ช่วงวันที่ 19-24 กันยานี้ เธอน่าจะเป็นผู้กล่าวปราศรัยในสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ ในฐานะผู้นำของสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นความเหมาะสมสำหรับผู้หญิงคนแรกที่ได้รับคัดเลือกมานำประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก และมีแสนยานุภาพที่เข้มแข็งที่สุดเช่นกัน
ตลอดจนการเตรียมการตั้งแต่เป็นประธานนักศึกษาวิทยาลัย Wellesley และเรียนมาทางด้านรัฐศาสตร์ ต่อด้วยเรียนกฎหมายที่ Yale และฝึกหัดด้านการเมืองให้กับพรรคการเมืองพักใหญ่ๆ จนมาเป็นภรรยาของผู้ว่าการรัฐ Arkansas หลายปี และเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งถึง 8 ปี แล้วมาเป็นวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กอีก 2 สมัย ตบท้ายด้วยเป็นผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตแข่งกับโอบามา ต่อมาก็ไปนั่งเป็นรมต.ต่างประเทศ 4 ปีเต็มๆ
เป็นความเพียบพร้อมที่แทบจะสมบูรณ์แบบในด้านความรอบรู้ ความสามารถ ประสบการณ์การเป็นผู้นำ และจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่จะนำประเทศที่ยิ่งใหญ่สุดขณะนี้ อย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่นๆ จะเพียบพร้อมเท่านี้
แต่เธอก็มาพ่ายแพ้ต่อนายทรัมป์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่เติบโตมากับการก่อสร้าง และธุรกิจบ่อนพนัน และไม่เคยผ่านงานรับใช้ชาติจากตำแหน่งเลือกตั้งใดๆ รวมทั้งไม่เคยรับราชการทั้งทหารหรือพลเรือนก็ตาม แต่เป็นดาราทีวี Reality Show ที่มีแต่ “ไล่คนออก” จากงานเท่านั้น
เธอเจ็บปวดมากหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว และได้นั่งปลีกวิเวกทำใจอยู่ 2-3 เดือน ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อ What Happened เพื่อสังเคราะห์วิเคราะห์จากมุมมองของผู้พ่ายแพ้ว่า ทำไมจากที่คะแนนนำมาตลอด ตั้งแต่เริ่มหาเสียง จนชนะคู่แข่งในพรรค จนชนะการ Debate นำเสนอนโยบายและโต้คารมกับทรัมป์ถึง 3 ยก “อย่างไม่ต้องสงสัย”
ขณะนี้เธอกำลังเดินสายเปิดตัวขายหนังสือเล่มนี้ไปทั่วสหรัฐฯ โดยจะไปแวะถึง 15 เมืองใหญ่ และเดินสายให้สัมภาษณ์รายการทีวีดังๆ ทุกๆ รายการ
เนื้อหาในหนังสือได้ยอมรับว่า เธอต้องรับผิดชอบต่อการหาเสียงครั้งนี้ ซึ่งมีหลายสิ่งที่เธอเป็นผู้ได้ก่อเอาไว้ก่อน จนทำให้เสียคะแนนเช่น
การนำ Server โทรศัพท์ของกระทรวงการต่างประเทศ (ขณะเป็นรมต.ต่างประเทศของโอบามา-ในสมัยแรกของเขา) มาใช้ร่วมกับโทรศัพท์ส่วนตัว อันนี้เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งกลายเป็นคดีใหญ่โตช่องโหว่ที่ฝ่ายรีพับลิกันโจมตีว่า เธอไม่เหมาะเป็นประธานาธิบดี เพราะสับสนเรื่องความลับของชาติ (จะถูกเปิดเผย) มาเป็นกับเรื่องส่วนตัว
แต่เธอก็ได้ยอมให้ทาง FBI เข้ามาตรวจสอบ E-mail ส่วนตัวหมด และผ่านการตรวจอย่างเข้ม และไม่พบความผิดอะไรแล้ว
เรื่องที่สองคือ ช่วงที่เธอกล่าววิพากษ์วิจารณ์ผู้สนับสนุนของทรัมป์ว่าเป็น “A Basket of Deplorables” หรือเป็นกลุ่มคนที่น่าตำหนิมาก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ผลักไสคนเหล่านี้ที่ยังวิ่งหนีออกไปจากเธอ รวมทั้งคนกลางๆ ที่บางทียังไม่ได้ตัดสินใจ ก็เลยไม่มาอยู่ข้างเธอ
จริงๆ แล้วเธอได้ออกมาขอโทษขอโพยอย่างมากต่อคำกล่าวของเธอ แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป
เรื่องที่สามคือ การที่เธอไปเป็นผู้บรรยายให้กับบริษัทการเงิน Goldman Sachs และถูกโจมตีอย่างมากจากคู่แข่งในพรรคคือ Bernie Sanders ซึ่งเธอบอกว่า คาดไม่ถึงว่าผลทางลบเกิดขึ้นมากมาย
หนังสือเล่มนี้ เธอได้ชี้ว่า การพลิกผันมาจากคะแนนนำกลายเป็นพ่ายแพ้ เกิดมาจาก
ผอ.FBI James Comey ที่ยื่นจม.ถึงสภาใน 11 วันก่อนลงคะแนนเพื่อจัดให้มีการสอบสวนอีกครั้งเรื่อง E-mail ของเธอ ทำเอาคะแนนที่เธอนำทรัมป์อยู่มาก-เกิดอาการร่วงผล็อยลงมา
เธอบอกว่า Comey คือผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ เพราะไม่งั้นเธอต้องชนะแน่ๆ
เรื่องนี้นาย Comey ในที่สุดก็ถอย ไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่คะแนนของเธอมันเสียหายไปแล้ว
คู่แข่งในพรรคคือ Bernie Sanders ซึ่งโจมตีเธอแบบสาหัสสากรรจ์ บั่นทอนความไว้วางใจจากชาวเดโมแครต เสียจนเธอได้คะแนนจากเดโมแครตเองเสียหายไปเกือบ 20% ของผู้สนับสนุน Bernie พวกเขากลับไปลงคะแนนให้ทรัมป์ในที่สุด
การแทรกแซงจากรัสซัย ซึ่งในช่วงที่เธอกำลังเขียนหนังสือนี้ ยังไม่ได้มีการเปิดโปงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างลูกๆ ของทรัมป์ ตัวทรัมป์เอง และทีมงานหาเสียงของทรัมป์ ที่ไปติดต่อกับทีมรัสเซีย
แต่ความลับของฝ่ายเดโมแครตถูกเปิดออกมาล่อนจ้อนผ่านทาง Wikileaks โดยทรัมป์เอง ได้พูดผ่านทีวีอ้อนวอนให้ปูตินดำเนินการเพื่อ Hack ข้อมูลของฝ่ายฮิลลารี จน E-mail ของผจก.หาเสียงของเธอถูกเจาะออกมาเผยแพร่จนหมดสิ้น
เธอย้ำว่า ปฏิบัติการของรัสเซียคงไม่หยุดที่เธอเท่านั้น แต่มันจะยิ่งกว้างขวางและแทรกแซงการเมืองของสหรัฐฯ อย่างน่ากลัวมาก
สิ่งที่นักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่า ได้ขาดหายไปจากหนังสือนี้ก็คือ การยอมรับว่านโยบายที่เธอเสนอนั้น ดูจะไม่โดนใจคนอเมริกันส่วนใหญ่ (แม้เธอจะชนะ Popular Vote ก็ตาม) เนื่องจากเธอมาเจอกับนักประชาสัมพันธ์สุดยอดแบบทรัมป์ ที่คิดคำขวัญที่ตรงใจมากคือ “อเมริกาต้องมาก่อน (America first) และ “ต้องพลิกฟื้นให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” ซึ่งดูมีสีสันเข้าถึงจิตใจของผู้เจ็บปวดจากการตกงาน (ที่เป็นผิวขาวผู้ใช้แรงงานที่เคยเป็นเดโมแครต) เมื่อเทียบกับคำขวัญของเธอคือ Stronger Together ที่ดูไม่สะท้อนความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้
เมื่อออกรายการทีวี เธอได้พูดถึงการนั่งรถกลับบ้านที่นิวยอร์ก (1 วันหลังความพ่ายแพ้) สามีบิล คลินตัน ได้พยายามพูดให้กำลังใจตลอด เพราะช่วงนั้นเธอบอกว่ามันเจ็บปวดมาก และเหมือนจิตใจหลุดออกจากร่างกายไปเลย คือหมดจิต หมดใจไปหมด
สามีปลอบมาตลอดทางว่า “ผมภูมิใจในตัวคุณเป็นที่สุด” และ “มันเป็นสุนทรพจน์” (ที่ยอมรับความพ่ายแพ้) ที่เยี่ยมที่สุด เป็นสามีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เธอตบท้ายการสนทนาทางทีวีว่า เธอจะไม่ลงสมัครแข่งขันในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีก (เช่น ส.ส., ส.ว., ผู้ว่าการรัฐ, ประธานาธิบดี) แม้ว่านายทรัมป์ (ที่อายุแก่กว่าเธอ) น่าจะลงสมัครในสมัยหน้าแน่ๆ ดูจากที่เขาวางแผนทุ่มงบประมาณก้อนมหึมาสร้างและซ่อมแซมสาธารณูปโภคถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ (35 ล้านล้านบาท) ในรอบ 5-6 ปีนี้
แต่เธอจะเดินหน้าการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้บ้านเมือง (ภายใต้ทรัมป์) กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง!