ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในการอัญเชิญ “พระบรมโกศ” พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เคลื่อนออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง สู่พระเมรุมาศฯ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนหรือกระบวนการที่สำคัญยิ่งในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และเป็นโบราณราชประเพณีแห่งราชสำนักไทยที่สืบทอดนับเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
ตามคติความเชื่อของไทยนั้น พระมหากษัตริย์คือเทวดาที่จุติลงมาอุบัติบนโลกมนุษย์ ครั้นเมื่อสวรรคตเท่ากับเป็นการเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้น การอัญเชิญพระบรมโกศทรงพระบรมศพฯ จึงเสมือนหนึ่งการเคลื่อนขบวนแห่งองค์สมมติเทพไปประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ ซึ่งจำลองมาจากเขาพระสุเมรุ ก่อนที่จะน้อมเกล้าฯ ส่งเสด็จจากโลกมนุษย์กลับสู่สวรรค์ชั้นฟ้า
การอัญเชิญพระบรมศพจากพระมหาปราสาทไปสู่พระเมรุมาศ หรืออัญเชิญพระบรมอัฐิจากพระเมรุมาศมาสู่พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชสรีรางคารไปบรรจุหรือลอยพระอังคาร ตามโบราณกาลจะอัญเชิญด้วยขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งเรียกว่า “ริ้วขบวน” โดยแต่ละริ้วขบวนมีคนหาม คนฉุดชักจํานวนมาก พร้อมด้วยเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ได้แก่ เครื่องสูง พระกลด บังสูรย์พัดโบก บังแทรก พุ่มเงิน พุ่มทอง จามร พระอภิรุมชุมสายแวดล้อมตามพระราชฐานันดรศักดิ์แห่งพระบรมศพ หรือพระศพนั้นๆ พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประโคม เช่น สังข์แตรปี่กลองชนะ พร้อมสรรพด้วยโขลนพลโยธาแห่นำตามแซงเสด็จ ทั้งคู่แห่ คู่เคียง เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเข้าขบวนและเคลื่อนขบวนไปอย่างมีระเบียบและสง่างามประหนึ่งราชรถเคลื่อนบนหมู่เมฆส่งเสด็จสู่สรวงสวรรค์
พระบรมโกศทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะถูกอัญเชิญจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อเข้าริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯ ด้วย “พระยานมาศสามลำคาน” และนำมาประดิษฐานบน “พระมหาพิชัยราชรถ” เคลื่อนสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง อัญเชิญพระบรมโกศเวียนรอบพระเมรุมาศ จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธาน แล้วจึงถวายพระเพลิง
ต่อมาในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ ริ้วขบวนพระบรมราชอิสสริยยศฯ จะอัญเชิญพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารจากพระเมรุมาศไปประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯ จะอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารไปประดิษฐาน ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและวัดบวรนิเวศวิหาร
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับ ราชรถ ราชยาน นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานานุศักดิ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการใช้ราชรถราชยานในราชสำนักนั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาล ปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยอยุธยา และเป็นราชประเพณีสืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยอยุธยามีหลักฐานกล่าวถึงการใช้ราชรถในพระราชพิธีต่างๆ เช่น การอัญเชิญผ้าพระกฐิน การอัญเชิญพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น
เมื่อพุทธศักราช ๒๒๓๐ เดิมทีมีโรงเก็บราชรถในพระราชวัง แต่ถูกเพลิงไหม้ไปสิ้นเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 และในสมัยกรุงธนบุรีไม่ปรากฏว่ามีการสร้างราชรถเพื่อใช้ในการพระเมรุ เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีในพุทธศักราช ๒๓๒๕ ทรงโปรดฯ ให้สร้างราชรถขึ้นมา ๗ องค์ เพื่อถวายพระเพลิงพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกในพุทธศักราช ๒๓๓๙ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ราชรถ ราชยาน จึงเป็นหนึ่งในเครื่องประกอบในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ทั้งนี้ การจัดริ้วขบวนเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีขบวนพระบรมราชอิสริยยศ มีจำนวน ๖ ริ้วขบวน ประกอบด้วย
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๑ เชิญพระโกศทองใหญ่โดยพระยานมาศสามลำคาน จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังพระมหาพิชัยราชรถ หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๒ เชิญพระบรมโกศโดยพระมหาพิชัยราชรถ จากหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๓ เชิญพระโกศทองใหญ่โดยราชรถปืนใหญ่ เวียนพระเมรุมาศโดยอุตราวัฏ (เวียนซ้าย) ๓ รอบ แล้วเชิญพระโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุมาศ
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๔ เชิญพระโกศพระบรมอัฐิประดิษฐานในบุษบกพระที่นั่งราเชนทรยาน และเชิญพระบรมราชสรีรางคารประดิษฐานในพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย จากพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๕ เชิญพระโกศพระบรมอัฐิจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๖ ขบวนกองทหารม้า เชิญพระบรมราชสรีรางคารจากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวัง ทางประตูวิเศษไชยศรี ไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและวัดบวรนิเวศวิหาร
ทั้งนี้ พระยานมาศสามลำคาน เป็นยานที่มีคานหามขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้จำหลักลวดลายลงรักปิดทอง มีพนักโดยรอบ 3 ด้าน และมีคานหาม ๓ คาน จึงเรียกว่า พระยานมาศสามลำคาน อยู่ในขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วที่ ๑ ใช้สำหรับอัญเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ไปประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ ที่จอดเทียบรออยู่ใกล้พลับพลายก บริเวณทิศตะวันออกของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระราชยานองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพื่อใช้อัญเชิญพระบรมโกศพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นครั้งแรก
พระมหาพิชัยราชรถ มีลักษณะเป็นราชรถทรงบุษบก ทำด้วยไม้แกะสลัก ลงรักปิดทอง ประดับกระจก สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ใช้เพื่อการอัญเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) ออกพระเมรุ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๙ ต่อมาใช้อัญเชิญพระบรมโกศพระมหากษัตริย์ และพระโกศพระบรมวงศ์จนถึงปัจจุบัน
ราชรถปืนใหญ่ เป็นราชรถที่เชิญพระโกศพระบรมศพ พระศพของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ที่ทรงรับราชการทหารเมื่อครั้งดำรงพระชนม์ชีพ แทนพระยานมาศสามลำคานตามธรรมเนียมเดิมจากพระบรมมหาราชวังหรือวังของพระบรมวงศ์ พระองค์นั้น ๆ สู่พระเมรุมาศ หรือพระเมรุ
พระที่นั่งราเชนทรยาน เป็นพระราชยานที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ลักษณะเป็นทรงบุษบกย่อมุมไม้สิบสอง หลังคาซ้อน ๕ ชั้น สร้างด้วยไม้ แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก พนักพิงและกระจังปฏิญาณแกะสลักเป็นภาพเทพนมไว้ตรงกลาง และมีรูปครุฑยุดนาคประดับที่ฐาน มีคานสำหรับหาม ๔ คาน ใช้คนหาม ๕๖ คน แต่เวลาปกติจะคงคานประจำไว้ ๒ คาน โดยในการนี้ใช้ในการเชิญพระโกศพระบรมอัฐิจากพระเมรุมาศ พระเมรุ ท้องสนามหลวง ไปยังพระบรมมหาราชวัง
การอัญเชิญพระที่นั่งราเชนทรยานออกมาบูรณะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ต่อมาปี พ.ศ. 2539 ใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากพระเมรุมาศท้องสนามหลวงกลับสู่พระบรมมหาราชวัง และในปี พ.ศ. 2551 พระที่นั่งราเชนทรยานได้เชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ล่าสุดในปี พ.ศ. 2555 ใช้เชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จากพระเมรุท้องสนามหลวงกลับเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง
พระราเชนทรยานน้อย เป็นพระยานมาศองค์ใหม่ มีลักษณะเป็นทรงบุษบก สร้างด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจกทั้งองค์ ขนาดกว้าง ๑๐๐ เซนติเมตร ยาว ๕๔๘ เซนติเมตร รวมคานหาม สูง ๔๑๔ เซนติเมตร มีคานสำหรับหาม ๔ คาน จำนวนคนหาม ๕๖ คน ใช้เป็นพระราชยานที่ใช้ในการประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคาร เข้าสู่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
เกรินบันไดนาค คืออุปกรณ์ที่ใช้เชิญพระโกศพระบรมศพขึ้นหรือลงจากราชรถและพระเมรุมาศแทนการใช้นั่งร้านไม้ต่อยกสูงแบบสมัยโบราณ ที่ใช้กำลังคนยกขึ้นลงซึ่งมีความยากลำบาก ไม่สะดวก โดยทำเป็นรางเลื่อนขึ้นลงด้วยกว้านหมุน ลักษณะการใช้งานเหมือนลิฟต์ในปัจจุบัน มีแท่นที่วางพระโกศเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายขึ้นหรือลง ลักษณะเป็นแท่นสี่เหลี่ยม ขอบฐานแกะสลักลายปิดทองประดับกระจก ท้ายเกรินเป็นพื้นลดระดับลงมา ซึ่งเป็นที่สำหรับเจ้าพนักงานภูษามาลาขึ้นนั่งประคองพระโกศพระบรมศพ มีลักษณะคล้ายท้ายสำเภา ด้านข้างบุผ้าตาดทอง มีราวทั้งสองข้างตกแต่งเป็นรูปพญานาค จึงเรียกว่า “เกรินบันไดนาค”
พระเสลี่ยงกลีบบัว เป็นพระราชยานที่ใช้กำลังพลหาม จำนวน ๑๖ คน สำหรับสมเด็จพระสังฆราชหรือพระราชาคณะนั่งอ่านพระอภิธรรมนำพระโกศพระบรมศพ พระศพ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทออกจากพระบรมมหาราชวังไปยังพระมหาพิชัยราชรถที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และนำขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ พระอิสริยยศเมื่อเชิญพระโกศพระบรมศพ พระศพเวียนรอบพระเมรุ
พระเสลี่ยงกลีบบัวสร้างด้วยไม้ปิดทองประดับกระจกทั้งองค์ มีคานหาม ๒ คาน ได้รับการซ่อมบูรณะใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เพื่อเป็นที่ประทับของพระราชาคณะอ่านพระอภิธรรมนำพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ขนาดกว้าง ๐.๘๒ เมตร ยาวรวมคาน ๔.๒๐ เมตร สูง ๑.๑๐ เมตร ลำคานเป็นไม้กลมกลึงทาสีแดง ปลายกลึงเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์ (มีรูปทรงกลมหรือเหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เรียวขึ้นไปอย่างหัวเม็ดเสาเกย) ปิดทองประดับกระจก ลำคานทำด้วยไม้กลึงกลมทาสีแดงเรียบ ปลายคานประดับหัวเม็ดปิดทองประดับกระจก แท่นพระเสลี่ยงมีลักษณะเป็นฐานสิงห์บัวลูกแก้ว หน้ากระดานล่างปิดทองเรียบ เหนือเส้นลวดประดับกระจังตาอ้อยปิดทองประดับกระจก บัวอกไก่แกะสลักลายรักร้อยปิดทองประดับกระจก ขอบลูกแก้วประดับกระจังฟันปลาปิดทองทั้งด้านบนด้านล่าง ท้องไม้ทาสีแดงเรียบ ลวดบัวประดับกระจังฟันปลาปิดทอง บัวหงายแกะสลักลายบัวรวนปิดทองประดับกระจกซ้อนเส้นลวดเดินเส้นทอง หน้ากระดานบนประดับลายประจำยามก้ามปู ประดับเส้นลวดเดินเส้นทอง เหนือหน้ากระดานบนประดับกระจังตาอ้อยซ้อนลายกลีบบัว ปิดทองประดับกระจก ๓ ด้าน ขอบบนเหนือลายกลีบบัวทำเป็นราวพนักพิงกลม ติดซี่ลูกกรงโปร่งปิดทองเรียบ ประดับกระจังปฏิญาณใหญ่รูปกลีบบัว ด้านนอกปิดทองประดับกระจก ส่วนด้านในปิดทองเรียบ ๓ ด้าน พนักพิงหลังซึ่งซ้อนอยู่ในกระจังปฏิญาณ ด้านหน้าปิดทองเรียบ ด้านหลังแกะสลักลายปิดทองประดับกระจก