ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมคณะทั้งทำเนียบขาว, คณะรัฐมนตรีมากมายหลายกระทรวง, รวมทั้งนักธุรกิจเป็นฝูงใหญ่ กำลังไปลั้นลาที่ตะวันออกกลาง, ยุโรปเหนือและใต้ แต่ที่ The Hill หรือสภาทั้งล่างและวุฒิ ต่างขมีขมันเดินหน้าสอบสวนโดยเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้การ กรณีข้อกล่าวหาว่าทีมหาเสียงของทรัมป์ (ขณะเป็นผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี) ได้มีการติดต่อใกล้ชิดกับทีมงานระดับสูงของประเทศรัสเซีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศปรปักษ์ของสหรัฐฯ
ก่อนเดินทางออกมาจากดี.ซี. ทรัมป์ได้เพิ่งปลด ผอ.เอฟบีไอ ด้วยข้อกล่าวหาที่ฟังไม่ขึ้น แต่มีสัญญาณว่าอาจเข้าข่ายขัดขวางขบวนการยุติธรรม เพราะผอ.โคมีย์ แห่งเอฟบีไอ เมื่อไปให้การเป็นครั้งแรกกับคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาได้ออกมายอมรับ (ตั้งแต่กลางมีนาคมว่า) เอฟบีไอได้เริ่มเปิดการแอบติดตามสืบสวนพฤติกรรมทีมงานของทรัมป์ตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้วโน่น
ดังนั้น เขาจึงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกสภาตั้งหน้าตั้งตาสอบทีมงาน (และน่าจะขยายเลยมาถึงตัวเขา) ตั้งแต่เพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ 100 วันแรก ถึงพฤติกรรมที่เข้าข่าย Treason หรือทรยศต่อชาติ ถ้าปรากฏหลักฐานว่าทีมงานของทรัมป์รวมถึงตัวเขาเอง ได้มีส่วนรู้เห็นหรือร่วมวางแผน หรือเป็นผู้ออกคำสั่ง เพื่อให้รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งใหญ่ และทรัมป์จะได้ชนะเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยก็ไม่แพ้ฮิลลารีอย่างถล่มทลาย ดังเช่นโพลจากแทบทุกสำนักที่สะท้อนให้เห็น
การเปิดโปงอย่างเข้มข้นของหนังสือพิมพ์แนวหน้า 2 ฉบับ (WAPO : Washington Post และ NYT : New York Times) ที่แข่งกันเอาความลับที่อยู่เบื้องหลังบทบาทของรัสเซียกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผย ช่างละม้ายคล้ายกับการเปิดโปงการแทรกแซงการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ของอดีตประธานาธิบดีนิกสัน โดยเฉพาะเมื่อปี 1972 (เมื่อ 45 ปีมาแล้ว) มีนักข่าวหัวเห็ด 2 คนของ WAPO ชื่อ Carl Bernstein และ Bob Woodward ได้ไปเจอแหล่งข่าวปิดลับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับค่อนข้างสูงของ FBI ที่มี Codename ว่า “Deep Throat” ได้เป็นคนชี้ทางและแอบนำหลักฐานมาให้สำหรับการสืบสวนของ WAPO แล้วนำมาแฉ ; จนมีการขยับของ 2 สภา เพื่อดำเนินการถอดถอนประธานาธิบดีนิกสันออกจากตำแหน่ง แม้ว่านิกสันจะชนะอย่างถล่มทลายในการลงเลือกตั้งครั้งที่ 2 ก็ตาม
ครั้งนี้ หนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ ก็ผลัดกันเปิดโปง เริ่มจากการเปิดโปงว่า ผอ.เอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ได้พบกับประธานาธิบดีเมื่อต้นกุมภาพันธ์ (ทรัมป์ เพิ่งเข้ามารับงานได้แค่ไม่ถึง 1 เดือน) โดยได้ขอร้อง (แกมบังคับข่มขู่) ให้ทางเอฟบีไอเลิกติดตามสืบสวนอย่างลับๆ กับพล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ (ที่ปรึกษาความมั่นคงของทำเนียบขาว) เรื่องข้อกล่าวหาติดต่อกับรัสเซีย
ผอ.โคมีย์ ได้บอกปฏิเสธทรัมป์ไปแล้วเมื่อกลับมาที่ทำงานก็รีบเขียนบันทึกช่วยจำ ถึงข้อความคำต่อคำที่ได้ถูกขอร้องจากประธานาธิบดีทรัมป์ และยังได้เปิดให้ลูกน้องใกล้ชิดได้ร่วมอ่านด้วย เพราะโคมีย์ค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับที่สหรัฐฯ บันทึกช่วยจำของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ จะใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ด้วย ยิ่งถ้ามีพยานยืนยันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น
ขณะที่ทรัมป์กำลังลั้นลาโดยสวมหมวกยิวที่ศีรษะ และไปยืนภาวนาอยู่ที่กำแพงเมือง Jerusalem เพื่อนสนิทของโคมีย์ก็โผล่มาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ดัง เปิดเผยว่าโคมีย์มีความรู้สึกอึดอัดใจมากในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งเข้ามาทำงาน แล้วเข้ามายุ่มย่ามกับการสืบสวนของเอฟบีไอ เพื่อนบอกว่าช่วงนั้นโคมีย์ไม่ได้บอกกับเขาถึงสาระที่ถูกทรัมป์ขู่ขอร้อง แต่โคมีย์มีความไม่สบายใจมาก
เพื่อนคนนี้ยังให้สัมภาษณ์กับ Anderson Cooper พิธีกรดัง (หลานตาของซูเปอร์มหาเศรษฐี Carnegie เจ้าของอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ) ว่าเขาไม่เชื่อสักนิดว่าโคมีย์จะบอกกับทรัมป์ถึง 3 ครั้ง 3 ครา รับรองกับทรัมป์ว่าทางเอฟบีไอสอบไม่พบความเกี่ยวพันของตัวทรัมป์เองกับรัสเซีย เพื่อนบอกว่าโคมีย์ไม่มีนิสัยที่จะยอมง่ายๆ เพื่อเปิดเผยความลับการสอบสวนของเอฟบีไอให้กับประธานาธิบดี ซึ่งก่อนที่ทรัมป์จะลงดาบปลดโคมีย์ ทรัมป์ทวีตว่าเขาได้รับคำมั่นจากโคมีย์ถึง 3 ครั้ง ว่าเขาไม่เกี่ยวพันกับรัสเซียในผลการสอบสวนของเอฟบีไอ
ยังมีผอ.อีก 2 หน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ถูกเปิดโปงผ่านสื่อ NBC และWAPO ว่าเขาทั้งคู่ได้ถูกขอร้องจากประธานาธิบดีทรัมป์ เช่นเดียวกับโคมีย์ในเรื่องการสอบ Russian Connection
คนแรกคือ ผอ.ข่าวกรองแห่งชาติ (DNI-Director of National Intelligence) ชื่อDan Coats
อีกคนคือพล.ร.อ. Mike Rogera ผอ.หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA- National Security Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานจอมแฉที่นายEdward Snowden เคยสังกัด และออกมาเผยถึงเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ กับโครงการ PRISM จะสามารถเจาะดักฟังข้อความสื่อสารผ่านระบบไอทีของทุกๆ คนบนโลกได้ชงัดนัก)
WAPO ได้เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของ NSA ได้ทำบันทึกภายในช่วยจำ เรื่องการสนทนาระหว่างทรัมป์และผอ.NSA
ยิ่งกว่านั้น NBC ได้เปิดเผยว่า ผอ.CIA (ที่ทรัมป์ตั้งมากับมือ) คือนายMike Pompeo (ได้ที่ 1 จาก West Point) ก็ถูกทรัมป์ขอร้องให้หาข้อมูล เพื่อมาลบล้างการสืบสวนของ FBI ด้วย
ความลับที่กำลังถูกเผยแพร่ในสหรัฐฯ ขณะนี้ ดูไม่เกรงใจท่านประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังทำหน้าที่แทนประชาชนอเมริกันในต่างแดนแม้แต่น้อย ผิดกับธรรมเนียมปฏิบัติกันมาในอดีต
ขณะนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 คนแห่ง DNI, NSA, CIA เงียบกริบ ไม่มีใครออกมาปฏิเสธในข้อความเปิดโปงจากสื่อหลักๆ เหล่านี้เลยสักคนเดียว ซึ่งถ้าไม่ออกมาปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายใช่หรือไม่
แต่มีเสียงคนที่สนับสนุนทรัมป์ ออกมาแก้ตัวให้ทรัมป์ว่าเขาเป็นอดีต Big Bossแห่งอาณาจักรทรัมป์ ก็อาจเข้าใจผิดว่าข้าราชการทุกคนต้องเป็นลูกน้องที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา เพราะนั่นคือธรรมเนียมด้านธุรกิจ คำอธิบายนี้เพื่อให้ดูว่า ทรัมป์ไม่ได้ตั้งใจไปข่มขู่ข้าราชการ เพราะตัวเองติดนิสัยทางธุรกิจมา
แต่มันสะท้อนถึงความไม่ประสีประสาทางการเมือง จนไม่เข้าใจว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรองนี้ จะต้องรับใช้ผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน ผลประโยชน์ของนายทรัมป์ (ซึ่งบังเอิญมานั่งในตำแหน่งประธานาธิบดี)
หลายคนมองว่านายทรัมป์ ก็ไม่เข้าใจว่าอำนาจฝ่ายตุลาการก็เป็นอิสระจากอำนาจประธานาธิบดีเช่นกัน เห็นได้จากที่นายทรัมป์ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) เรื่องห้ามคนมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าประเทศสหรัฐฯ แล้วถูกคำสั่งศาลห้ามไม่ให้คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ มีผลทางปฏิบัติ
ทำให้นึกถึงนักธุรกิจ Tycoon ด้านสื่อของไทย ที่ใหญ่คับฟ้าของไทย ออกคำสั่งให้ข้าราชการหันซ้ายหันขวาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาและพวกพ้องวงศ์ตระกูล แล้วมีข้าราชการเลวๆ ของไทย ยอมก้มหัวทำตามงกๆ โดยผลประโยชน์ของชาติและประชาชนส่วนใหญ่เสียหายย่อยยับ ช่างต่างกับข้าราชการหลายคนในสหรัฐฯ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ประธานาธิบดีที่เห็นแก่ตัวคนนี้
สมัยของนิกสันนั้น รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยยุติธรรม ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เมื่อนิกสันกดดันให้ทั้งคู่ออกคำสั่งปลด “อัยการอิสระ” ที่กำลังสอบเขากรณีรู้เห็นหรือออกคำสั่งให้ทีมงานรีพับลิกันบุก (ทำทีเป็นย่องเบา) ไปขโมยเอกสารลับของพรรคเดโมแครตที่อาคาร Watergate
รัฐมนตรีทั้ง 2 ยอมลาออก เช่นเดียวกับ ผอ.โคมีย์ ที่รีบเขียนบันทึกความจำหลังถูกทรัมป์ขอร้องข่มขู่ให้หยุดการสืบสวนคณะของทรัมป์ต่อไป
รวมทั้งคนอย่าง “Deep Throat” ที่มีค่ายิ่งต่อประเทศสหรัฐฯ แต่ควานหาแทบไม่เจอเลยในประเทศไทย.