ผิดหวังไปตามๆ กันสำหรับการเปิดตัวของทรัมป์ในการประชุมทั้งที่ NATO และ G7 เพราะมีความคาดหวังว่าทรัมป์จะเปลี่ยนจากที่เคยหาเสียงเอาไว้ไม่มากก็น้อย เอาเข้าจริงๆ ยังตอกตะปูกับนโยบายหลายอย่างไม่เป็นตามที่พันธมิตรที่แนบแน่นที่สุดของสหรัฐฯ คือสหภาพยุโรป, NATO และ G7 ได้ตั้งความคาดหวังเอาไว้
ช่างเป็นภาพที่ตรงข้ามกันมาก ระหว่างการเยือนตะวันออกกลางและยุโรปสำหรับบทบาทของทรัมป์
ที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นจุดเยือนแรกของการเดินทางออกนอกประเทศของทรัมป์ ช่างชื่นมื่นและทรัมป์เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะมีการต้อนรับเต็มที่จริงๆ
ความจริง เขาควรไปเยือนประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกัน คือแคนาดาและเม็กซิโก (ถ้าสำหรับผู้นำไทย ก็จะไปเยือนพวกมาเลเซีย, ลาว, พม่า ก่อนจะไปไกลๆ) แต่ที่ทรัมป์ไม่เลือกไป 2 ประเทศนั้น ก็เพราะจะมีขบวนต่อต้านรอรับอยู่
ที่เม็กซิโกนั้น ไม่ว่าศาสนจักรคาทอลิกตามสังฆมณฑลต่างๆ ก็มีคำชี้นำออกมาห้ามนักธุรกิจและชาวเม็กซิโกเข้าไปมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจกับการก่อสร้างกำแพงยักษ์ เพื่อกั้นพรมแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ถึงกับขู่ว่าจะตัดญาติขาดมิตร (Excommunicate) กับคนเม็กซิโกที่ไปร่วมมือกับทรัมป์ แม้แต่องค์พระสันตะปาปาก็มีคำดำรัสว่า ผู้ที่ไม่นับถือในพระเป็นเจ้า (พวก Atheist) ก็ยังจัดว่ายัง “ดีกว่า” ชาวคริสต์ที่ประพฤติชั่ว ท่านเคยมีพระดำรัสว่าชาวคริสต์จะต้อง “สร้างสะพาน” เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีไมตรีต่อผู้อื่น (โดยเฉพาะผู้อพยพหนีมาจากสงคราม, ความอดอยาก หรือการกดขี่) แทนจะเป็นพวกสร้างกำแพง (กีดกั้นมนุษย์ไม่ให้ช่วยเหลือกัน)
ที่แคนาดานั้น มีพวกผู้อพยพที่หนีการถูกจับเนรเทศจากสหรัฐฯ ไปอยู่ด้วย เพราะทรัมป์ออกคำสั่งจับผู้อพยพที่อยู่อย่างผิดกฎหมายให้เนรเทศกลับไปปล่อยที่เม็กซิโก รวมทั้งชาวอเมริกันส่วนหนึ่งที่ทนไม่ไหวจะอยู่ร่วมกับทรัมป์ ก็เปิดหนีไปทำมาหากินที่แคนาดา (พวกเขาไม่พอใจนโยบายเหยียดผิว, เหยียดผู้หญิง ฯลฯ ของทรัมป์) และยังมีเรื่องคำขู่ของทรัมป์ว่าจะขอทบทวนรายการสินค้าลดภาษีเป็น 0% ในระบบ NAFTA ซึ่งสินค้าประเภทไม้ซุงจากแคนาดา ก็จะโดนขึ้นภาษีมากมาย พวกซุงเหล่านี้ สหรัฐฯ นำเข้ามาสร้างบ้านเรือน ดังนั้น ถ้าทรัมป์เลือกไปแคนาดาก่อน จะมีภาพผู้ประท้วงออกมาเต็มไปหมด ประกอบกับผู้นำหนุ่มแนวเสรีแบบ Justin Trudeau ถ้าทรัมป์ไปเทียบด้วยใน Trip แรก จะเห็นทรัมป์แก่อย่างถนัดใจ
นับเป็นเรื่องแปลกมากที่ทรัมป์ไม่เลือกไปแคนาดาและเม็กซิโกก่อน ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากที่สุด และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของอดีตประธานาธิบดีอเมริกันทุกคน
การเลือกซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศแรกนั้น ข้อมูลลึกๆ ก็คือ ลูกเขยอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นผู้หว่านล้อมพ่อตา นั่นคือ Jared Kushner ลูกเขยที่เป็นคนเสนอหลายๆ อย่างในช่วงหาเสียง จนทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และขณะนี้มีตำแหน่งใหญ่โตในทำเนียบขาว (โดยไม่รับเงินเดือน และดูจะไม่แยแสต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจมหาศาลของตนเอง) เป็นถึงที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี
เหตุผลที่ Jared เลือกซาอุฯ เป็นประเทศแรกก็เพราะเพื่อลบล้างคำวิจารณ์ว่าทรัมป์เกลียดชังชาวมุสลิม เช่น กรณีคำสั่งประธานาธิบดีห้ามคนมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐฯ แล้วหดลงมาเหลือ 6 ประเทศ และตัดข้อห้ามเรื่องศาสนาออก แต่ศาลอุทธรณ์กลาง (ของสมาพันธ์) ก็ยังไม่ยอมให้ปฏิบัติตามคำสั่งประธานาธิบดี โดยยกเอาเจตนาของทรัมป์ขณะเขาหาเสียงว่า จะปิดประเทศไม่ให้มุสลิมเข้า
ยังมีเรื่องที่ทรัมป์ยอมขายอาวุธล็อตใหญ่ถึง 1 แสน 1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) ทั้งๆ ที่รายการอาวุธเหล่านี้อาจขัดกับนโยบายทั่วไปของสหรัฐฯ ว่าจะขายอาวุธ (ที่ทันสมัยมากๆ) กับประเทศที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน (แล้วเป็นอย่างไรล่ะ สำหรับประเทศซาอุฯ ที่ทั้งกีดกั้นสิทธิสตรี, การทำลายล้างชนกลุ่มน้อยมุสลิมชีอะห์ ที่เพิ่งให้ประหารชีวิตผู้นำชีอะห์ไปมากมายในปี 2016, ถล่มเยเมนที่มีคณะผู้นำเป็นชีอะห์ รวมทั้งการหาทางโค่นบาชาร์ อัล อัสซาด ผู้นำซีเรีย ขนาดให้การสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอัสซาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Al Nusra หรือ ISIS ก็ตาม)
ทรัมป์ประกาศเลยว่า อาวุธเหล่านี้เต็มใจขายให้ซาอุฯ เพื่อเอาไว้สำหรับปราบผู้รุกราน คืออิหร่าน แทบไม่ได้ยินว่าศัตรูที่อาวุธนี้จะไปปราบ คือ ISIS เลย
ทรัมป์ยังบอกทุกๆ ประเทศที่มาร่วมประชุมสุดยอดประเทศอิสลาม 55 ประเทศ (ที่ซาอุฯ เตรียมจัดให้ตรงกับช่วงที่ทรัมป์ไปเยือนซาอุฯ) ว่าทุกประเทศควรเตรียมอาวุธไว้ต่อสู้กับอิหร่านศัตรูร้ายกาจ
คำประกาศของทรัมป์ จะเหมือนเปี๊ยบกับคำประกาศของซาอุฯ คำต่อคำทีเดียว โดยทรัมป์เคยพูดเมื่อช่วงหาเสียง ว่าสนธิสัญญาห้ามอิหร่าน (แอบ) พัฒนานิวเคลียร์ (จากกากนิวเคลียร์ที่ได้มาจากโรงไฟฟ้าปรมาณู หรือที่ใช้ทางการแพทย์) เป็นสนธิสัญญาที่เลวร้ายมาก คือถูกอิหร่านตบตา และอิหร่านจะบุกทำลายประเทศอิสลามในตะวันออกกลางทั้งหมด เพื่อความเป็นใหญ่ของอิหร่าน
เขาพูดว่า การไม่มีสนธิสัญญาเลยก็ยังดีกว่าการมีข้อตกลงที่เลว ( no deal is better than a bad one)
โดยเฉพาะเมื่อข้อตกลงอิหร่านที่เพิ่งเซ็นกันไป เมื่อปลายปี 2015 นั้น เป็นผลงานชิ้นโบแดงของโอบามาร่วมกับสหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ที่ทั้งซาอุฯ และอิสราเอลเป็นเดือดเป็นแค้นนัก แล้วซาอุฯ จึงจัดต้อนรับยิ่งใหญ่แก่ทรัมป์ เพื่อส่งสัญญาณไปอย่างชัดๆ เลยว่า ไม่เห็นด้วยกับนโยบายโอบามาที่ทำให้ตนเองไม่ปลอดภัย รวมถึงจัดพิเศษให้ทรัมป์เป็นแขกรับเชิญ key note speaker ในที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอิสลาม คล้ายกับจะให้กลบรัศมีของโอบามา ที่เคยประกาศสุนทรพจน์ที่เมืองไคโร ตอนที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ที่ย้ำว่าประเทศตะวันตกไม่ใช่ศัตรูของอิสลาม จนทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพไงล่ะ ตอนนั้นโอบามาก็แค่พูดในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางกลุ่มประเทศอิสลามที่ประชุมสุดยอดแบบในครั้งนี้
ทรัมป์ได้ร่วมรำเพลงดาบประกาศศักดาแห่งขุนศึกอาหรับ ที่พร้อมปราบอิหร่านให้ราบคาบด้วย เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์แบบตัดไม้ข่มนามเวลาก่อนทำศึกทีเดียว!
ที่อิสราเอล ทรัมป์ได้ประกาศว่าอย่าเสียใจเรื่องอาวุธทันสมัยที่ขายให้ซาอุฯ เพราะอาวุธของสหรัฐฯ มีไว้เพื่อขายแก่ทุกประเทศที่สนใจ!
แล้วเรื่องที่ทรัมป์ไปโอ้อวดกับทูตคิสลีแอก ของรัสเซีย (ช่วงเปิดห้องรูปไข่พบกับรัฐมนตรีต่างประเทศ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ของรัสเซีย) จนเสียลับกรณีการห้ามเอา laptop ขึ้นเครื่องบิน เพราะมันพัฒนาจนเป็นระเบิดได้นั้น ทรัมป์ไปหลุดปากบอกว่าข่าวกรองนี้มาจากอิสราเอล
ปรากฏว่านายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู พยายามพูดกลบเกลื่อนเหตุการณ์นี้ว่า ทรัมป์ไม่ได้เป็นคนพูด แต่ทางรัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลออกมาพูดเองว่าเป็นอันตรายมากสำหรับการนำเอาข่าวกรองไปเปิดเผย (เพราะอาจอันตรายต่อชีวิตของสายลับอิสราเอล ที่แฝงตัวอยู่ในส่วนบนของ ISIS จนได้ข่าวลับนี้มา)
สำหรับที่ NATO นั้น ทรัมป์ไม่ยอมให้คำมั่นในหลักประกันมาตราที่ 5 ของรัฐธรรมนูญนาโต ที่ว่าสหรัฐฯ พร้อมยืดอกปกป้องประเทศสมาชิก NATO ใดๆ ที่ถูกรุกราน (โดยรัสเซีย) เหมือนดังเช่นที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนๆ ได้ตอกย้ำทุกครั้งที่เพิ่งเข้ามาประชุม NATO เป็นครั้งแรก
ตรงข้าม ทรัมป์กลับไปพูดทวงเงินที่สมาชิก NATO ต้องลงขันประเทศละ 2% (ของ GDP ต่อปี) โดยบอกว่าประเทศทั้ง 28 ในสหภาพยุโรปนั้น มีแค่ 5 ประเทศที่ยอมลงขันตามข้อตกลงนี้ เช่น กรีก, โปแลนด์ (ประเทศใหญ่ๆ แบบเยอรมนี, ฝรั่งเศสกลับจ่ายไม่ถึง 2% ของ GDP) โดยทรัมป์บอกว่า ประเทศที่ไม่ยอมจ่าย คือการเอาเปรียบประชาชนอเมริกันซึ่งเป็นผู้เสียภาษี แล้วมาเอาเปรียบได้อย่างไร กับการที่สหรัฐฯ ต้องส่งกองกำลังและเงินทองไปช่วยปกป้องประเทศสมาชิกอื่นๆ ของนาโต
เล่นเอาผู้นำสหภาพยุโรป กระอักกระอ่วนไปตามๆ กัน
(อ่านต่อวันพุธ)