ประโยคนี้น่าจะอธิบายได้ถึงชัยชนะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเพิ่งกล่าวเปิดประชุมสมัชชาที่ 19 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ปีที่ 96) ในช่วงการประชุม 1 อาทิตย์ที่ปักกิ่ง
และเป็นที่คาดการณ์ 100% ว่า เขาจะได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นวาระที่ 2 ในตำแหน่งเลขาธิการพรรค และบริหารประเทศที่มีประชากรถึงเกือบ 1,400 ล้านคน เพื่อเดินหน้าพัฒนาประเทศตามแนวทางที่เขาได้เริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง นำพาประเทศตามแนวทาง Chinese Dream ที่เขาได้พูดไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในการประชุมสมัชชาที่ 18 ที่เขาเพิ่งได้รับเลือกเข้ามากุมบังเหียนของพรรคและของประเทศ
ถ้าย้อนไปเมื่อ 2,064 ปีที่แล้ว แม่ทัพใหญ่ของกรุงโรมคือ จูเลียส ซีซาร (Julius Caesar) ได้ทำศึกชนะสามารถบดขยี้กองทัพบริเวณ Asia Minor (ปัจจุบันคือแถบประเทศตุรกี) ให้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรโรม และเขาได้เขียนจดหมายไปรายงานยังสภา Senate ของโรม โดยได้เขียน (เป็นภาษาละติน) อย่างคล้องจองว่า
“VENI. VIDI. VICI.” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “I Came. I Saw. I Conquered” ถ้อยคำสั้นๆ 3 ประโยคที่จารึกในประวัติศาสตร์ และต่อมาได้นำมาดัดแปลงใช้มากมาย ทั้งในวงการเมือง, วิชาการ, ศิลปวัฒนธรรม
แน่นอนว่า ประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุด เพราะผู้นำโลก (และไทย) หลายคน ไม่สามารถพาตัวเองไปสู่ชัยชนะทั้งของตัวเองและของประชาชน หรือบางทีมาถึงแล้วยังมองไม่เห็นปัญหาที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง หรืออะไรคือสิ่งที่ผิดและจะต้องเข้าไปจัดการแก้ไข
สำหรับ Julius Caesar นั้น เขาเป็นทั้งนักรบที่เก่งกาจมาก และยังเป็นนักปกครอง และนักปฏิรูปอย่างร้ายกาจ พยายามปฏิรูปโรมอย่างไม่ลดละ และยังเป็นนักสื่อสารที่หาตัวจับได้ยาก ทั้งการพูดโน้มน้าวชาวโรมเพื่อยอมรับการปฏิรูป รวมทั้งภาษาเขียนที่สละสลวย กระชับ และเข้าถึงจิตใจผู้คนอย่างดี
เสียดายที่เขาถูกศัตรูทางการเมืองลอบสังหารด้วยมีดดาบขณะกำลังเดินเข้าประชุมสภา เมื่ออายุแค่ 56 ปี แต่ตำนานความยิ่งใหญ่ของเขายังดำรงอยู่นานถึงกว่า 2 พันปีมาตลอด
สำหรับท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แนวรบของท่านคงไม่ใช่นำกองทัพไปบุกยึดแผ่นดินของประเทศอื่น เพื่อขยายอำนาจอิทธิพลแบบที่ซีซาร์ได้ทำ
แต่เป็นการปลุกระดมให้คนจีนลุกขึ้นมาเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง ท่านได้พูดถึง Chinese Dream ซึ่งเป็นฝันที่แตกต่างกับ American Dream เพราะสำหรับคนอเมริกันแล้ว การเข้าไปเป็นผู้อพยพที่อเมริกา (หรือสหรัฐฯ) ก็เพื่อเข้าไปสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคนให้มั่นคงและมั่งคั่ง สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาได้จากการทำงานหนักในระบบทุนนิยมเสรีคือ ต้องมีบ้านเป็นของตนเอง, มีรถยนต์, มีเงินทองใช้, มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น, มีเสียง 1 เสียงสำหรับไปลงคะแนนเลือกผู้แทนเข้าสภา
American Dream ส่องทางให้ผู้คนหลั่งไหลไปสร้างชีวิตใหม่ และฐานะมั่งคั่งในดินแดน “เสรี” ขณะมือใครยาวก็สาวได้สาวเอา แต่ได้ละทิ้งคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ลืมตาอ้าปาก โดยเฉพาะพวกทาสจากแอฟริกาที่ถูกทอดทิ้ง
สำหรับสี จิ้นผิง ได้พูดถึงการต้องสามารถพึ่งตนเองได้ก่อน คือ ต้องผ่านยุคขาดแคลนขณะก่อสร้างบ้านเรือน ไปสู่ยุคพอมีพอกิน และไปสู่ยุครุ่งเรืองสำหรับทุกๆ คน ซึ่งต้องทุ่มเทและผลักดันสรรพกำลังทุกๆ ด้านของชาติให้ขับเคลื่อนไปสู่จุดนั้น โดยฝันว่าช่วง 2020-2035 จะถึงยุคสมัยใหม่ทางสังคมนิยม Socialist Modernization) ตามต่อด้วยช่วง 2035-2050 จนถึงยุค Great Modernized Socialist China ทีเดียว ที่ผู้คนแทบทั้งหมดจะมีสุขภาพดียิ่ง, มีความสุขสบายดียิ่ง ทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก จีนจะไม่น้อยหน้าในชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนทั้งชาติ
ท่านสี จิ้นผิง ได้มองเห็นปัญหามากมาย เมื่อเขาได้เข้ามาเป็นผู้นำของจีนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาประกาศปราบปรามการโกงกินชาติในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ และภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
เมื่อวาน สี จิ้นผิง ประกาศก้องกลางสมัชชา 19 ว่า จีนจะไม่ทนให้คนใดมาโกงชาติ แม้เพียงครั้งเดียว โดยไม่ถูกลงโทษ (Zero Tolerance for Corruption) และในเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ได้ลงโทษจับคนโกงชาติไปแล้วถึง 1 ล้าน 3 แสนคน!
ชาวจีนและชาวโลกได้เห็นอย่างตื่นตาตื่นใจถึงจอมวายร้ายคนแล้วคนเล่าที่ถูกล่าหัวเอามาประจาน และจับเข้าคุก ทำให้ประชาชนให้ได้รู้ถึงความร้ายกาจเล่ห์กลของคนชั่วที่ได้โกงกินภาษีและงบประมาณ หรือรังแกประชาชน ตลอดจนความฟุ้งเฟ้อที่อวดมั่งอวดมี (จากการโกงกินบ้านเมือง) แม้แต่ในกองทัพก็มีการจัดการอย่างเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง จนบริษัทขายนาฬิกาหรู, รถยนต์หรูถึงกับยอดขายตกแรงในตลาดจีนที่เคยเป็นตลาดใหญ่ที่ขายดิบขายดี
การที่เขาเคยเป็น “มนุษย์ถ้ำ” ถึง 7 ปีในช่วงที่ Red Guard ออกมาแผลงฤทธิ์เพื่อล้มล้างบรรดาศิลปวัฒนธรรมเก่าของจีน ตลอดจนนักวิชาการ, คนชั้นกลางที่ถูกลากออกมาจากบ้านที่อยู่สบายๆ เพื่อให้เดินทางไปสู่ชนบทและใช้แรงงานซึ่งบิดาของสี จิ้นผิง ก็ได้รับผลกระทบจนต้องไปถูกจองจำด้วย ตัวเขาเองที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นหนึ่งในผู้นำร่วมกับเหมา ก็มีฐานะที่ดีจนบางคนมองว่าวัยเด็กเขาเป็นระดับ “คุณชาย” ทีเดียว แต่พอแตกเนื้อหนุ่มก็ต้องหยุดเรียน และต้องไปทำงานในชนบท อาศัยอยู่ในถ้ำ และได้สรุปบทเรียนที่ทำให้เขาลุ่มลึก, สุขุม และไม่โฉ่งฉ่างแบบทรัมป์
ชัยชนะอีกอย่างหนึ่งของเขาคือ การคิดโครงการ One Belt-One Road ซึ่งตอนนี้เรียกสั้นๆ ว่า Belt-Road Initiative (BRI) ซึ่งหลายคนมองว่าจะเป็นโครงการแห่งศตวรรษทีเดียว ที่จะสร้างงานอย่างมโหฬารในตลอดเส้นทางของโครงการนี้ จะเป็น Win-Win Project และจะเชื่อมโลกให้ติดต่อกัน, ค้าขายกัน แทนที่จะทำสงครามกัน และแน่นอนว่าจีนก็จะมีอิทธิพลครอบงำตลอดเส้นทางสายไหมใหม่นี้ ทั้งทางน้ำ และทางบก
ช่างแตกต่างกับการแบ่งแยกและปกครองตามวิถีตะวันตก (ที่นำโดยอังกฤษ) แทนที่จะเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน หรือตามแบบของทรัมป์ ที่อเมริกาชนะแต่ผู้เดียว คนอื่นต้องแพ้หมด
ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังแตกแยกทั้งในระดับประเทศ ระดับพรรค, ระดับภูมิภาค รวมทั้งบทบาทการเป็นผู้นำโลก แต่สี จิ้นผิง กำลังขับเคลื่อนผลักดันให้จีนเติบใหญ่อย่างมั่งมีศรีสุขและมั่นคง ด้วยการแก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างถึงลูกถึงคน และสร้างฝันที่กำลังจะกลายเป็นความจริง
ขออย่าพยายามนำมาเทียบกับผู้นำของไทยนะค่ะ