ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ดีลหมื่นล้านล่าสุดของราชาเทกโอเวอร์เมืองไทย “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” เจ้าของอาณาจักรไทยเบฟ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือ การทุ่มซื้อกิจการร้านไก่ทอด KFC ที่มีสัญลักษณ์ “ผู้พันแซนเดอร์ส” ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านทุกสาขา โดยผู้บริหารกลุ่มไทยเบฟ อธิบายเหตุผลในการเข้าซื้อกิจการไก่ทอดคราวนี้ว่าเพื่อขยายธุรกิจและเข้าถึงลูกค้ารวมทั้งเทรนด์ใหม่ๆ ผ่านเครือข่ายเคเอฟซีที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ข้อตกลงที่เกิดขึ้น บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2560 ว่า ได้มอบหมายให้บริษัทย่อยของไทยเบฟ คือ บริษัท คิว. เอส. อาร์. เอเซีย จำกัด ทำสัญญาซื้อขายกับ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้าน KFC และพิซซ่าฮัทในประเทศไทย เพื่อซื้อกิจการร้าน KFC 240 แห่ง และร้านที่กำลังอยู่ระหว่างกำลังพัฒนาในประเทศไทย คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเบื้องต้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 11,300 ล้านบาท ซึ่งดีลนี้จะช่วยให้ไทยเบฟ สามารถขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจอาหารได้มากขึ้น
KFC นับเป็นแบรนด์ร้านอาหารจานด่วนอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยวัดจากส่วนแบ่งและจำนวนสาขา ซึ่ง KFC ดำเนินธุรกิจในไทยมานานกว่า 30 ปี โดยมีสาขาที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
กลุ่มบริษัทยัม เรสเทอรองส์ ในไทย มีแผนขายร้านสาขาที่ดำเนินงานเองทั้งหมดออกไป โดยจะดำเนินงานเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และได้มีการประกาศขายสาขาKFCทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ ซึ่งก็เป็นไทยเบฟของตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่เข้ามาซื้อ และได้ขายพิชซ่า ฮัท ให้กับกลุ่มPH CapitalของThoresen Thai Agencies (TTA)ตระกูลมหากิจศิริ
ปัจจุบันKFCมีสาขาในประเทศไทยราว 600 สาขา โดยสาขาที่เหลือเป็นของกลุ่มCRGในเครือเซ็นทรัล ประมาณ 200 กว่าสาขา และกลุ่มRDอีกกว่า 100 สาขา โดยเป็นการขายสิทธิในรูปแบบแฟรนไชส์
สำหรับไทยเบฟ มียอดขายจากธุรกิจเครื่องดื่มมากกว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี ธุรกิจอาหารมีเพียง “โออิชิ” ที่เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน มียอดขายไม่สูงมากนักประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ส่วนกำไรอยู่ระดับหลัก 40 ล้านบาท
การรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารของไทยเบฟ คราวนี้ เป็นการสานต่อโมเดล ธุรกิจ “อาหาร” ต้องคู่กับ “เครื่องดื่ม” เพื่อให้ธุรกิจมีความครบเครื่องสมบูรณ์ การเติมเต็มด้วย “จิ๊กซอว์” ใหม่ๆ จึงสำคัญ และการเข้าซื้อกิจการ เป็นกลยุทธ์ของพ่อค้าเลือดมังกรอย่าง “เจ้าสัวเจริญ” ราชันน้ำเมาผู้ครองอาณาจักรไทยเบฟ
ในแต่ละปีไทยเบฟ ทำยอดขายเหล้า-เบียร์มากกว่า 1.6 แสนล้านบาท กำไรหลัก “หมื่นล้านบาท” ควักเงิน 1.13 หมื่นล้านบาท เพื่อแลกกับ “ขุมทรัพย์” ทางธุรกิจ จากยอดขายและความแข็งแกร่งของ “KFC” เบอร์ 1 ไก่ทอด แถมนำมาต่อยอดให้กับธุรกิจเครื่องดื่มในสเต็ปต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำเปล่า ครันเชอร์ โกโก้ กาแฟ ไอศกรีม ล้วนมีความน่าสนใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร เพราะไม่มีใครทราบได้ว่า “เบื้องหลัง” และ “รายละเอียด” ของดีลครั้งนี้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไทยเบฟ จะได้หลังซื้อกิจการร้าน KFC คือ “ฐานผู้บริโภค” ได้เรียนรู้และเข้าใจความต้องการลูกค้าเชิงลึกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ในการบริโภคอาหารจานด่วนที่ไทยเบฟ ยังไม่เคยเข้าถึง ซึ่งนั่นสอดคล้องกับเอกสารเผยแพร่ข่าวที่ไทยเบฟ ชี้แจงเหตุผลถึงการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า จะช่วยไทยเบฟ ขยายสู่ธุรกิจอาหารและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันของผู้บริโภคในกลุ่มร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) ได้
อย่างที่ “นงนุช บูรณะเศรษฐกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) ของไทยเบฟ กล่าวไว้ว่า “การเข้าซื้อร้านสาขาเคเอฟซีเป็นมากกว่าโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารของไทยเบฟ”
เพราะด้วยเครือข่ายอันกว้างขวางของ KFC ในประเทศไทย จะทำให้กลุ่มไทยเบฟ สามารถ “เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากทั่วประเทศได้โดยตรง” เรียกว่า “ยิงกระสุนการตลาดไป” ก็คงจะตรง “เป้าหมาย” มากยิ่งขึ้น
เธอยังบอกว่า KFC จะทำให้เข้าถึงกระแสนิยมต่างๆ และอยู่ระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรมนี้ได้ และเป็นปัจจัยสำคัญมากในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ขณะเดียวกัน บริษัท คิว. เอส. อาร์. เอเซีย ซึ่งมีจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านอาหาร จะช่วยทำให้การรุกของร้าน KFC อยู่ในจุดได้เปรียบในการเร่งขยายสาขาในประเทศเพิ่ม
ข้อนี้ไม่ใช่แค่ความเชี่ยวชาญของบริษัท คิว.เอส.อาร์.ฯ แต่บริษัทแม่อย่างไทยเบฟ ก็มี “ทุนมหาศาล” ที่จะตอบโจทย์การลงทุนขยายสาขา และหากย้อนไปดูความพร้อมของบริษัทแม่ของไทยเบฟอีกขั้น คือ “ทีซีซี กรุ๊ป” ก็ครบครันทั้งธุรกิจห้างค้าปลีก บิ๊กซี, พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า, เกตเวย์ฯ ตลอดจนอาคารสำนักงานที่มี “พื้นที่” ให้ KFC สามารถไปเปิดสาขาได้
จิ๊กซอว์ “เครื่องดื่มแสนล้าน” แกร่งครึ่งทางวิชั่นไทยเบฟ 2020 จิ๊กซอว์ตัวใหม่คือการเอาจริงกับ “อาหารการกิน” แสนล้านบาทบ้าง กิน-ดื่ม ไปด้วยกันเป็นแพ็กเกจ ความมั่งคั่งจะไปไหนเสีย ถ้าไม่อยู่ในมือ “เจ้าสัวเจริญ”
ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว2559ที่ผ่านมา “เจ้าสัวเจริญ” ราชาเทกโอเวอร์ ก็เรียกเสียงฮือฮาหลังปิดดีลอันลือลั่นสนั่นตลาดหุ้นโดยการเข้าเทคโอเวอร์ห้างสรรพสินค้าดังอย่าง บิ๊กซี จากบริษัทฝรั่งเศสภายใต้ชื่อ “คาสิโนกรุ๊ป” ด้วยมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท เป็นผลสำเร็จ
ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็ไล่เทคโอเวอร์กิจการมากมายหลากหลาย เช่น เทกโอเวอร์ โออิชิ กรุ๊ป (OISHI)ของ ตัน ภาสกรนที ปี 2549,หุ้นยูนิเวนเจอร์ (UV) ปี 2550,ตึกเนชั่น เมื่อปี 2551,และบริษัทเสริมสุข ปี 2553 เป็นต้น
ความร่ำรวยของ “เจ้าสัวเจริญ” ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งเศรษฐีเมืองไทยและกลายเป็นเศรษฐีระดับโลก โดยนิตยสาร ฟอร์บส์ เผยแพร่การจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลก ประจำปี 2560 มีทั้งหมด 2,019 ราย ในจำนวนนี้มีนักธุรกิจและมหาเศรษฐีชาวไทยอยู่ 20 ราย โดย “เจ้าสัวเจริญ” ประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด เป็นมหาเศรษฐีในลำดับที่ 60ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินตามประเมิน 1.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.8 แสนล้านบาท)
“เจ้าสัวเจริญ” สร้างอาณาจักรธุรกิจ สร้างความร่ำรวยมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีหลากหลายสิบยี่ห้อเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายในตลาด ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงไฮเอนด์ โดยสายการผลิตสุรา จะมีอยู่ 3กลุ่มบริษัท คือ กลุ่มบจ.แสงโสม,กลุ่มบจ.สุราบางยี่ขัน-ยี่ห้อแม่โขง,กลุ่มบจ.สุรากระทิงแดง มีผลิตภัณฑ์สุราสีหลากยี่ห้อ เช่น หงส์ทอง,แสงโสม,เบลนด์ 285,แม่โขง ส่วนสุราขาว มีหลากหลายยี่ห้อเช่นกัน ขณะที่สายการผลิตเบียร์ จาก3โรงงานใหญ่ ก็มียี่ห้อเบียร์ช้าง,อาชา และเฟดเดอร์บรอย เป็นตัวชูโรง
ส่วนธุรกิจอื่นๆ ในอาณาจักรของเขา ได้แก่
1.อาหารและเครื่องดื่มประเภทไม่มีแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย น้ำดื่ม โซดาตราช้าง น้ำดื่ม โซดาตราคริสตัล,น้ำอัดลม เอสโคล่า,และเครื่องดื่มเอสรสชาติต่างๆ,เพาวเวอร์ พลัส,แรงเยอร์,ชาเขียวโออิชิกรีนที รสชาติต่างๆ,จับใจ,100 พลัส และนมแมกโนเลีย กิงโกะ พลัส พร้อมดื่มจากกลุ่ม F&Nรวมทั้งภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น โออิชิ,ชาบูชิ และอาหารแช่แข็งสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยวโออิชิ
2.กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า บริษัททีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือกลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น เข้าถือหุ้นสัดส่วน 64.59% ในบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี โดยถือหุ้นในนามบริษัทบีเจซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ในสัดส่วน 71.48%
ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจนี้มีขนมขบเคี้ยวต่างๆ เช่น เทสโต้,ปาร์ตี้ แคมปัส,โดโซะ,ไบตี้ และโยเกิร์ต นมเปรี้ยวปาร์ตี้ แดรี่ เครื่องดื่มซัมเมอร์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาบน้ำ สบู่และครีมอาบน้ำแพรอทหรือนกแก้ว กระดาษเซลล็อกซ์ ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์
3.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัททีซีซีฯ มีอสังหาริมทรัพย์และโครงการพัฒนาฯ รวมทั้งแลนด์แบงก์จำนวนมาก ที่รู้จักกันดี เช่น เอเชียทีค,พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ งามวงศ์วาน เชียงใหม่,อาคารสำนักงานปาร์คเวนเจอร์ อีโคเพล็กซ์,โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ,โรงแรมพลาซ่า แอททินี,เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟสยาม สแควร์,บ็อกซ์สเปซ และยังถือหุ้นในบริษัทแผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ทำโครงการบ้านจัดสรรต่างๆ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
4 . ธุรกิจประกันและการเงิน ประกอบด้วย บริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทอาคเนย์แคปปิตอล จำกัด,บริษัทอาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 5.กลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรม และ6. ธุรกิจสื่อ โดยเข้าถือหุ้นในบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของอมรินทร์ทีวี และหนังสือต่างๆ ในสัดส่วน 47.62%
ทายาทคนสำคัญที่สานต่ออาณาจักรธุรกิจของเจ้าสัวเจริญ คือ ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า “ไทยเบฟ มีเป้าหมายที่ชัดเจนตามวิชั่น 2020 ที่ประกาศไปแล้วว่าจะเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ มีการผลักดันในทุกกลุ่มสินค้า วางเป้าหมายรายได้ต้องเติบโตปีละ 12-16% และภายในปี 2020 จะมีรายได้ 300,000 ล้านบาท”