ในเย็นวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว ข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้แพร่ไปทั่วโลก ผ่านสื่อดังของโลกเป็น Breaking News ไปทั่วทุกทวีป
ในเวลาอีกไม่นาน บรรดาผู้นำของโลกจากทุกทวีปก็ได้มีคำแถลงถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของไทยและของโลกในครั้งนี้ ดังสรุปใน Time Magazine ฉบับ on line ประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2559 (เวลาท้องถิ่นของ Time คือ 10.00 AM.ET)
รายงานใน Time ได้เริ่มต้นว่า ทางพระราชวังของไทยได้ประกาศในวันพฤหัสฯ ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จสวรรคตแล้วที่รพ.ศิริราช และประชาชนทั่วโลกตอบรับต่อข่าวนี้ด้วย “An Outpouring Grief” ความเศร้าโศกอย่างท่วมท้น
เขาได้รายงานว่า ประชาชนนับพันๆ ได้มารวมตัวอยู่ที่รพ.ตั้งแต่วันอาทิตย์เพื่อร่วมสวดมนต์หลังจากได้ทราบข่าวพระอาการที่ “Deteriorating” ที่อ่อนแรงลง และพอถึงวันพุธทางสำนักพระราชวังก็มีแถลงการณ์ประกาศถึงพระอาการด้านไตและตับที่ทำงานไม่ปกติ และพระอาการทั่วไป “Not Yet Stabilized” ไม่คงที่
Time ได้สรุปรายงานถึงพระองค์ท่านว่าเป็น “The World’s Longest Reigning Monarch” คือ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกถึง 7 ทศวรรษ และทรงเป็นที่เทิดทูนสักการบูชาสูงสุดในประเทศ
เขารายงานว่า นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศถึงการขึ้นทรงราชย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ; และนายกฯ ประยุทธ์ได้ประกาศว่า ประเทศไทยจะ “Hold a Yearlong Griveing Period” มีการไว้ทุกข์ถวายความอาลัย 1 ปีเต็ม
สำหรับคำแถลงของผู้นำต่างๆ ที่ Time ได้รวบรวมในเช้าวันนั้น (เวลาของ Time Mag.) ก็เริ่มจากทำเนียบขาวที่อยู่ใกล้สุดของ Time โดยได้พิมพ์สำเนาคำแถลงการณ์จากทำเนียบขาวด้วยหัวเรื่องว่า “Statement by the President on the Passing of His Majisty King Bhumibol Adulyadej” ที่เริ่มต้นว่า
ในนามของประชาชนชาวสหรัฐฯ ข้าพเจ้าขอ Offer my Heart Selt Condolences มายังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชวงศ์ รวมถึงประชาชนชาวไทยในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ปธน.โอบามาได้กล่าวต่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “A Close Friend” มิตรสนิทใกล้ชิดของสหรัฐฯ และทรงเป็น “A Valued Partner” (หรือมิตรที่ทรงคุณค่ายิ่ง) ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายท่าน
ปธน.โอบามาได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงอุทิศพระองค์อย่างไม่ทรงย่อท้อ หรือ “A Tireless Champion of His Country’s Development and Demonstrated Unflagging Devotion to Improving the Standard of Living” เพื่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยถ้วนหน้า
เขากล่าวต่อว่า พระองค์ท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพด้าน “A Creative Spirit” การสร้างสรรค์อย่างสูง และค้นคิดสิ่งใหม่ๆ “A Drive for Innovation” ซึ่งทรงได้ “Pioneered New Technologies That Have Rightfually Received Worldwide Acclaim” คือ ทรงประดิษฐ์นวัตกรรมเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งได้รับคำสรรเสริญแซ่ซ้องไปทั่วโลก
พระองค์ท่านได้ทรงทิ้งมรดกถึงความดูแลเอาใจใส่ที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ยึดมั่นบูชาของอนุชนรุ่นต่อๆ ไป
ปธน.โอบามายังได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานวโรกาสให้ตัวเขาได้เข้าเฝ้า (เมื่อปี 2512 เมื่อเดินทางมาประเทศไทย) โดยกล่าวว่า พระองค์ท่านทรงเต็มไปด้วย “Grace and Warmth” ความสง่างาม และความอบอุ่นตลอดจน “His Deep Affection and Compassion for the Thai People” ความรักและความเมตตาอย่างลึกซึ้งที่พระองค์ท่านทรงมีอย่างเปี่ยมล้นต่อพสกนิกรของพระองค์
รายงานของ Time Magazine ได้พูดถึงนายกรัฐมนตรีประเทศอินเดีย ที่กล่าวสรรเสริญพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ว่า พระองค์ท่านทรงเป็น “One of the Tallest Leaders of All Time” หนึ่งในผู้นำสูงส่งที่สุดของโลกท่านหนึ่งตลอดกาล โดยทรงได้รับความเคารพสักการะเทิดทูนอย่างยิ่งจากพสกนิกรของพระองค์ท่าน
สำหรับปธน. Michael D.Higgins แห่งประเทศสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ได้กล่าวถวายความอาลัยว่า “โลกได้สูญเสียทั้งพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และรัฐบุรุษที่ทรงมุ่งมั่น” “Deeply Committed to Peace and Peaceful Co-Existence”อย่างแท้จริงต่อสันติภาพ และการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ยังมีคำแถลงอย่างเป็นทางการที่ Time Mag. ได้รีบรวบรวมและสรุปในเย็นวันนั้น โดย กล่าวถึงคำถวายความอาลัยจากกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ; จากนายกรัฐมนตรี Najib Razak ของมาเลเซีย และจากพระราชวังเบลเยียมด้วย
ยังมีสื่อชั้นนำของโลกอีกมากมายที่ได้รวบรวมคำถวายความอาลัยของผู้นำโลกที่มีต่อการเสด็จสู่สวรรคาลัยขององค์พระประมุขที่ยิ่งใหญ่ของโลกในครั้งนี้
รวมทั้งพระราชสาส์นส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรที่ถวายต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในการถวายความอาลัยในครั้งนี้