“พระผู้มีพระภาคทรงพรรณนาความมั่งคั่งสมบูรณ์ของกรุงกุสาวดี และทรงพรรณนาถึงรัตนะ 7 ประการที่เกิดขึ้นแก่พระเจ้าสุทัสสนะจักรพรรดิคือ
1. ฉัตรแก้ว ซึ่งหมุนไปในทิศต่างๆ และได้นำชัยชนะมาสู่
2. ช้างแก้ว เป็นช้างเผือกชื่อ อุโบสถ
3. ม้าแก้ว สีขาวล้วนชื่อ วลาหก
4. แก้วมณี เป็นแก้วไพฑูรย์
5. นางแก้ว รูปร่างงดงาม มีสัมผัสนิ่มนวล
6. ขุนคลังแก้ว ช่วยจัดการทรัพย์สินอย่างดีเลิศ
7. ขุนพลแก้ว เป็นบัณฑิตผู้สั่งสอนแนะนำ
อนึ่ง พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีความสำเร็จ 4 ประการคือ
1. รูปงาม
2. อายุยืน
3. มีโรคน้อย
4. เป็นที่รักของพราหมณ์และคฤหัสถ์
นอกจากนั้น ยังทรงพรรณนาถึงสระโบกขรณี ทรัพย์สิน ปราสาทอันวิจิตรงดงามน่าชื่นชม
ครั้นแล้วทรงแสดงว่าพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดิทรงเห็นว่า ผลดีต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะผลแห่งกรรมดีคือ ทาน (การให้) ทมะ (การฝึกจิต) และสัญญมะ (การสำรวมจิต) จึงทรงบำเพ็ญฌานสงบ ความตรึกทางกาม ความตรึกทางพยาบาท และความตรึกทางการเบียดเบียน ได้บรรลุฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 ทรงแผ่พระมนัสอันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ทรงสั่งลดการเข้าเฝ้าให้น้อยลง (เพื่อทรงมีเวลาอบรมทางจิตได้มากขึ้น) ภายหลังพระราชเทวีทรงพระนามว่า สุภัททา สั่งจัดจตุรงคินีเสนา (ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพเดินเท้า) ซึ่งขุนพลแก้วจัดให้พระนางเดินทางไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ และได้ขอให้ทรงเห็นแก่สมบัติ เห็นแก่ชีวิต แต่ทรงตรัสขอให้พระราชเทวีขอร้องใหม่ในทางตรงกันข้ามคือ อย่าเห็นแก่สมบัติ อย่าเห็นแก่ชีวิตเพราะการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นของธรรมดา การตายของผู้มีความกังวลห่วงใยเป็นทุกข์ และถูกติเตียน
พระราชเทวีทรงกันแสง และฝืนพระหฤทัยขอร้องใหม่ตามที่พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงแนะนำ และต่อมาไม่ช้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะก็สวรรคตเข้าถึงพรหมโลก เพราะทรงเจริญพรหมวิหาร
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรุปว่า พระองค์เองได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดินั้น พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยสมบัตินานาประการ แม้จะมีนครอยู่ในปกครองมากมาย ก็อยู่ครองราชย์ได้เพียงนครเดียวคือ นครกุสาวดี แม้จะมีปราสาทมากมาย แต่ก็อยู่ครอบครองได้เพียงปราสาทเดียวคือ ธัมมปราสาท แม้จะมีเรือนยอดมากมาย แต่ก็อยู่ครอบครองได้เพียงหลังเดียวคือเรือนยอดชื่อ มหาวิยูหะ แม้จะมีบัลลังก์มากมาย ก็ใช้เพียงคราวละเพียงบัลลังก์เดียว แม้มีช้างมากหลาย ก็ขึ้นขี่ได้เพียงคราวละเชือกเดียวคือ พญาช้างอุโบสถ แม้จะมีม้ามากหลายก็ขึ้นขี่ได้เพียงคราวละตัวเดียวคือ พญาม้าวลาหก แม้จะมีรถมากหลาย ก็ขึ้นนั่งเพียงคราวละคันเดียวคือ รถเวชยันต์ แม้จะมีสตรีมากหลาย แต่ก็มีสตรีที่ปฏิบัติรับใช้เพียงคราวละคนเดียว แม้จะมีคู่ผ้า (ผ้านุ่ง ผ้าห่ม) มากมาย ก็นุ่งห่มเพียงคราวละคู่เดียว แม้จะมีถาดอาหารมากมาย แต่ก็บริโภคได้อย่างมากเพียงจุทะนานเดียว พร้อมทั้งกับข้าวดูเถิด รวมทั้งสังขารทั้งปวงเหล่านั้น ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปรวนแปรแล้ว สังขารไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าวางใจอย่างนี้ จึงควรเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง ควรเพื่อที่จะคลายกำหนัด ควรที่พ้นไปเสีย นี่คือเนื้อความโดยย่อของมหาสุทัสสนสูตร ซึ่งมีที่มาปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ทีฑนิกาย มหาวรรค
โดยเนื้อหาสาระของพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ได้แสดงให้เห็นสัจธรรม 3 ประการเกิดประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม ทั้งนี้เนื่องจากว่าสังคมในปัจจุบันสับสนวุ่นวาย และไร้สาระเพิ่มขึ้นทุกวัน จะเห็นได้จากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ทุกวันนี้ ถ้าท่านฟังข่าวจะได้ยินข่าวอาชญากรรมเกิดขึ้นในหลายๆ รูปแบบ และแต่ละรูปแบบล้วนแล้วแต่มีมูลเหตุมาจากความโง่ และความโลภเข้าครอบงำทั้งสิ้น
2. เมื่อเกิดคดีความแล้วมีอยู่ไม่น้อยที่กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถดำเนินการให้ ผู้เสียหายได้รับความยุติธรรมโดยเสมอภาคตามเจตนารมณ์ของการออกกฎหมายได้ ทั้งนี้เนื่องจากจับผู้กระทำผิดไม่ได้จนกาลเวลาล่วงคือ
1. สิ่งที่ได้รับในปัจจุบัน เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง เป็นต้น เป็นผลของกรรมดีเช่น การให้ทาน เป็นต้น ในอดีต
2. สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นของเราในปัจจุบัน อาจจากเราไปหรือเราจากสิ่งนั้นไปในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนของสังขาร
3. ไม่ควรยึดและมีความโลภในสิ่งนั้นจนเกินพอดี แต่ควรจะพอใจและใช้สอยเท่าที่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงได้นำพระสูตรนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ และนำไปเป็นแนวทางดำเนินชีวิตเพื่อทำความเข้าใจพระสูตรนี้ ท่านก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีก็ล้วนแล้วแต่เป็นของกรรมดีท่านในอดีตทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านอาจลืมหรือยึดเข้าข้างตนเองว่าไม่เคยทำเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง ในเนื้อหาของพระสูตรนี้ต้องการเตือนสติผู้มั่งมี มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินและเพียบพร้อมยศศักดิ์ในปัจจุบันว่า อย่าได้ยึดติดกับสิ่งที่ตนเองและตนเองเป็นจนลืมสัจธรรมคือความเปลี่ยนแปลงว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าสิ่งที่ท่านมี และสิ่งที่ท่านเป็น จะต้องแยกกันแน่นอนเสมอภาคกันทุกคน จะต่างกันก็เพียงว่าสิ่งที่เรามีจากเราไปก่อนหรือเราจากมันไปก่อนเท่านั้น ดังนั้นจึงขอจบลงด้วยกลอนบทนี้
สิ่งที่เรามี เราเป็นเช่นวันนี้
ยังจะมี ยังจะเป็น เช่นนี้ไหม
เมื่อวันคืน เดือนปี หนีจากไป
มีอะไร เหลือไว้ ให้โลกดู
1. ฉัตรแก้ว ซึ่งหมุนไปในทิศต่างๆ และได้นำชัยชนะมาสู่
2. ช้างแก้ว เป็นช้างเผือกชื่อ อุโบสถ
3. ม้าแก้ว สีขาวล้วนชื่อ วลาหก
4. แก้วมณี เป็นแก้วไพฑูรย์
5. นางแก้ว รูปร่างงดงาม มีสัมผัสนิ่มนวล
6. ขุนคลังแก้ว ช่วยจัดการทรัพย์สินอย่างดีเลิศ
7. ขุนพลแก้ว เป็นบัณฑิตผู้สั่งสอนแนะนำ
อนึ่ง พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีความสำเร็จ 4 ประการคือ
1. รูปงาม
2. อายุยืน
3. มีโรคน้อย
4. เป็นที่รักของพราหมณ์และคฤหัสถ์
นอกจากนั้น ยังทรงพรรณนาถึงสระโบกขรณี ทรัพย์สิน ปราสาทอันวิจิตรงดงามน่าชื่นชม
ครั้นแล้วทรงแสดงว่าพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดิทรงเห็นว่า ผลดีต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะผลแห่งกรรมดีคือ ทาน (การให้) ทมะ (การฝึกจิต) และสัญญมะ (การสำรวมจิต) จึงทรงบำเพ็ญฌานสงบ ความตรึกทางกาม ความตรึกทางพยาบาท และความตรึกทางการเบียดเบียน ได้บรรลุฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 ทรงแผ่พระมนัสอันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ทรงสั่งลดการเข้าเฝ้าให้น้อยลง (เพื่อทรงมีเวลาอบรมทางจิตได้มากขึ้น) ภายหลังพระราชเทวีทรงพระนามว่า สุภัททา สั่งจัดจตุรงคินีเสนา (ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพเดินเท้า) ซึ่งขุนพลแก้วจัดให้พระนางเดินทางไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ และได้ขอให้ทรงเห็นแก่สมบัติ เห็นแก่ชีวิต แต่ทรงตรัสขอให้พระราชเทวีขอร้องใหม่ในทางตรงกันข้ามคือ อย่าเห็นแก่สมบัติ อย่าเห็นแก่ชีวิตเพราะการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นของธรรมดา การตายของผู้มีความกังวลห่วงใยเป็นทุกข์ และถูกติเตียน
พระราชเทวีทรงกันแสง และฝืนพระหฤทัยขอร้องใหม่ตามที่พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงแนะนำ และต่อมาไม่ช้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะก็สวรรคตเข้าถึงพรหมโลก เพราะทรงเจริญพรหมวิหาร
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรุปว่า พระองค์เองได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดินั้น พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยสมบัตินานาประการ แม้จะมีนครอยู่ในปกครองมากมาย ก็อยู่ครองราชย์ได้เพียงนครเดียวคือ นครกุสาวดี แม้จะมีปราสาทมากมาย แต่ก็อยู่ครอบครองได้เพียงปราสาทเดียวคือ ธัมมปราสาท แม้จะมีเรือนยอดมากมาย แต่ก็อยู่ครอบครองได้เพียงหลังเดียวคือเรือนยอดชื่อ มหาวิยูหะ แม้จะมีบัลลังก์มากมาย ก็ใช้เพียงคราวละเพียงบัลลังก์เดียว แม้มีช้างมากหลาย ก็ขึ้นขี่ได้เพียงคราวละเชือกเดียวคือ พญาช้างอุโบสถ แม้จะมีม้ามากหลายก็ขึ้นขี่ได้เพียงคราวละตัวเดียวคือ พญาม้าวลาหก แม้จะมีรถมากหลาย ก็ขึ้นนั่งเพียงคราวละคันเดียวคือ รถเวชยันต์ แม้จะมีสตรีมากหลาย แต่ก็มีสตรีที่ปฏิบัติรับใช้เพียงคราวละคนเดียว แม้จะมีคู่ผ้า (ผ้านุ่ง ผ้าห่ม) มากมาย ก็นุ่งห่มเพียงคราวละคู่เดียว แม้จะมีถาดอาหารมากมาย แต่ก็บริโภคได้อย่างมากเพียงจุทะนานเดียว พร้อมทั้งกับข้าวดูเถิด รวมทั้งสังขารทั้งปวงเหล่านั้น ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปรวนแปรแล้ว สังขารไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าวางใจอย่างนี้ จึงควรเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง ควรเพื่อที่จะคลายกำหนัด ควรที่พ้นไปเสีย นี่คือเนื้อความโดยย่อของมหาสุทัสสนสูตร ซึ่งมีที่มาปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ทีฑนิกาย มหาวรรค
โดยเนื้อหาสาระของพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ได้แสดงให้เห็นสัจธรรม 3 ประการเกิดประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม ทั้งนี้เนื่องจากว่าสังคมในปัจจุบันสับสนวุ่นวาย และไร้สาระเพิ่มขึ้นทุกวัน จะเห็นได้จากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ทุกวันนี้ ถ้าท่านฟังข่าวจะได้ยินข่าวอาชญากรรมเกิดขึ้นในหลายๆ รูปแบบ และแต่ละรูปแบบล้วนแล้วแต่มีมูลเหตุมาจากความโง่ และความโลภเข้าครอบงำทั้งสิ้น
2. เมื่อเกิดคดีความแล้วมีอยู่ไม่น้อยที่กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถดำเนินการให้ ผู้เสียหายได้รับความยุติธรรมโดยเสมอภาคตามเจตนารมณ์ของการออกกฎหมายได้ ทั้งนี้เนื่องจากจับผู้กระทำผิดไม่ได้จนกาลเวลาล่วงคือ
1. สิ่งที่ได้รับในปัจจุบัน เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง เป็นต้น เป็นผลของกรรมดีเช่น การให้ทาน เป็นต้น ในอดีต
2. สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นของเราในปัจจุบัน อาจจากเราไปหรือเราจากสิ่งนั้นไปในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนของสังขาร
3. ไม่ควรยึดและมีความโลภในสิ่งนั้นจนเกินพอดี แต่ควรจะพอใจและใช้สอยเท่าที่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงได้นำพระสูตรนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ และนำไปเป็นแนวทางดำเนินชีวิตเพื่อทำความเข้าใจพระสูตรนี้ ท่านก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีก็ล้วนแล้วแต่เป็นของกรรมดีท่านในอดีตทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านอาจลืมหรือยึดเข้าข้างตนเองว่าไม่เคยทำเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง ในเนื้อหาของพระสูตรนี้ต้องการเตือนสติผู้มั่งมี มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินและเพียบพร้อมยศศักดิ์ในปัจจุบันว่า อย่าได้ยึดติดกับสิ่งที่ตนเองและตนเองเป็นจนลืมสัจธรรมคือความเปลี่ยนแปลงว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าสิ่งที่ท่านมี และสิ่งที่ท่านเป็น จะต้องแยกกันแน่นอนเสมอภาคกันทุกคน จะต่างกันก็เพียงว่าสิ่งที่เรามีจากเราไปก่อนหรือเราจากมันไปก่อนเท่านั้น ดังนั้นจึงขอจบลงด้วยกลอนบทนี้
สิ่งที่เรามี เราเป็นเช่นวันนี้
ยังจะมี ยังจะเป็น เช่นนี้ไหม
เมื่อวันคืน เดือนปี หนีจากไป
มีอะไร เหลือไว้ ให้โลกดู