ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แรกเริ่มเดิมที ทำท่าว่าการย้าย “พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” พ้นเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)” จะจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง พร้อมกับการแต่งตั้ง “มานัส ทารัตน์ใจ” อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) มาทำหน้าที่แทน เพราะกระแสข่าวที่ออกมาดูเหมือนว่า เจ้าตัวจะไม่ติดใจอะไรกับการถูกเด้งเข้ากรุในครั้งนี้
แต่ทำไปทำมาเรื่องทำท่าจะกลายเป็น “มหากาพย์” เสียแล้ว เพราะหลังถูกเด้งแรงกดดันจากกรรมการ(บางรูป) ในมหาเถรสมาคม(มส.) พ.ต.ท.พงศ์พรที่แรกๆ ก็สงบนิ่ง กลับมีความเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้เสียแล้ว
โดยจุดแตกหักเกิดขึ้นในวันที่ 6 กันยายน เมื่อ นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 214/2560 ให้ พ.ต.ท.พงศ์พร รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ตำแหน่งที่ 15 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมแต่งตั้งให้ นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผอ.พศ.
แต่ที่เด็ดที่สุดและ “โหด” เหนือคำบรรยายก็คือ การมอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พรรับผิดชอบการตรวจราชการในเขตตรวจราชการที่ 8 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
เรียกว่า ส่งลงไปทำงานรับผิดชอบในพื้นที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า เหตุที่ย้ายมาสำนักนายกรัฐมนตรีก็เพราะต้องการให้มาช่วยงานด้านการปฏิรูปศาสนา ซึ่งมีความสำคัญ และให้มาอยู่ใกล้ๆ ตัว จนเกิดคำถามดังทั้งแผ่นดินถึงเจตนาในการมอบหมายเขตอำนาจความรับผิดชอบดังกล่าวว่า “นี่หรือคือการตอบแทน”
จากนั้น ในวันเดียวกัน พ.ต.ท.พงศ์พรก็ได้ทำหนังสือถึง “นายออมสิน ชีวะพฤกษ์” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น และเมื่อพิจารณาจากเนื้อความในจดหมายของ พ.ต.ท.พงศ์พรแล้วสามารถใช้คำว่า สถานการณ์ถึงขั้น “แตกหัก” และ “ติดดาบปลายปืน” คือพร้อมที่จะตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งกันเลยทีเดียว
“กระผมขอเรียนว่า 1.การรับโอนและการให้ไปช่วยราชการข้างต้นนั้น มิได้เป็นไปโดยความรู้เห็นหรือความสมัครใจของเจ้าตัว
2.เมื่อมติคณะรัฐมนตรี มีผลให้กระผมพ้นจากตำแหน่ง นับตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฉะนั้น กระผมจึงยังอยู่ในตำแหน่งนี้และมีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งทุกประการ จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขดังกล่าว
3.การขอและการให้ยืมตัวกระผมไปช่วยราชการ ทั้งที่รู้ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติข้างต้น อาจขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และอาจกระทบพระราชอำนาจได้
4.การอนุมัติให้ยืมตัวของท่าน พิจารณาเพียงว่าสำนักนายกรัฐมนตรีไม่เสียหาย แต่มิได้พิจารณาว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง (พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มาตรา 46) เสียหายหรือไม่ อนึ่ง การให้ยืมตัวหัวหน้าส่วนราชการขณะที่มีรองหัวหน้าส่วนราชการซึ่งใกล้เกษียณ (1 ตุลาคม 2560) เหลือเพียงนายคนเดียวน่าจะทำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีภารกิจกว้างขวางเสียหายได้
5.การอนุมัติให้ยืมตัวผมไปช่วยราชการ มิใช่กฎหมาย จึงไม่ทำให้กระผมพ้นจากตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง อีกทั้งในความเป็นจริงกระผมยังปฏิบัติราชการในตำแหน่งได้ โดยมิต้องนั่งประจำที่สำนักงานพระพุทธศาสนา ฉะนั้น การรักษาราชการแทนตามคำสั่งที่อ้างถึงจึงยังไม่เกิด เพราะการรักษาราชการแทนเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิใช่การแต่งตั้งของผู้ใด นอกจากนี้การแต่งตั้งตามคำสั่งที่อ้างไม่จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพียงคนเดียว (พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 46)
6. การถือปฏิบัติตามคำสั่งที่อ้างถึงในขณะนี้ จะทำให้เกิดการปฏิบัติราชการโดยปราศจากอำนาจทางกฏหมาย ทำให้เสียหายแก่ราชการร้ายแรงได้
7.การแจ้งให้กระผมไปช่วยราชการ ยังมิได้กระทำโดยผู้บังคับบัญชา”
จดหมายของ พ.ต.ท.พงศ์พรดำเนินไปแบบเนื้อๆ เน้นๆ และสะท้อน “ความเสื่อมของ คสช.” ให้เห็นกันแบบไม่อธิบายขยายความ
พลันที่ จม.ของ พ.ต.ท.พงศ์พรออกมา เรื่องก็ร้อนฉ่าไปทั้งรัฐบาล จนบรรดาผู้เกี่ยวข้องต้องออกมาแก้ตัวและอธิบายเป็นพัลวัน ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามตามมาถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังของจดหมายฉบับดังกล่าวที่รุนแรงถึงขั้นผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ
โดยตัวละครสำคัญที่ต้องจับตาก็คือ “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า มีบทบาทสำคัญในการโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร
นายวิษณุซัดเปรี้ยงทันทีว่า “มีคนพยายามที่จะทำให้เกี่ยวเพื่อให้พระทะเลาะกันเอง หรือพระทะเลาะกับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลรู้หมดแล้วว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังกลไกเหล่านี้ ที่ย้ายเพราะจำเป็นต้องให้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง แต่ในช่วงเวลาที่รอเวลาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง การทำงานก็ยังต้องเดินต่อไป จึงให้นาย กนก แสนประเสริฐ รอง ผอ.พศ. รักษาการไปก่อน เพราะรู้เรื่องภายในเป็นอย่างดี”
พร้อมย้ำด้วยว่า “หน้าที่ของ ผอ.พศ.นั้น ไม่ต่างอะไรกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเลขาฯ ครม.จะมีเรื่องกับ ครม.ไม่ได้ ฉันใด ผอ.พศ.จะมีเรื่องกับ มส.ไม่ได้ฉันนั้น” ซึ่งเป็นคำตอบและบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดว่า ทำไมถึงต้องย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร
ส่วนเรื่องทุจริตเงินทอนวัด นายวิษณุก็อธิบายเอาไว้ชัดเจนว่า “การตรวจสอบเรื่องการทุจริตโดยเริ่มจากภายในไปสู่ภายนอก ว่ามีอดีต ผอ.พศ.เจ้าหน้าที่ หรือพุทธศาสนาจังหวัด (พสจ.) จังหวัด คนใดไปเกี่ยวข้อง รู้เห็นเป็นใจ เมื่อพบว่าผิดแล้วมีหลักฐานซัดทอดไปถึงใคร เช่น สังฆการี ไวยาวัจกร พระ คนภายนอก จึงสาวไปถึงคนเหล่านั้น ไม่ใช่สอบจากพระแล้วสาวมาถึงบุคคลในกรม เพราะงบประมาณรัฐจัดให้กรมไปจัดสรร ไม่ใช่จัดให้วัด”
แปลไทยเป็นไทยก็คือ การทำหน้าที่ของ พ.ต.ท.พงศ์พรในช่วงที่ผ่านมานั้นไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้น พ.ต.ท.พงศ์พรคงต้องย้อนไปศึกษาและเรียนวิชาจากนายวิษณุกระมังว่า เหตุไฉนถึงได้รับฉายาอันทรงเกียรติว่า “เนติบริกร”
ขณะที่นายออมสินก็พลอยพยักไปในทำนองเดียวกันและมีปฏิกิริยาที่รับรู้ได้ถึงความไม่พึงพอใจที่มีต่อ พ.ต.ท.พงศ์พร ว่า “นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ผมกำกับดูแลงาน พศ. ดังนั้น ถือว่าผมเป็นผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ท.พงศ์พร ...ฉะนั้น จะไม่รับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคงไม่ได้กระมัง”
ด้วยเหตุดังกล่าว สภาพของ พ.ต.ท.พงศ์พรที่เป็นฮีโร่ในสายตาของประชาชน ได้กลายเป็น “สิ่งไร้ค่า” ในสายตาของผู้มีอำนาจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทำท่าว่าเส้นทางชีวิตการรับราชการน่าจะไม่รุ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
“คำสั่งจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นั้นค่อนข้างจะรวบรัดรวดเร็วผิดปกติ อีกทั้งยังย้อนแย้งกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการโยกย้ายผอ.พศ. ที่ให้เหตุผลว่าเพื่อให้มาทำงานปฏิรูปศาสนา ซึ่งก็จะมาทำงานอยู่ใกล้ๆตัว แต่จากคำสั่งกลับเป็นการย้ายให้ไปตรวจราชการ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การย้ายครั้งนี้มันจะช่วยปฏิรูปศาสนาได้อย่างไร และมีสิ่งผิดปกติจากการย้ายครั้งนี้หรือไม่”
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้ความเห็นแบบตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.พงศ์พร
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.พงศ์พรสะท้อนให้เห็นว่า อิทธิพลของพระชั้นผู้ใหญ่(บางรูป) ในมหาเถรสมาคม(มส.) นั้นไม่ธรรมดา และยากยิ่งต่อการบริหารจัดการเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือรัฐบาลก็เลือกที่จะไม่เผชิญหน้าด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงอย่าหวังว่าจะเกิดการ “ปฏิรูปศาสนา” ขึ้น ยิ่งการผลักดันให้มีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัด โดยเฉพาะวัดดังๆ วัดใหญ่ๆ ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมหาศาลด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
และใบเสร็จที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การเลือกตัว ผอ.พศ.คนใหม่ ที่จะมาแทน “พ.ต.ท.พงศ์พร” ที่ถูกเด้งเข้ากรุ “ผู้ตรวจราชการ” หลังจากปล่อยข่าวมาอย่างต่อเนื่องงว่าหวยจะออกที่คนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) บ้าง หวยจะออกที่ตำรวจอย่าง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา บ้าง แต่ในที่สุดก็มาลงเอยที่ชื่อของ “มานัส ทารัตน์ใจ” อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.)
เพราะเป็นมหามานัส มหาเปรียญ 6 ประโยคที่ต้องใช้คำว่าถูกใจ “มหาเถรสมาคม(มส.)” เป็นยิ่งนัก ไม่เหมือนกับ พ.ต.ท.พงศ์พรที่ มส.ประกาศชักแถวไม่ร่วมสังฆกรรมและกดดันให้ต้องพ้นจากตำแหน่งได้ในที่สุด
การเลือก มหาเปรียญธรรม 6 ประโยคอย่าง “มานัส ทารัตน์ใจ” คือ “ใบเสร็จ” ชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันไม่ธรรมดาของกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ต้องถือว่าเป็นส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และมีอำนาจเต็มอยู่ในมือก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้จนสุดท้ายต้องยอมจำนนแต่แรงกดดันจาก มส.
แม้ “ออมสิน ชีวะพฤกษ์” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยงานต้นสังกัดของ พศ. จะอ้อมแอ้มออกมาบอกว่า ไม่ได้ไปปรึกษาหารือ มส.หรือไปถามความเห็นจาก มส. ก่อนเลือก “มหามานัส” แต่ทุกบรรทัดที่รัฐมนตรีออมสินชี้แจงก็บ่งบอกคำตอบเอาไว้อย่างสมบูณ์ในตัวเอง
“นายมานัส เป็นคนดี คนเก่ง มีความประนีประนอม และน่าจะทำงานกับ คณะสงฆ์ได้ดี...มส.ไม่ได้ร่วมพิจารณา แต่ทราบว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากมส. จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาการทำงานกับคณะสงฆ์อีก เพราะนายมานัส เคยบวชเป็นพระภิกษุ สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค รวมถึงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเคยไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยปูนา ประเทศอินเดีย จึงทำให้เห็นว่า นายมานัส มีคุณสมบัติเหมาะสม”
ขณะที่ตัวมหามานัสเองก็รับรู้ในวิถีการทำงานของตนเองในเก้าอี้ ผอ.พศ.
ดังคำที่ให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่า “การที่จะต้องไปดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. ยอมรับว่า หนักใจอยู่บ้าง แต่ก็จะต้องไปดูงานที่ พศ.ว่า จะต้องมีเรื่องไหนต้องดำเนินการบ้าง ...สิ่งที่ผมเน้นย้ำ คือ การประสานงานกับคณะสงฆ์ โดยเฉพาะ มส. เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะเชื่อว่า หากมีการประสานงานที่ดีระหว่างคณะสงฆ์ และพศ. เชื่อว่า การบริหารงานต่างๆ จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
แน่นอน ไม่มีใครไม่ยอมรับในความดี ความเก่งและความเหมาะสมของ ผอ.พศ.คนใหม่ แต่คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับบทบาทหน้าที่ของ พศ.นับจากนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการในอีก 1 ปีข้างหน้า การตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนวัดหรือเงินทอนวัด การเบิกงบประมาณเพื่อไปใช้จ่ายในโรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดดังๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีโรงเรียนอยู่จริง จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นหรือจะค่อยๆ เงียบหายไปทีละน้อยตามนโยบายของรัฐบาล
เหล่านี้ ต่างหากคือสิ่งที่สังคมต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเพราะเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมาว่าต้องการตัดตอนและเป่าคดีให้เงียบหายไป
นี่ไม่นับรวมถึง “ระเบิดลูกใหญ่” ที่ถูกวางไว้จากกระทรวงมหาดไทยเมื่อครั้งที่ “นายพนม ศรศิลป์” เป็น ผอ.พศ. นั่นก็คือการออกกฎหมายเพื่อล้างผิดกรณีที่ดินธรณีสงฆ์สนามกอล์ฟอัลไพน์ซึ่งถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าพศ.ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยตรงจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
กล่าวสำหรับตัวนายมานัสนั้น ผู้คนทั่วไปอาจไม่ค่อยรู้จักเท่าใดนัก หากแต่ในยุทธจักรดงขมิ้นต้องใช้ศัพท์ภาษาฝรั่งว่า well known เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นประเภท “ลูกหม้อ” ที่เป็นคนจากกวัดแท้ๆ ดังนั้น จึงรู้จักพระชั้นผู้ใหญ่ใน มส. รวมถึงขนบธรรมเนียบปฏิบัติที่ “เคยทำๆ” กันมาในตำแหน่ง ผอ.พศ.ซึ่งต้องรั้งเก้าอี้ “เลขานุการมหาเถรสมาคม” อีกตำแหน่งตามกฎหมาย
1 ปีเต็มๆ นับจากนี้ คงต้องถามใจว่า นายมานัสต้องการจะเป็นเพียงแค่ทำหน้าที่เป็น “เลขาฯ มส.” ถือตาลปัตร หิ้วย่ามเดินตามหลัง พร้อมพนมมือรับคำสั่ง “ได้ครับหลวงพ่อ ดีครับท่านเจ้าคุณ” เหมือนๆ กับที่เคยทำๆ กันมาก่อนหน้านี้ จนมีการเรียกขานกว่า “แจ๋วพระ” หรือจะเข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป สังคายนาปัญหาในแวดวงพระพุทธศาสนาที่มากมายเหลือคณานับจนก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธา เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลัง
นี่คือโจทย์ที่ท้าทาย “มหามานัส” ดีกรีเปรียญธรรม 6 ประโยค พุทธศาสตรบัณฑิต M.A. จากมหาวิทยาลัยปูนา กับตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งช าติ(คสช.) รับประกันคุณสมบัติไว้ว่า ต้องเป็นคนดีเหมือนคนเดิม ยิ่งนัก
แต่จะอย่างไรก็ต้องบอกว่า หนทางข้างหน้าของมหามานัสไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตำแหน่ง ผอ.พศ.คงทำอะไรไม่ได้มาก ตราบใดที่ “กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)” ยังคงเป็นคนหน้าเดิมๆ แถมยังมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยและวัดพระธรรมกายอีกต่างหาก
บทเรียนที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.พงศ์พรคือประจักษ์พยานสะท้อนภาพความจริงในยุทธจักรดงขมิ้นทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
และตราบใดที่ยังไม่มีการสังคายนาหรือปฏิรูปมหาเถรสมาคมให้หลุดพ้นจากวังวนเก่าๆ ก็ไม่คำพูดใดที่จะเหมาะสมเท่าคำว่า “วังเวงเสียเหลือเกิน”