xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปฏิรูปตำรวจ“ไปไหนมาสามวาสองศอก” เตือน“นายกฯลุงตู่”ระวัง“มาร์ค”เอาพุงไปกิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คนเคลื่อนไหวก็เบื่อ คนเขียนก็เบื่อ คนอ่านยิ่งเบื่อ เผลอๆ ไม่ใช่เบื่อธรรมดาแต่เป็น “โคตรเบื่อ” กำลังจะบอกว่าเรื่องการปฏิรูปตำรวจ นั่นแหละ ตอนนี้ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และว่าที่นายกรัฐมนตรี (คนนอก) ท่านกำลังให้ความหวังกับคนไทยทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่ง หลังจากให้กันมาแล้วหลายรอบ
       
  เที่ยวนี้ดูขึงขัง-จริงจัง แต่พอประกาศรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจเท่านั้นแหละ...ฮาตรึม!!?? ทำท่าจะกลายเป็นปฏิรูปตำรวจฉบับ “ไปไหนมาสามวาสองศอก” ซะมากกว่าปฏิรุปตำรวจ 2-3-4

แต่ก็เอาเถอะเชื่อท่านดูอีกครั้ง วันก่อนเห็นท่านประธาน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ กับนายวิษณุ เครืองงาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ออกมาแถลง ออกมาให้ข่าว เสียงเพลง “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” ก็แว่วเข้ามา...เอาเป็นว่าหมู่หรือจ่า รอไปอีกไม่เกิน 8 เดือน จะเห็นภาพเห็นผล

ถ้ายังปฏิรูปแบบเตะวน หรือพายเรือในกาละมังก็ตัวใครตัวมันแล้วล่ะ สำหรับเครดิตความเชื่อถือในตัวท่านผู้นำ เพราะสังคมไทยเขาไม่ยอมรับตำรวจระบบเก่ากันแล้ว เหตุผลคงไม่ต้องอธิบายอะไรซ้ำกันอีก แต่ถ้าอยากรู้ อยากทราบ ก็จะเปิดแผ่นเสียง “ตกร่อง” ให้ฟังอีกรอบ
           
  1.ประชาชนเบื่อตำรวจตรงที่ใช้มาตรฐานทางกฎหมาย หรือความเป็นธรรม ความเป็นกลางหลายมาตรฐาน

2.พนักงานสอบสวนไม่เป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

3.เลือกปฏิบัติเอาใจเฉพาะคนมีอำนาจ มีเส้นสาย พวกพ้องและคนมีสตางค์

4.ตำรวจเป็นมวยล้มไม่ทำตัวเป็นผู้รักษากฎที่ดี...บ่อน-ซ่อง-หวย-หอย-ของเถื่อน-สถานบริการมั่วสุมยาเสพติด ยังมีให้เห็นอย่างดาษดื่น

5.การบังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะเรื่องจราจร-การตั้งด่านเถื่อน-ด่านลอย อัตราค่าปรับความผิดจราจรที่ไม่เป็นธรรม เป็นการบังคับใช้ที่มีประโยชน์ทับซ้อนโดยเฉพาะส่วนแบ่งค่าปรับ ซึ่งทุกวันนี้คือสาเหตุที่ทำให้คนไทยเบื่อหน่าย หวาดกลัว จนถึงขั้นหมดความสุข

6.มีการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง อันเป็นสาเหตุของการทุจริตในทุกรุปแบบ

7. หลักพิจารณาความดีความชอบไม่ชัดเจน เป็นนามธรรมไม่สามารถแตะต้องได้ ยังคงใช้ระบบอนุรักษ์ กล่าวคือพวกใครพวกมัน เด็กใครเด็กมัน

8.ผู้บังคับบัญชาบางคน หรืออาจจะหลายๆคน ยังเคนชินกับระบบ “ลูกน้องเลี้ยงเจ้านาย” มีการกดดันในรูปแบบต่างๆ เช่น ขอความร่วมมือจัดงานการกุศลขายบัตรโรงพักละหลักหมื่น ถึงหลักแสน ต้องมีการเลี้ยงดูปูเสื่อเวลาไปตรวจราชการ ช่วงเทศกาลบุญต้องมีซองผ้าป่า กฐิน หากใครทำไม่ได้หรือไม่สนองตอบ จะถูกกลั่นแกล้ง โยกย้าย

9.มีความเหลื่อมล้ำระหว่างตำรวจด้วยกันเอง เช่น ชั้นประทวนที่เรียนจบปริญญาตรี หรือนายตำรวจที่ไม่ผ่านโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จะเป็นตำรวจชั้น 2 ไม่มีศักดิ์มีสิทธิ์ หรือโอกาสเท่ากับนายตำรวจที่จบโรงเรียนนายร้อย หรือ นรต.

10.งบประมาณค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนเงินเดือน ไปตกอยู่ที่นายตำรวจระดับบน ซึ่งไม่มีเนื้องานคุ้มค่ากับความเป็นจริง อาทิ ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. หรือในกลุ่มจเรตำรวจ ที่มีมากเกินความจำเป็น

11. ความเหมาะสมกับความรู้ความสามารถ เช่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง -ตำรวจท่องเที่ยว แต่ 90 % ไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องภาษาที่จะสื่อสารกับชาวต่างประเทศ หรือตำแหน่งที่วางตามแรงวิ่งเต้นมากกว่าความสามารถ จนทำให้ระบบเกิดความเสียหาย 
       
     12.ตำรวจมีความสนใจบริการ หรือบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนน้อยเกินไป ไม่ว่าการเดินทางไปที่เกิดเหตุ การไม่สนใจติดตามคนร้าย โดยเฉพาะคดีทั่วไปที่ไม่เป็นข่าวโด่งดัง เลือกเอาเฉพาะที่ประชาชนสนใจ หรือเป็นข่าวใหญ่

....นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม ก็เพราะตำรวจเอาใจออกห่างประชาชนไปรับใช้นักการเมือง ผู้มัอำนาจ และ..ขอโทษ นายพลบางคนรับใช้ดูแลกลุ่มธุรกิจสีเทา กระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มเอ็นจีโอ. กลุ่มประชาชน จนกระทั่งสื่อหลายสำนัก ที่มองเห็นตรงกันว่าไปไม่รอด จึงร่วมรณรงค์กันอย่างเต็มที่

การปฏิรูปตำรวจระบบ 2-3-4 ระบุว่า ภายใน 2 เดือนแรก 36 อรหันต์ จะต้องคุยเรื่องปัญหาทั้งหมด ระยะที่สอง คือให้เวลา 3 เดือน ต้องอ่าน-วิเคราะห์งานวิจัยเก่าๆ ทั้งหมดจนมาถึง ระยะ 4 เดือนสุดท้าย จะต้องฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย และยกร่างเป็นกฎหมายจึงถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้

ต้องกราบขออภัยที่อยากแสดงความห่วงใยไว้ว่า คณะกรรมการทุกท่านอย่างมองว่าเป็นเรื่องล้อเล่น หรือแค่ประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะตอนนี้ประชาชนทั้งประเทศเขามีธงของเขาอยู่แล้ว

เหลือเพียงยังให้เครดิตนายกฯลุงตู่ อยู่บ้าง....อย่างน้อยแม้ท่านไม่กล้าผ่าตัด-เปลี่ยนแปลงกันตรงๆ แต่สัญญาณทุกดอกที่ส่งมา ล้วนต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และต้องเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างสูงสุด

แต่อย่างไรก็ตาม หากการปฏิรูประบบ 2-3-4 เกิดความล้มเหลว และกลายเป็นระบบ “สามวาสองศอก” ตามที่ห่วงใยกัน คนที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่ใครที่ไหน...ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการปฏิรูป ไม่เกี่ยวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่แรงสะเทือนจะกลับพุ่งตรงมายังนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด แต่เป็นผู้ที่ลังเลที่สุด ในการผ่าตัดองค์กรตำรวจ

กลิ่นทะแม่งจากรายชื่อคณะกรรมการปฎิรูปที่ไม่ “เห็นหัว” คนดี เด่น ดัง ที่สังคมไทยยอมรับ เช่นพล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ หรือแม้แต่ อาจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ ...เกิดอะไรขึ้นหรือครับท่านนายกฯ มีใครเบรก มีใครห้าม หรือท่านมีเหตุผลอะไร...ณ เวลานี้ประเทศไทยจะเดินหน้า ถอยหลัง จะดี จะร้าย อยู่ที่ท่านคนเดียวแล้ว ในฐานะคนคัดท้าย
         
   ขอเตือนไว้....พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งประกาศแล้วว่า ไม่เชื่อใจคณะกรรมการปฏิรูปชุดนี้จะทำได้ แถมยังเคลื่อนไหวชัดเจน และแน่นอนว่า หากการปฏิรูปตำรวจยังคงเหลวเป๋ว กระทั่งนายกฯลุงตู่ ยังไม่มีน้ำยาทำอะไรได้....ความหวัง-คะแนนนิยม และความชอบธรรม อาจเทมาทาง “มาร์ค -รูปหล่อ” โดยไม่รู้ตัวนะ จะบอกให้


กำลังโหลดความคิดเห็น