xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“บิ๊กตู่” โปรดฟัง ไม่เอา “หมูทรัมป์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ราคาที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องจ่ายในการได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาในฐานะแขกบ้านแขกเมืองช่วงเดือนตุลาคม2560 ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกปากเชิญผู้นำไทยให้มาเยือนสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีอยู่หลายรายการ บรรจุไว้เต็มแฟ้มประชุมหารือ

นอกจากเตรียมอุดหนุนซื้อยุทโธปกรณ์ทั้งเครื่องบิน ขีปนาวุธติดตั้งบนเรือฟรีเกต เข้าร่วมบอยคอต “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนือต้านภัยนิวเคลียร์ ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เร่งรัดสิทธิบัตรยาแล้ว รายการล่าสุดก็คือเรื่อง “หมูๆ” ที่กำลังร้อนฉ่าขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้ เพราะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศกลัวว่าท่านผู้นำของไทย จะไปตกปากรับคำกับทรัมป์ยอมนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เข้ามาตีตลาดไทย

เหตุที่หวั่นและต้องเคลื่อนไหวค้านกันมาตลอดหลังสหรัฐฯพยายามจะส่งออกเนื้อหมูมาไทยตั้งแต่สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ในเวลานี้ ก็คือว่า ถ้าแรงบีบของสหรัฐฯ ประสบผลสำเร็จ ประชาชนคนไทยมีหวังเจอแจ๊คพ็อตเข้าไปหลายเด้งแบบเต็มๆ

หนึ่ง ประชาชนคนไทยทั้งกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ระดับโลกไปจนถึงผู้เลี้ยงหมูรายย่อยทั่วประเทศ หลายหมื่นหลายแสนหรืออาจมีจำนวนถึงหลักล้านครัวเรือน ต้องได้รับผลกระทบอย่างจังเบอร์ เจ๊งกันระนาว เป็นกลุ่มแรกๆ โดยเฉพาะรายย่อยที่มีการประเมินกันว่าจะล้มหายตายจากกันมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว

สอง เกษตรกรจำนวนมหาศาลหลายสิบล้านคนที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เกษตรกรพืชไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ฯลฯ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ก็ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนกระทบกระเทือนกันถ้วนหน้า

สาม ผู้บริโภคหรือคนไทยทั้งประเทศ ที่นิยม “กินหมู” ต้องเสี่ยงต่อการได้รับสารเร่งเนื้อแดงจากเนื้อหมูสหรัฐฯ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูชาวมะกันใช้สารเร่งเนื้อแดงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ประเทศไทย มีกฎหมายห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงเนื่องจากมีผลศึกษาว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

สี่ ผลกระทบต่อชื่อเสียงครัวไทยในฐานะ “ครัวของโลก” ที่ประชาชนคนไทยและรัฐบาลเฝ้าเพียรพยายามโปรโมทต่อชาวโลกเรื่องสุขอนามัย ทั้งปลอดภัย ทั้งอร่อยถูกปาก หาก “ครัวไทย-ครัวโลก” ใช้หมูที่ปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงก็คงสูญเสียจุดขายสำคัญ

ดังนั้น ในบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหารทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูที่รวมตัวกันเป็นสมาคมทั้งระดับประเทศและระดับภาค จึงมีการเคลื่อนไหวออกมาคัดค้านการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

พร้อมกับเรียกร้องไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ไปตกปากรับคำประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ระหว่างการพูดคุยเจรจากันในเรื่องการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า สหรัฐฯ เตรียมบี้ไทยเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น เพราะเวลานี้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยยับเยิน

โดยที่ผ่านมาเมื่อเดือนมี.ค. 2560 ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษ เพื่อดำเนินการตรวจสอบการขาดดุลการค้ากับไทย และอีก 15 ประเทศ ซึ่งปี 2559 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐราว 1.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ

ดังนั้น ก่อนหน้าที่ทีมงานของกระทรวงพาณิชย์ จะบินไปสหรัฐฯ เพื่อเตรียมงานรอพล.อ.ประยุทธ์ ไปเยือนสหรัฐฯ ทาง นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ก็นัดแนะสมาชิกผู้เลี้ยงหมูกว่าร้อยคนมาที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ยกป้ายคัดค้านนำเข้าหมูสหรัฐฯ เพื่อตอกย้ำจุดยืนอย่าไปยอมสหรัฐฯ เด็ดขาด

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พูดชัดว่า ในการเจรจาลดการขาดดุลของสหรัฐฯ รอบนี้มีหัวข้อการเจรจาเกี่ยวกับความต้องการให้ไทยนำเข้าเนื้อสุกรสหรัฐฯ ด้วย

“.... คณะของกระทรวงพาณิชย์จะเดินทางไปสหรัฐฯก่อน พวกเรามีความกังวลจึงต้องมายืนยันการคัดค้าน .... ขอย้ำว่าเนื้อสุกรจากสหรัฐมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง แรคโตพามีน อย่างกว้างขวาง แต่สารดังกล่าวเป็นสารต้องห้ามตามบัญญัติและกำหนดบทลงโทษในกฎหมายไทยของกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณสุข สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ จึงขอให้รัฐบาลไทยยืนยันการห้ามนำเข้าเนื้อสุกรที่มีสารเร่งเนื้อแดงอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริโภคชาวไทย และปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทางการเกษตรที่เป็นรากฐานและเสาหลักของประเทศ

“สมาคมฯ และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ยืนยันคัดค้านการนำเข้าสุกรสหรัฐฯอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้การตัดสินใจในเรื่องนี้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ทำลายผู้เลี้ยงสุกร และทำลายสุขอนามัยของคนในชาติ” นายสุรชัย ประกาศจุดยืน

สอดประสานกับความเคลื่อนไหวจากพื้นที่หัวเมืองในภูมิภาค โดย นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ ก็นำสมาชิกไปยื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13กันยายนที่ผ่านมา ย้ำว่าขอให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนเรื่องการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ให้รอบคอบ เพราะปัจจุบันปริมาณการผลิตเนื้อหมูในไทยล้นตลาดอยู่แล้ว

ถ้าขืนหากปล่อยให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาอีก จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมและทำลายโครงสร้างระบบการผลิตและการตลาดเนื้อหมูของไทย จากที่ทุกวันนี้ที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก โดยมีต้นทุนการผลิตเนื้อหมูอยู่ที่กิโลกรัมละ 55-56 บาท แต่มีราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 57-58 บาท ได้กำไรเพียงกิโลกรัมละ 1-2 บาท เท่านั้น

นอกเหนือจากผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูแล้ว ยังมีประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพเรื่องสารเร่งเนื้อแดง โดยประเทศไทยห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ในการเลี้ยงหมู โดยมีกฎหมาย 3 ฉบับที่ควบคุม

ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์การจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 และพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ห้ามใช้สารกลุ่มนี้ แม้ว่าบางประเทศจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) ที่มีมติให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง คือ แรคโตพามีน (Ractopamine) ได้ตามเกณฑ์กำหนดค่าสูงสุดที่กำหนดไว้ในการเลี้ยงหมู

นับเป็นการบ้านข้อใหญ่ของชุดเตรียมงานล่วงหน้า ที่นำโดย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่นำคณะตัวแทนจากรัฐบาลไทย เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงระหว่างวันที่ 12-17 กันยายนนี้ เพื่อเตรียมการก่อน “นายกฯ ประยุทธ์” จะเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้

“ชุดล่วงหน้า” จะเตรียมแผนรับมือกับประเด็นร้อน มีผลกระทบวงกว้างทั้งต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ห่วงโซ่อาหารสัตว์ และสุขอนามัยของประชาชนคนไทยทั้งประเทศนี้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนไทยทั้งประเทศ อย่าลืมว่า การรุกคืบในเรื่องนี้ของสหรัฐฯ เพื่อเปิดตลาดเนื้อหมูในไทยมีมาโดยตลอด และรุกหนักภายหลังจากโคเด็กซ์อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง “แรคโตพามีน” ในการเลี้ยงหมูได้แต่ต้องไม่พบการตกค้างในเนื้อสัตว์เกินกำหนดไว้เมื่อเดือน กรกฎาคม 2555

ในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงนั้น สหรัฐฯ เคยส่ง นางคริสตี้ แอนด์ เคนนีย์ ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอเมริกาอเมริกาประจำเมืองไทย เข้าหารือกับ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 โดยสหรัฐฯ ขอให้ไทยพิจารณานำเข้าเนื้อหมูจากอเมริกา แต่การเจรจายังไม่มีข้อสรุป รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็มีอันเป็นไปจากการเข้ายึดอำนาจของคณะ คสช. เสียก่อน

งานนี้ ต้องวัดใจ “รัฐบาล คสช.” ว่ารายการที่สหรัฐฯ ขอมา คุ้มกับ “วีซ่าใบเดียว” ของ “ลุงตู่” ที่หวังไปเหยียบทำเนียบขาว เพื่อหวังให้ “ทรัมป์” ประทับตรารับรองให้นานาประเทศยอมรับ ในฐานะประเทศประชาธิปไตยหรือ ??

หากเป็นเช่นนั้น คงหนีไม่พ้นข้อครหาที่ว่า อะไรๆ ที่ว่าทำไม่สำเร็จในรัฐบาลพี่น้องชินวัตร ก็มาปิดดีลโดยรัฐบาล คสช.จัดให้ตามคำขอแบบรับประกันไม่ผิดหวังแน่นอน หรือไม่??


กำลังโหลดความคิดเห็น