวงอย่าง พล.อ.ศิริชัย ก็ไม่รู้ล่วงหน้าเช่นกัน อีกทั้งเป็นที่ทราบกันว่านายวรานนท์ถือเป็น "มือทำงาน” ที่ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ศิริชัย เป็นอย่างสูงในช่วงที่กำกับกระทรวงแรงงานราว 2 ปี 2 เดือนที่ผ่านมา

เท่ากับเป็นการตัดแขนขามือทำงานของ พล.อ.ศิริชัย ซ้ำเติมแผลใจเก่าที่ยังไม่สมาน เมื่อครั้งที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้ง จรินทร์ จักกะพาก จากอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มาเสียบยอดเป็น “ปลัดกระทรวงแรงงาน” เขี่ยทิ้งชื่อ “แคนดิเดตคนใน” ที่ พล.อ.ศิริชัย พยายามผลักดัน

มติ ครม.ครั้งนั้นยังหักหน้าเจ้ากระทรวงแรงงานอย่างจัง เพราะไม่กี่วันก่อนการประชุม ครม.เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ศิริชัย ประกาศลั่นผ่านสื่อว่า ปลัดกระทรวงแรงงานคนต่อไปต้องเป็นคนในเท่านั้น

และก็เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ รุ่นพี่เตรียมทหาร รุ่น 12 (ตท.12) ไม่ไว้หน้า พล.อ.ศิริชัย รุ่นน้องร่วมสถาบัน ตท.รุ่น 13 ที่เติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแม้แต่น้อย

เนื่องจาก พล.อ.ศิริชัยในฐานะเจ้ากระทรวง ก็พยายามปกป้องสิทธิของลูกน้องในการกันที่นั่ง “เบอร์ 1” ให้แก่ข้าราชการภายในกระทรวง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกที่จะแก้ปัญหาให้กับ “พี่ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ต้องการเลี่ยงความขัดแย้งที่ “กระทรวงคลองหลอด” ในการขับเคี่ยวชิงเก้าอี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงต้องหาที่นั่งในระนาบเดียวกันให้นายจรินทร์ เพื่อปูทางให้ “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้อย่างสะดวกโยธิน

ไล่เรียงตามนี้ ก็จะเห็นได้ว่า “น้องบี้” ถูก “พี่ตู่” ทำร้ายจากดาบที่ “พี่ป๊อก” ยื่นให้นั่นเอง

แต่ในความเป็นจริง พล.อ.ศิริชัย ที่แม้จะเพิ่งเข้ามาร่วม “ครม.ลุงตู่” ในช่วงเดือน ส.ค.2558 หลังเกษียณอายุราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ก็มีข่าวมาตลอดว่า ได้แสดงเจตจำนงที่จะทิ้ง “เรือแป๊ะ” มาตลอด และพร้อมที่จะถูกปรับออกจาก ครม.อยู่แล้ว รวมทั้งตัว พล.อ.ศิริชัย ก็มีชื่อเป็น 1 ใน 9 รัฐมนตรี ที่ถูกยื่นตรวจคุณสมบัติเกี่ยวกับการถือหุ้นอยู่ที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่หลายคนมองว่า ผิดเต็มประตู

ดังนั้นไม่วันนี้ ก็วันหน้า พล.อ.ศิริชัย ก็เลือกที่จะหันหลังให้กับ คสช.อยู่ดี หากแต่ก็มีการหล่านล้อมให้ พล.อ.ศิริชัย อยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปพลางก่อน เนื่องจากมี “ภารกิจสำคัญ” เมื่อช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จึงไม่ควรที่จะมีการเปลี่ยนม้ากลางศึก

เมื่อผ่านพ้นภารกิจสำคัญไป ประจวบเหมาะกับสัญญาใจที่รับปากกันไว้ แล้วยังมาเกิดเรื่องการโยกย้ายนายวรานนท์ จึงทำให้ พล.อ.ศิริชัย ลาออกได้อย่างไม่ลังเล ซึ่งผลที่ตามมานอกเหนือจะต้องหาตัวบุคคลมาเป็น รมว.แรงงาน คนใหม่แล้ว ก็ยังส่งในภาพกว้างเสมือนเป็นการเปิดประตูให้มีการปรับ ครม.ในไม่ช้า

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะเลือกปรับ ครม.เฉพาะตำแหน่ง รมว.แรงงาน ก็ได้ หากแต่มีสัญญาณหลายประการที่สะท้อนว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ เป็นการปรับใหญ่หลายตำแหน่งด้วยกัน

ทั้งคะแนนนิยมของรัฐบาล คสช.ที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เข้าสู่ปีที่ 3 ในการครองอำนาจ อีกทั้งยังมีการกระแสข่าวว่า มีความต้องการจาก “ผู้มีอำนาจ” ให้ปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในฝ่ายบริหาร โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องตัดสินใจทิ้งทุ่นพี่เลิฟอย่าง “พี่ป๊อก” หรือกระทั่ง “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ออกจาก ครม.หรือสลับหน้าที่ให้ เนื่องจากทั้ง “พี่ป้อม - พี่ป๊อก” ถือเป็น “จุดอ่อน” ที่ทำให้รัฐบาลถูกโจมตีมาโดยตลอด

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมาสยบข่าวลือด้วยการประกาศเปรี้ยงกลางงานวันคล้ายวันเกิดครบ 72 ปีของ พล.อ.ประวิตร เมื่อช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาว่า “ท่านอยู่กับผมทั้งชาติแหละ” ที่แฝงนัยยะหมายรวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ พี่เลิฟในกลุ่ม “3 ป.บราเทอร์ส” ด้วย

ซึ่งแม้ พล.อ.ศิริชัย จะไม่ลาออกก็ตาม แต่ก็ถือว่าสถานการณ์สุกงอมเต็มที่ ถึงรอบที่ต้องปรับ “ครม.ประยุทธ์” มานานแล้ว หากแต่ติด “ภารกิจสำคัญ” ทำเอา รมต.หลายคนที่มีชื่อจะตกงานได้มีโอกาสต่อรอบมาร่วมครึ่งปี โดยเฉพาะ“9 รัฐมนตรี” ที่คอพาดเขียง ส่อขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญใหม่จากปม “ถือครองหุ้นต้องห้าม” ที่ตอนนี้เรื่องคาอยู่ที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมผนึกซองร่อนต่อให้ ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาชี้ขาด

อย่างไรก็ตามการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย จึงถือเป็น “ปัจจัยเร่ง” ให้มีการปรับ ครม.เร็วขึ้นเท่านั้นเอง สอดรับกับการออกมาเคลื่อนไหวของ วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังเจ้าของสมญา “โหรทหาร-โหร คมช.” ที่อ้างนิมิต “หลวงปู่เฒ่าเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัย” ว่า จะมีการปรับคณะ ครม.ไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นการพูดก่อนที่ พล.อ.ศิริชัย จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งด้วยซ้ำ

หากใครได้ติดตามบทบาทของนายวารินทร์ มาตลอดก็จะพบว่า การออกมาแสดงความเห็นหรือคอมเมนท์ทางการเมืองในระยะหลังก้าวข้าม “หลักโหราพยากรณ์” ไปแล้ว แต่เป็นการสื่อสารข้อมูลวงในอินไซเดอร์จาก คสช.มากกว่า

เมื่อนายวารินทร์ออกมาพูดเรื่องการปรับ ครม. เสมือนเป็น “โฆษก คสช.ตัวจริง” ก็เท่ากับ “บิ๊ก คสช.” กำลังคิดอ่านจะปรับ ครม.อยู่แล้ว

ไม่เท่านั้นรอบนี้ “พ่อหมอวารินทร์” ยังอัพเกรดตัวเองจาก “หมอดู-โฆษก คสช.” ขึ้นชั้น “ผู้จัดการรัฐบาล” เสียด้วย เมื่อระบุชัดว่า การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ จะเอาคนที่หมดหน้าที่ คนที่ทำงานไม่ตามเป้าออกไป ถือเป็นการปรับ ครม.จำนวนมากพอสมควร หรือพูดง่ายๆว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่งด้วยกัน

ถือเป็นการคอนเฟิร์มแล้วว่า จะมีการปรับ ครม.อย่างแน่นอน หากแต่สิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อไปนั้น คือหน้าตาของครม.ชุดใหม่ หรือ “ครม.ประยุทธ์ 5” จะออกมาแบบไหน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้มีอำนาจตามกฎหมาย จะใช้เกณฑ์ตัดสินใจอย่างไร

หากพิจารณาการเหมือน “ทำเป็นพิธี” เพื่อเบี่ยงกระแสขาลงของรัฐบาล โดยใช้บุคลากรหน้าเดิมๆ มุ่งยึดพวกพ้อง-การตอบแทนบุญคุณ เฉกเช่นตลอด 3 ปีเศษที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่า ไม่ต่างจาก “ขุดหลุมฝังตัวเอง” ก็ด้วยผลงานที่พิสูจน์แล้วมาตลอดระยะเวลาที่ “ขุนทหาร” ถืออำนาจบริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ จากกระแสความนิยมที่พุ่งทะยานแตะจุดพีค ในฐานะ “ฮีโร่” ผู้ออกมาหย่าศึกสงครามกลางเมือง นับวันมีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ จนเรตติ้งทั้งรัฐบาล คสช. หรือกระทั่ง “ลุงตู่” เองต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็น “เตี้ยอุ้มค่อม” อยู่ในตอนนี้

ยิ่งหากมองเกมยาวๆ ว่า “ขุนทหาร” จะสืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้งตามโรดแมปที่วางเอาไว้ และการปรับ ครม.ก็คงจะเป็นครั้งท้ายๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งช่วงปลายปี 2561 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลั่นวาจาไว้ การยึดหลักเดิมๆในการแต่งตั้งบุคคล ก็เท่ากับตัดแต้มที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อถึงวันฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่แม้จะมีการวางกลไกไว้อย่างรัดกุมในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก ที่เมคชัวร์ว่า “บิ๊ก คสช.” จะยังได้ไปต่อ แต่ก็อาจไปต่อในสภาพที่ไม่สมประกอบ ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดเหมือนเช่นตอนนี้

แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดจน “บิ๊ก คสช.” ยอมรับความเป็นจริงถึงสภาพความเป็นจริงในวันนี้ ที่สังคมไทยต่างเบือนหน้า รับไม่ได้กับแนวทางของรัฐบาล และพร้อมที่จะเปิดใจกว้าง หลุดพ้นกรอบการปรับเปลี่ยนตามวงรอบสไตล์ “ข้าราชการไทย” ไปได้ โดยการดึงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริงเข้ามาร่วมบริหารชาติบ้านเมือง มากกว่าการหยิบจับบุคลากรด้วยเงื่อนไขที่จำกัดว่า หัวหน้าต้องเป็นพวกพ้องเท่านั้น ก็มีแต่ “เจ๊งกับเจ๊ง”

ในทางกลับกัน หากหลุดพ้นกรอบ “พวกพ้อง-ผลประโยชน์” ไปได้ ไม่เพียงสั่งสมคะแนนนิยมเพื่อเตรียมไว้ “ไปต่อ” ภายหลังการเลือกตั้งเท่านั้น แต่อาจจะทำให้ คสช.อยู่ในอำนาจได้แบบเนียนๆ โดยไม่มีการเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ อย่าลืมว่ายังมีคนไทยอีกไม่น้อยที่ยังคง “ไม่เอาเลือกตั้ง” ทว่าเป็น คสช.เองที่ “สอบตกกราวรูด” ในทุกๆด้าน ทำให้เสียงเพรียกหาคูหาเลือกตั้งขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ ด้วยหวังได้ “สิ่งที่ดีกว่า” แม้ต้องเสี่ยงกับการฝ่าดง “นักการเมือง - นักเลือกตั้ง” ก็ตาม

เมื่อไฟต์บังคับที่ต้องให้มีการปรับทัพเปลี่ยนขุนพลรีโนเวท “ครม.ประยุทธ์ 4” เป็น “ครม.ประยุทธ์ 5” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อยู่ที่ “บิ๊กตู่” และชาวคณะ “บิ๊ก คสช.” จะเลือกเดิมเกมอย่างไร

ระหว่างการเอาชนะใจตัวเอง ที่คิดแต่ “พวกพ้อง-ผลประโยชน์” แล้วดึง “ตัวช่วย” ที่แม้จะเป็นพวกนอกไส้เข้ามาเสริมแกร่งให้กับรัฐบาลเข้ามา เพื่อเป็น “หมัดเด็ด” พลิกวิกฤตขาลง คสช.

หรือจะถูลู่ถูกังกระเตงเหล่า "คีย์แมนตัวถ่วง" พร้อมดึงพวกพ้องมากอบโกยผลประโยชน์แบบเดิม ขยี้เรตติ้งตัวเองให้ต่ำตมต่อไป.


กำลังโหลดความคิดเห็น