xs
xsm
sm
md
lg

Killing Field ที่เวกัส ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>นายสตีเฟน แพดด็อก มือปืนที่กราดยิงผู้คนกลางคอนเสิร์ตในเมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐฯ</b>
การยิงปืนกลอัตโนมัติ Rifle สาดใส่ผู้คน 22,000 คนที่กำลังเพลิดเพลินกับเทศกาลดนตรีลูกทุ่งส่งท้ายฤดูเก็บเกี่ยวในดึก (22.00 น.) วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่เมืองบันเทิงท่องเที่ยวลาสเวกัส รัฐเนวาดา เป็นความสยดสยองของสังคมอเมริกันที่กำลังท้าทายการแก้ปัญหาจากปธน.คนที่ 45 ของสหรัฐฯ

ถ้าหน่วย SWAT ไม่ได้รีบเร่งไปจัดการกับมือปืนวัยดึกได้ในห้องพักโรงแรม ภายในเวลา 10 นาทีหลังได้รับแจ้งยังไม่รู้ว่าจะมีคนตายอีกจำนวนมากเท่าใด ต้องมากกว่ายอดตาย 59 ชีวิต และบาดเจ็บกว่า 500 คนแน่ (นับ ณ วันที่ 4 ตุลาฯ)

จากหลักฐานที่ตำรวจไปพบในห้องพักที่ชั้น 32 ของโรงแรมแมนดาเล เบย์ พบปืนยาวถึง 23 กระบอก และมือปืนปฏิบัติการคนเดียว ผ่านรูกระจกหน้าต่างที่เขาใช้ค้อนทุบให้แตกเป็น 2 ช่อง เพื่อยิงลงมาเบื้องล่าง สาดกระสุนสังหารผู้คนอย่างบ้าคลั่ง เขาใส่อุปกรณ์ที่ทำให้ปืนไรเฟิลสามารถทำงานได้อัตโนมัติ โดยยิงอย่าง Non-Stop ได้ 10 นาที เขามีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ถึง 10 ใบเพื่อบรรจุอาวุธและลูกปืนจำนวนมากเข้าไปในโรงแรมตั้งแต่วันพฤหัสฯ ก่อนคืนสังหารวันอาทิตย์

ตำรวจไปพบปืนเกือบ 30 กระบอกและกระสุนอีกมากมายที่บ้านของเขาอีก 3 หลัง และยังมีสารทำวัตถุระเบิดที่รถยนต์และในบ้านของเขา

ตำรวจไปติดตามเจ้าของร้านปืนที่ทยอยขายให้เขาหลายแห่ง ปรากฏว่า มือปืนรายนี้ทยอยซื้อมาถึง 20 ปี โดยน้องชาย 2 คนของเขาที่พำนักอยู่ต่างรัฐก็ไม่ระแคะระคายมาก่อน

เขาอยู่ในขั้นเศรษฐีเงินล้าน เพราะมีบ้านถึง 3 หลังใน 2 รัฐ และมีอาคารให้เช่าเป็นสำนักงานด้วย เขาเคยเป็นนักบัญชีของบริษัท Lock Heed ที่ผลิตอุปกรณ์เครื่องยนต์เครื่องบิน และอาวุธยุทโธปกรณ์ขายให้กับทางการสหรัฐฯ

เขาเคยแต่งงานและหย่า ต่อมาได้อยู่กิน (ไม่จดทะเบียน) กับผู้หญิงเชื้อสายฟิลิปปินส์อายุ 62 ปี (อ่อนกว่าเขา 2 ปี)

บ้านที่เขาพักประจำเป็นบ้านใหญ่ อยู่ในหมู่บ้านผู้สูงอายุที่มีอันจะกิน (ที่สหรัฐฯ จะมีหมู่บ้านที่สร้างเฉพาะผู้สูงอายุเกิน 55 ปี โดยไม่มีคู่หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นร่วมอยู่ เพราะคนสูงอายุชอบความสงบไม่หนวกหูจากเด็กวัยรุ่น) เพื่อนบ้านบอกว่า เขาและเพื่อนหญิงชอบปิดม่านตลอดเวลา และเงียบมากจนเหมือนไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย

พ่อของเขาเคยเป็นนักโทษคดีปล้นธนาคาร และได้เคยหนีคุกด้วย เมื่อตอนที่เขาอายุยังน้อย

เขาบอกเพื่อนบ้านว่า เขาเป็นนักพนันชอบเล่นโปกเกอร์พนันครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญ บางทีกลับบ้านหอบเงินมาถึง 2 หมื่นเหรียญ

เขาเป็นชายผิวขาวที่ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมใดๆ เลย แม้แต่ทำผิดกฎหมายจราจร และเวลาไปซื้อปืนยาว (แบบไม่ใช่อัตโนมัติ) ก็ผ่านการตรวจสอบได้สบายมาก
เหตุการณ์ยิงกราดครั้งนี้ มียอดคนตายจากมือปืนเดี่ยวสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เพราะครั้งที่เกิดยิงกราด (โดยนักรบ ISIS) เมื่อปีที่แล้วที่ไนต์คลับของเกย์ชื่อ Pulse (ชีพจร) ที่เมือง Orlando รัฐฟลอริดา มียอดคนตายจากมือปืนเดี่ยว (ใช้ปืนกลยาวอัตโนมัติเช่นกัน) 49 ราย ที่นับว่าเคยเป็นยอดสูงสุดของสหรัฐฯ

ส.ส.และ ส.ว.และอดีตประธานาธิบดีชาวเดโมแครต ต่างออกมาชี้และกดดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนอเมริกันสามารถพกปืนได้อย่างเปิดเผย (Open Carry) และจะเป็นปืนสั้นปืนยาวได้ทั้งนั้น รวมทั้งปืนเก็บเสียงด้วย! ซึ่งปืนก็หาซื้อได้ง่ายยังกับซื้อขนมมากิน และในบางรัฐเท่านั้นที่จะมีข้อห้ามประชาชนซื้อปืนแบบอาวุธสงคราม (ไรเฟิลอัตโนมัติ)

อดีตปธน.โอบามาถึงกับสะอื้นไห้หลังร.ร.อนุบาลแซนดี้ฮุกที่เมืองนิวทาวน์, รัฐคอนเนกติกัต ถูกมือปืนเด็กวัยรุ่นเอาปืนยาวมากราดยิงเด็กๆ และคุณครูเสียชีวิต

โอบามาพยายามผลักดันให้แก้ไขกฎหมายพกพาซื้อขายปืนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น คือต้องมีตรวจคัดกรองประวัติผู้ซื้อปืน ว่าเคยเป็นคนไข้โรคจิตมั้ย? เคยมีประวัติอาชญากรมั้ย ฯลฯ ไม่ใช่ซื้อขายง่ายๆ

ความพยายามของเหล่าอดีตปธน.เดโมแครตดูจะไร้ผล เพราะสมาคมปืนยาวแห่งชาติ (National Rifle Association) ซึ่งมั่งคั่งมาก (จากการขายปืนของบรรดาสมาชิก) และทรงอิทธิพลที่บริจาคเงินก้อนโตให้กับการเลือกตั้ง ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ เพื่อสนับสนุนผู้สมัคร (ส่วนใหญ่เป็นรีพับลิกัน) เข้าไปเต็มสภา เพื่อคอยคัดค้านไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการพกปืน

ในครั้งนี้กับเหตุสยองที่ลาสเวกัส ปธน.ทรัมป์รีบออกมาดักคอเหล่าผู้ที่อยากใช้จังหวะทองเพื่อรณรงค์ให้มีการแก้กฎหมายพกปืนให้ได้ เขาบอกว่า “นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแก้กฎหมายพกปืน ขอให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง!”
<b>โดนัลด์ ทรัมป์</b>
ขณะที่ฮิลลารี คลินตัน และชาวเดโมแครต รวมทั้งบรรดาญาติของผู้เสียชีวิตและที่บาดเจ็บสาหัสจาก “ห่าฝนลูกกระสุน” ที่มาทั้งปลิดชีวิตและทำให้เกิดการบาดเจ็บพิการสาหัสมากต่างบอกว่า พอกันทีสำหรับพิธีกรรม (หลังการกราดยิง) ที่มีอยู่ 3 อย่างที่จะตามมาคือ

แสดงความเสียใจอาลัยสุดซึ้งกับผู้จากไป และที่กำลังเจ็บป่วยพิการจำนวนมาก

ลดธงครึ่งเสา เป็นการอาลัยระดับชาติ (National Mourning)

ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยทั้งประเทศ

สิ่งที่ 4 ที่จะต้องทำคือ จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีกต่างหาก ซึ่งแม้จะป้องกันไม่ได้ 100% แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

กฎหมายพกพาปืนที่เข้มแข็งเข้มงวดในหลายประเทศ เช่น ในยุโรป, ที่ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มาเลเซีย, สิงคโปร์ เป็นต้น คนร้ายคนเดียวอาจใช้แค่มีดจ้วงแทง หรือขับรถยนต์ชนคน ก็ยังไม่ทำให้คนตายและบาดเจ็บจำนวนมากมายกระสุนจากปืนไรเฟิลอัตโนมัติเป็นหมื่นๆ นัดที่จะยิงออกมาติดต่อกันภายใน 10 นาที

สำหรับที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 1966 (ครบ 50 ปีพอดี) เคยมีเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี (เป็นโรคจิต-สมองเท่ากับเด็กอายุ 11 ขวบเท่านั้น) เอาปืนออกมากราดยิงที่ Port Arthur เกาะทัสมาเนีย ทำให้คนตายไป 35 คน บาดเจ็บ 23 คน

นายกฯ จอห์น โฮเวิร์ด ตัดสินใจสวนทางกับสมาคมปืนไรเฟิล แก้กฎหมายพกพาปืนอย่างเข้มแข็ง จนตัวเองต้องสวมเสื้อเกราะกันกระสุนขณะนำร่างกฎหมายเข้าสภา และเมื่อกฎหมายผ่านสภาแล้ว ตอนนี้อาชญากรรมจากการกราดยิงได้ลดลงไปมาก จนทำให้จอห์น โฮเวิร์ด ได้กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกถึง 2 สมัยทีเดียว

อาจเป็นกรรมเก่าของสหรัฐฯ ที่มีบริษัทขายอาวุธเพื่อไปทำสงครามในต่างประเทศ และบริษัทขายอาวุธก็ทรงอิทธิพลจนมองยอดขายอาวุธสำคัญกว่าชีวิตของเพื่อนร่วมชาติที่ต้องตายจากไปปีละมากมาย

และสหรัฐฯ ก็คงวนเวียนอยู่กับ Killing Field แบบ Las Vegas นี้ไปอีกนานแสนนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น