xs
xsm
sm
md
lg

จารีต จิตอารมณ์ และเหตุผลในการกระทำของมนุษย์ (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

พฤติกรรมและการกระทำของคนในสังคมเป็นประเด็นที่นักวิชาการพยายามทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่องยาวนาน หากศึกษาประวัติศาสตร์ทางความคิดของมนุษย์ จะพบว่าการถกเถียงทางปรัชญาและวิชาการในเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในแทบทุกสังคมที่อารยธรรมทางปัญญาได้ถูกสถาปนาขึ้นมา กล่าวได้ว่านอกจากเรื่องราวของพระเจ้าและธรรมชาติที่อยู่ภายนอกตัวเองแล้ว มนุษย์ก็พยายามคลี่คลายปริศนาเกี่ยวกับตนเองทั้งในเชิงความคิดและการกระทำด้วย

อันที่จริงการพยายามอธิบายพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์เกิดขึ้นได้ทั้งในแวดวงของคนทั่วไป และในทางวิชาการหลากหลายสาขาของสังคมศาสตร์ เพราะมนุษย์ต้องการเข้าใจให้กระจ่างว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่งกระทำสิ่งใดออกมา เขาหรือเธอถูกผลักดันด้วยปัจจัยหรือเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยเฉพาะการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม การกระทำใดที่ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงแรงและกว้างไกลมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีความสนใจพฤติกรรมหรือการกระทำนั้นมากขึ้น

ในท่ามกลางความหลากหลายของการอธิบายพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ เราสามารถจำแนกออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มถูกครอบงำและชี้นำโดย “กฎเกณฑ์” ที่อยู่ภายนอก กฎเกณฑ์ภายนอกที่ชี้นำพฤติกรรมของมนุษย์มีหลายลักษณะ ตั้งแต่กฎเกณฑ์ทางศาสนาที่ถูกสถาปนาโดยอาศัยความเชื่อต่อสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ กฏธรรมชาติที่มนุษย์สังเกตเห็นและปฏิบัติตาม ไปจนถึงกฎเกณฑ์ทางสังคมที่ถูกสถาปนาขึ้นมาโดยอาศัยคตินิยมร่วมของสังคมหรือกลุ่มนั้นๆ

เรารู้จักกฎเกณฑ์ทางสังคมภายใต้นามที่หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดีในบรรดาคนทั่วไปคือ ประเพณีนิยม และธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนคำที่ใช้ในแวดวงวิชาการก็มีเป็นจำนวนมาก เช่น โครงสร้างสังคม วัฒนธรรม จารีต ค่านิยมร่วม บรรทัดฐาน มาตรฐาน ระเบียบ และกฎหมาย ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการกล่อมเกลาและปลูกฝังกฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านั้นตั้งแต่ ปฐมวัยจวบจนปัจฉิมวัยของชีวิต ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว มนุษย์บางคนและบางกลุ่มจึงยึดกฎเกณฑ์ทางสังคมเป็นหลักในการแสดงพฤติกรรมและการกระทำของตนเอง เราเรียกบุคคลประเภทนี้ว่าเป็น “จารีตบุคคล”

การกระทำทางสังคมของกลุ่ม “จารีตบุคคล” นั้นคือ การกระทำที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกตัวเองเป็นหลัก มีแนวโน้มใช้กฎเกณฑ์เป็นแนวทางในการตัดสินใจว่า กระทำหรือไม่กระทำสิ่งใด จารีตบุคคลเป็นพวกที่เคร่งครัดกับชุดของกฎเกณฑ์ที่พวกเขายึดถือ บางคนยึดมั่นในชุดกฎเกณฑ์ที่มีรากฐานจากความเชื่อเหนือธรรมชาติเป็นแนวทางการกระทำ ดังนั้นหากกระทำสิ่งใด ก็ต้องเชื่อมโยงกับอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นหลัก เช่น การดูฤกษ์ดูยามเมื่อจะทำรัฐประหาร หรือ หากย้ายที่ทำงานเพราะตำแหน่งใหม่สูงขึ้น ก่อนเข้าไปทำงานในสถานที่แห่งใหม่ ก็จะปฏิบัติตาม “ธรรมเนียม” หรือ “ประเพณีนิยม” นั่นคือต้องสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถานที่นั้นๆ ก่อนเสมอ

ในบางสังคมมีความเชื่อร่วมกันว่า ภัยพิบัติหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นต่อบุคคลในชุมชนหรือสังคมมาจากความพิโรธของอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้นคนในสังคมนั้นจึงต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์สังคมที่อาจสร้างความไม่พอใจแก่อำนาจเหนือธรรมชาติ หรือหากเกิดภัยพิบัติขึ้นมาแล้วก็ต้องบวงสรวง บูชา ถวายสิ่งของเป็นบรรณาการแก่อำนาจเหนือธรรมชาติ เพื่อบรรเทาความร้ายแรงของภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้น

“จารีตบุคคล” ที่ยึดกฎเกณฑ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นแนวทางการกระทำนั้นดำรงอยู่มาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่จะมากหรือน้อยก็เป็นไปตามการพัฒนาการทางความคิดและปัญญาของสังคมนั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขการพัฒนาสังคมและภูมิปัญาของมนุษย์ ทำให้จารีตบุคคลจำนวนมากเลิกและลดการให้ความสำคัญต่อกฎเกณฑ์ที่อิงกับอำนาจของสิ่งเหนือธรรมชาติ และสิ่งที่เข้ามาทดแทนคือกฎเกณฑ์ที่สถาปนาขึ้นมาด้วยอำนาจและความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์

กฎเกณฑ์ที่สถาปนาขึ้นมาโดยอิงอำนาจและความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์มีรูปแบบมากมาย กฎเกณฑ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นกลุ่ม เป็นชุมชน และเป็นรัฐ “จารีตบุคคล” จะให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ของหน่วยงทางสังคมที่พวกเขาสังกัด และจะปฏิบัติตามบรรทัดฐาน ธรรมปฏิบัติที่เป็นแบบแผนของหน่วยทางสังคมนั้นๆ พวกเขาจะผนึกอัตลักษณ์ของตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับอัตลักษณ์ของหน่วยทางสังคมที่เขาสังกัด

หน่วยทางสังคมแต่ละหน่วยผลิตกฏเกณฑ์ทั้งที่ไม่เป็นทางการและเป็นทางการขึ้นมาในรูปแบบของธรรมเนียมการปฏิบัติ บรรทัดฐาน ระเบียบเพื่อเป็นแนวทางให้สมาชิกปฏิบัติตาม ส่วนกฏเกณฑ์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าหน่วยทางสังคมนั้นมีรูปลักษณ์เป็นแบบใด หน่วยทางสังคมที่เป็นครอบครัวก็จะผลิตแบบแผนพฤติกรรมที่เรียกว่า “กฏครอบครัว” หรือ “กฏบ้าน” ขึ้นมา เช่น กฎการแต่งงาน กฎการยึดถือความอาวุโส กฎของความกตัญญู และกฎของการลำดับความสำคัญของครอบครัวและเครือญาติเหนือสิ่งอื่น

หน่วยทางสังคมที่เป็นกลุ่ม ก็เช่นเดียวกัน มีการผลิตกฎเกณฑ์ขึ้นมาอย่างหลากหลาย ที่เรียกว่า “กฏกลุ่ม” เช่น กฎเกณฑ์การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม กฏเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกลุ่ม กฏเกณฑ์เกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพ กฏเกณฑ์การลงโทษผู้ละเมิดบรรทัดฐานของกลุ่ม หรือในชุมชนและรัฐก็จะมี “กฎเมือง” เช่น กฏเกณฑ์ของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนและรัฐ กฎเกณฑ์ที่จะกำหนดว่าเรื่องใดที่สมาชิกทำได้ เรื่องใดทำไม่ได้ เรื่องใดควรทำ เรื่องใดไม่ควรทำ ตลอดจนการกำหนดบทลงโทษแก่ผู้ที่ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น

มีความเป็นไปได้ว่า กฏเกณฑ์ทั้งหลายของหน่วยทางสังคมในแต่ละระดับมีทั้งที่สอดคล้องและกลายเป็นกระแสเดียวกันทั้งสังคม และไม่สอดคล้องหรือแม้กระทั่งขัดแย้งกันก็มี ในกรณีที่กฎเกณฑ์สอดคล้องกันย่อมไม่มีปัญหาใดในการปฏิบัติ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อกฏเกณฑ์ขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกัน เมื่อเกิดในกรณีแบบนี้ขึ้นมา “จารีตบุคคล”ในแต่ละสังคมก็ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใช้กฏเกณฑ์ระดับใดเป็นกฏเกณฑ์หลักในการปฏิบัติของตนเอง

ตัวอย่างความขัดแย้งระหว่าง “กฏบ้าน” “กฎกลุ่ม” และ “กฏเมือง” เช่น เมื่อ “จารีตบุคคล” ผู้หนึ่งซึ่งทำงานในกรมสรรพากรพบว่านักธุรกิจที่เป็นญาติของตนเองหลีกเลี่ยงการชำระภาษี เขาจะทำอย่างไร หากเขาตัดสินใจเลือกช่วยเหลือญาติ โดยกลบเกลื่อนและปกปิดเรื่องราว ก็แสดงว่า เขาให้น้ำหนักแก่ “กฏบ้าน” เหนือ “กฎเมือง” ในทางกลับกัน หากเขาตัดสินใจแจ้งให้ญาติของเขามาชำระภาษีให้ถูกต้อง และหากไม่มาชำระก็ดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็แสดงว่าเขาให้น้ำหนักกับ “กฎเมือง” เหนือ “กฎบ้าน”

หรืออย่างกรณีบางประเทศ สมมุติว่า จารีตบุคคลผู้หนึ่งเป็นสมาชิกของคณะปกครองประเทศสูงสุดของประเทศ คณะปกครองนี้กำหนดกฏกณฑ์ว่าสมาชิกแต่ละคนสามารถตั้งเลขานุการส่วนตัวได้ “จารีตบุคคล” ผู้นั้นก็ยึด “กฎบ้าน” เป็นหลัก โดยตั้งลูกสาวตนเองขึ้นมาเป็นเลขานุการ เพราะคนในครอบครัวย่อมสำคัญที่สุด แต่การกระทำของ “จารีตบุคคล” ผู้นี้อาจไม่ขัดแย้งกับ “กฎเมือง” เพราะว่าไม่มีกฎหมายใดของเมืองห้ามเอาไว้ แต่อาจจะขัดแย้งกับ “กฎกลุ่ม” ซึ่งในกรณีนี้คือ “จรรยาบรรณของกลุ่มที่ปกครองประเทศ” ที่จะต้องไม่ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่เครือญาติของตนเอง

กล่าวโดยสรุป มนุษย์ที่มีความโน้มเอียงเป็น “จารีตบุคคล” นั้น แบบแผนการกระทำส่วนใหญ่ของพวกเขาถูกครอบงำและชี้นำด้วยชุดของ “กฏเกณฑ์” จำนวนหนึ่งเสมอ แต่กฎเกณฑ์ที่พวกเขายึดอาจมีความแตกต่างกัน บางคนอาจยึดชุดของกฎเกณฎ์ที่อ้างอิงจากอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นหลัก ขณะที่บางคนยึดกฎเกณฑ์ที่อ้างอิงกับอำนาจและความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ ซึ่งชุดของกฏเกณฑ์แบบนี้มีหลากหลายระดับ แต่ที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์เป็นอย่างมากคือ “กฎบ้าน” “กฏกลุ่ม” และ “กฎเมือง”

สำหรับในประเทศไทยนั้น บุคคลที่มีการปฏิบัติเป็นแบบ “จารีตบุคคล” อยู่ไม่น้อย และเป็น “จารีตบุคคล” ประเภทยึดกฎเกณฑ์ที่อิงกับอำนาจเหนือธรรมชาติ บวกกับ ประเภทที่ยึด “กฎบ้าน” แบบให้ความสำคัญกับเครือญาติ และ “กฎกลุ่ม” ที่ให้ความสำคัญกับพวกพ้อง มากกว่า “กฎเมือง” ที่ให้ความสำคัญกับ “กฏหมาย”

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ หาได้ถูกกำหนดโดยกฏเกณฑ์ภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว มิติภายในตัวมนุษย์เองก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน อันได้แก่ มิติด้านจิตอารมณ์หรือความรู้สึก ซึ่งเราเรียกว่าเป็น “จิตตบุคคล” กับมิติของความคิดและเหตุผลที่เรียกว่า “ปัจเจกบุคคล” ซึ่งมนุษย์ทั้งสองแบบนี้ผมจะกล่าวในโอกาสต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น