ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดอ่านคำพิพากษาคดี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานใช้อำนาจมิชอบ ตาม มาตรา 157 ศาลนัดอ่านในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ คดี
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดอ่านคำพิพากษาคดี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานใช้อำนาจมิชอบ ตาม มาตรา 157
ศาลนัดอ่านในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ คดีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายยงยุทธ ไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ศาลใช้เวลาไม่ถึงปีก็วินิจฉัยเสร็จได้ข้อสรุปในทางคดี และจะรู้กันเสียทีว่า กรณีการฮุบที่ธรณีสงฆ์ที่เป็นมหากาพย์เรื่องยาวมานานหลายสิบปี จะมีคนผิดหรือไม่?
นายยงยุทธ เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องที่ดินธรณีสงฆ์ผืนนี้ได้อย่างไร จนตกเป็นจำเลยเพียงคนเดียว คำตอบนั้นอยู่ในคำฟ้องของปปช. ที่ระบุว่าเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2544 กรณีการจดทะเบียนโอนมรดกและโอนสิทธิขายธรณีสงฆ์ของที่ดินวัดธรรมามิการามวรวิหาร จ.ปทุมธานี จำนวน 732 ไร่โดยมิชอบ
ซึ่งกรณีของนายยงยุทธเป็นการพิจารณาต่อเนื่องมาจากที่ ป.ป.ช.เคยชี้มูลความผิด นายเสนาะ เทียนทอง อดีต รมช.มหาดไทย โดยนายยงยุทธได้เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ปี 2544 นั้น ซึ่งอธิบดีกรมที่ได้ยกเลิกโฉนดที่แบ่งแยกและเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนมรดก
ระหว่างมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้จัดการมรดก กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้รับโอน และระหว่างมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ขายที่ดินให้กับบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ผู้ซื้อ อันเป็นการโอนธรณีสงฆ์โดยมิชอบ
การที่นายยงยุทธสอดมือเข้าไปใช้อำนาจยกเลิกคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน จึงเป็นการกระทำที่ส่อไปในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะที่ดินเป็นของสงฆ์ แต่เมื่อกรมที่ดินจะเอาคืนให้วัดที่เป็นเจ้าของตามกฎหมาย นายยงยุทธในฐานะรองปลัดมหาดไทย เป็นคนกำกับดูแลกรมที่ดินกลับเข้ามาขัดขวางไม่ให้ทำได้
โดยป.ป.ช.ยังพบด้วยว่า ในช่วงที่ “ยงยุทธ” เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ใช้อำนาจรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 13 มี.ค.45 ในการรับรองการซื้อขายที่ดินวัดธรรมาธิการราม กับ บริษัท อัลไพน์ ว่ามีความถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถซื้อขายหรือโอนได้
นายยงยุทธจึงถูกปปช. ชี้มูลความผิด ปปช. ชี้มูลครั้งนั้น ถึงกับทำให้ “ยงยุทธ” ต้องลาออกจากเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แม้ตอนแรกๆ จะพยายามยื้อ แต่เมื่อถูกติงอย่างหนักว่า อาจเป็นความเสี่ยงที่ทำให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยพังได้หากฝืน ที่สุดจึงต้องยอมไขก๊อกเพื่อรักษาส่วนรวมไว้
ที่ดินสงฆ์ทำไมถึงกลายเป็นสนามกอล์ฟไปได้ เรื่องนี้มีความเป็นมาที่ยาวนาน นับตั้งแต่แต่นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินของตนจำนวน 732 ไร่ในเขตจังหวัดปทุมธานีให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สำนวนของป.ป.ช.ที่ฟ้องนายเสนาะ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดินในช่วงปฐมบทของมหากาพย์งาบที่ดินสงฆ์ ระบุว่าเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2533 “เสนาะ” ได้ใช้อำนาจ มีคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับมรดกที่ดินดังกล่าว โดยให้โอนที่ดินให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ "นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา" เจ้ามรดกที่ดิน ที่ได้ทำพินัยกรรมมอบที่ดินให้วัด
และจากการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์หรือไม่ ปรากฏว่า "คณะกรรมการกฤษฎีกา" พิจารณาและเห็นว่า ที่ดินของ "นางเนื่อม" ตกเป็นของวัด และเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว เนื่องจาก "นางเนื่อม" ได้ทำพินัยกรรมมอบที่ดินให้วัด เมื่อ "นางเนื่อม" เสียชีวิตลง ต้องถือว่ามีผลตามพินัยกรรมทันที
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง นายเสนาะ อดีต รมช.มหาดไทย ฐานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148
คดีฟ้องนายเสนาะกว่าจะถึงศาลได้ อัตราเดินคดีอึดยิ่งกว่าเรือเกลือ จนถึงเวลาใกล้หมดอายุความ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าคดีนี้ขาด อายุความหรือไม่ สุดท้าย“เสนาะ” ก็รอดอาญา
เนื่องจากโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 แต่โจทก์ไม่ได้นำตัวผู้กระทำผิดมาส่งศาลเพื่อฟ้องคดีอาญาตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการขาดอายุความ จำเลยมาปรากฏตัวต่อศาลในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ดังนั้นสิทธิ์การฟ้องอาญาจึงถูกระงับไป
ข่าวว่า ระหว่างนั้นเจ้าพ่อวังน้ำเย็นไปพักร้อนอยู่ฮ่องกงกับมาเก๊าหลายสัปดาห์ กลับมาอีกทีอายุความคดีก็ขาดไปแล้ว
ถ้าเป็นยุคนี้มีกฎหมายปราบโกงที่ออกมาใหม่ ไม่นับอายุความคดีทุจริต ศาลมีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลยได้ คดีโกงที่ธรณีสงฆ์รายนี้คงมีคนติดคุกหัวโตกันหลายคน ไม่ใช่ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่เสี่ยงคุกอยู่คนเดียว
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดอ่านคำพิพากษาคดี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานใช้อำนาจมิชอบ ตาม มาตรา 157
ศาลนัดอ่านในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ คดีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายยงยุทธ ไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ศาลใช้เวลาไม่ถึงปีก็วินิจฉัยเสร็จได้ข้อสรุปในทางคดี และจะรู้กันเสียทีว่า กรณีการฮุบที่ธรณีสงฆ์ที่เป็นมหากาพย์เรื่องยาวมานานหลายสิบปี จะมีคนผิดหรือไม่?
นายยงยุทธ เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องที่ดินธรณีสงฆ์ผืนนี้ได้อย่างไร จนตกเป็นจำเลยเพียงคนเดียว คำตอบนั้นอยู่ในคำฟ้องของปปช. ที่ระบุว่าเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2544 กรณีการจดทะเบียนโอนมรดกและโอนสิทธิขายธรณีสงฆ์ของที่ดินวัดธรรมามิการามวรวิหาร จ.ปทุมธานี จำนวน 732 ไร่โดยมิชอบ
ซึ่งกรณีของนายยงยุทธเป็นการพิจารณาต่อเนื่องมาจากที่ ป.ป.ช.เคยชี้มูลความผิด นายเสนาะ เทียนทอง อดีต รมช.มหาดไทย โดยนายยงยุทธได้เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ปี 2544 นั้น ซึ่งอธิบดีกรมที่ได้ยกเลิกโฉนดที่แบ่งแยกและเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนมรดก
ระหว่างมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้จัดการมรดก กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้รับโอน และระหว่างมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ขายที่ดินให้กับบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ผู้ซื้อ อันเป็นการโอนธรณีสงฆ์โดยมิชอบ
การที่นายยงยุทธสอดมือเข้าไปใช้อำนาจยกเลิกคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน จึงเป็นการกระทำที่ส่อไปในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะที่ดินเป็นของสงฆ์ แต่เมื่อกรมที่ดินจะเอาคืนให้วัดที่เป็นเจ้าของตามกฎหมาย นายยงยุทธในฐานะรองปลัดมหาดไทย เป็นคนกำกับดูแลกรมที่ดินกลับเข้ามาขัดขวางไม่ให้ทำได้
โดยป.ป.ช.ยังพบด้วยว่า ในช่วงที่ “ยงยุทธ” เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ใช้อำนาจรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 13 มี.ค.45 ในการรับรองการซื้อขายที่ดินวัดธรรมาธิการราม กับ บริษัท อัลไพน์ ว่ามีความถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถซื้อขายหรือโอนได้
นายยงยุทธจึงถูกปปช. ชี้มูลความผิด ปปช. ชี้มูลครั้งนั้น ถึงกับทำให้ “ยงยุทธ” ต้องลาออกจากเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แม้ตอนแรกๆ จะพยายามยื้อ แต่เมื่อถูกติงอย่างหนักว่า อาจเป็นความเสี่ยงที่ทำให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยพังได้หากฝืน ที่สุดจึงต้องยอมไขก๊อกเพื่อรักษาส่วนรวมไว้
ที่ดินสงฆ์ทำไมถึงกลายเป็นสนามกอล์ฟไปได้ เรื่องนี้มีความเป็นมาที่ยาวนาน นับตั้งแต่แต่นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินของตนจำนวน 732 ไร่ในเขตจังหวัดปทุมธานีให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สำนวนของป.ป.ช.ที่ฟ้องนายเสนาะ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดินในช่วงปฐมบทของมหากาพย์งาบที่ดินสงฆ์ ระบุว่าเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2533 “เสนาะ” ได้ใช้อำนาจ มีคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับมรดกที่ดินดังกล่าว โดยให้โอนที่ดินให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ "นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา" เจ้ามรดกที่ดิน ที่ได้ทำพินัยกรรมมอบที่ดินให้วัด
และจากการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์หรือไม่ ปรากฏว่า "คณะกรรมการกฤษฎีกา" พิจารณาและเห็นว่า ที่ดินของ "นางเนื่อม" ตกเป็นของวัด และเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว เนื่องจาก "นางเนื่อม" ได้ทำพินัยกรรมมอบที่ดินให้วัด เมื่อ "นางเนื่อม" เสียชีวิตลง ต้องถือว่ามีผลตามพินัยกรรมทันที
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง นายเสนาะ อดีต รมช.มหาดไทย ฐานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148
คดีฟ้องนายเสนาะกว่าจะถึงศาลได้ อัตราเดินคดีอึดยิ่งกว่าเรือเกลือ จนถึงเวลาใกล้หมดอายุความ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าคดีนี้ขาด อายุความหรือไม่ สุดท้าย“เสนาะ” ก็รอดอาญา
เนื่องจากโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 แต่โจทก์ไม่ได้นำตัวผู้กระทำผิดมาส่งศาลเพื่อฟ้องคดีอาญาตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการขาดอายุความ จำเลยมาปรากฏตัวต่อศาลในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ดังนั้นสิทธิ์การฟ้องอาญาจึงถูกระงับไป
ข่าวว่า ระหว่างนั้นเจ้าพ่อวังน้ำเย็นไปพักร้อนอยู่ฮ่องกงกับมาเก๊าหลายสัปดาห์ กลับมาอีกทีอายุความคดีก็ขาดไปแล้ว
ถ้าเป็นยุคนี้มีกฎหมายปราบโกงที่ออกมาใหม่ ไม่นับอายุความคดีทุจริต ศาลมีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลยได้ คดีโกงที่ธรณีสงฆ์รายนี้คงมีคนติดคุกหัวโตกันหลายคน ไม่ใช่ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่เสี่ยงคุกอยู่คนเดียว