ท่ามกลางกองไฟกำลังก่อตัวขึ้นที่ทำเนียบขาว และอาจลุกลามขยายไปไหม้ทั้งทำเนียบ กรณีการสืบสวนของเอฟบีไอเรื่องทีมงานหาเสียงของผู้สมัครทรัมป์ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซีย จนประธานาธิบดีทรัมป์รีบปลด ผอ.เอฟบีไอ ดร.เจมส์ โคมีย์ ออกจากตำแหน่งอย่างลุกลี้ลุกลน เพื่อตัดตอนการสอบสวนที่กำลังคืบคลานมาหาตัวทรัมป์เอง
ภายใน 7 วันหลังปลดโคมีย์ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่จอมแฉ 2 ฉบับคือ วอชิงตัน โพสต์ และนิวยอร์กไทมส์ ออกมาเปิดโปงคำพูดของทรัมป์ที่ไปขอร้องแกมข่มขู่โคมีย์ก่อนจะไล่เขาออก ว่าให้โคมีย์เลิกเดินหน้าสอบสวนนายพลคนดัง พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ (ที่ติดต่อกับรัสเซีย) เพราะเขาเป็นถึงนายพลที่รักชาติ, เป็นคนดี และมีการเปิดโปงเนื้อหาการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย (ลาฟรอฟ) และทูตรัสเซีย คิสลี แอก ประจำสหรัฐฯ ใน 2 เรื่อง คือพูดถึงข้อมูลข่าวกรองเรื่องที่ไอซิสคิดค้นวิธีประกอบระเบิดจากแล็ปท็อป และสามารถลอดผ่านเครื่องตรวจระเบิดที่สนามบินได้ เพื่อปฏิบัติการก่อการร้ายบนเครื่องบิน โดยทรัมป์พูดโอ้อวดไปบอกข่าวกรองลับนี้กับรัสเซีย ว่าประเทศอิสราเอลเป็นคนนำข่าวกรองลับมาบอก
อีกเรื่องก็คือ การโอ้อวดว่าการปลดผอ.เอฟบีไอ เพราะโคมีย์นั้นเป็นคนบ้าๆบอๆ และสามารถปลดออกได้ ทำให้ลดการกดดันการสอบสวนตัวเขากับรัสเซีย เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายนำรีพับลิกันหลายคนไม่พอใจ การพูดดูหมิ่นผอ.เอฟบีไอ เพราะโคมีย์มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน โคมีย์ผ่านการรับรองของวุฒิสภาเมื่อจะเข้ารับตำแหน่งด้วยคะแนนสูงมากถึง 99 จาก 100 เสียง
แล้วยังมีการเปิดปากของอดีตรัฐมนตรียุติธรรม แซลลี เยตส์ ที่บอกว่าได้เตือนทรัมป์เรื่องความไม่น่าไว้วางใจของนายไมเคิล ฟลินน์ แต่ทรัมป์ไม่ฟังคำท้วงนี้เลย ในทางตรงข้ามกลับปลดเธอออกจากตำแหน่ง
และการแต่งตั้งอัยการพิเศษโรเบิร์ต มูลเลอร์ ประจำกระทรวงยุติธรรม ที่จะมาสอบเรื่องราวทั้งหมดคณะหาเสียงของทรัมป์ ซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจในการสอบอย่างเข้มข้น ก็ยิ่งกดดันทรัมป์ยิ่งขึ้น และอาจเดินหน้าไปสู่การถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสภาทั้ง 2 ได้
เสียงระฆังก็ดังขึ้นพอดี นั่นคือกำหนดการเดินทางไปเยือนต่างประเทศของประธานาธิบดีแกะกล่องที่เพิ่งเข้ามารับงาน เขามีกำหนดไปประชุมสุดยอด 2 แห่ง คือนาโต้ (ที่บรัสเซลส์, เบลเยียม) และจี7 (ที่ซิซิลี, อิตาลี) ก็เลยมีการแวะประเทศอื่นๆ ด้วย รวมทั้งหมด 10 วัน
จะเป็นโอกาสทองที่ข่าวคราวการเยือนต่างประเทศเต็มไปด้วยวาระสำคัญๆ ด้านความมั่นคง, การค้าการลงทุน, จะมากลบประเด็นที่กำลังร้อนจี๋ที่ทำเนียบขาว
ลูกเขยหมายเลขหนึ่งของทรัมป์ ได้จัดให้ทรัมป์ไปเยือนประเทศพี่ใหญ่สุดของมุสลิมสายสุหนี่ให้เป็นประเทศแรก ซึ่งนับว่าทรัมป์มีแต่ได้กับได้ คือ
1. เป็นการกลบกระแสการเมืองที่กำลังปั่นป่วนที่ทำเนียบขาว
2. ลูกเขยหมายเลขหนึ่ง (นายจาเร็ด คุชเนอร์) ก็ได้เป็นผู้รับงานดูแลเรื่องการขายอาวุธให้กับซาอุฯ ซึ่งเขาได้พบกับรองมกุฎราชกุมารของซาอุฯ (เป็นโอรสของกษัตริย์ซัลมาน) โดยซาอุฯ อยากต่อรองราคาสำหรับการซื้ออาวุธล็อตใหญ่ ประกอบด้วยรถถัง, เรือรบ, เรือพิฆาต, ระบบเรดาร์ และการสื่อสาร, ระบบต่อต้านขีปนาวุธ (คงอยากได้แบบ THAAD ที่ทันสมัยสุด แต่จะได้แบบรองๆ ลงมา)
และอาวุธทันสมัยเหล่านี้ ปกติจะต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาว่าจะเอาไปใช้ปราบปรามประชาชนของตนหรือไม่ เช่น กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน และสำหรับประเทศซาอุฯ นั้น เป็นที่ร่ำลือมากต่อปัญหาสิทธิมนุษยชนและความไม่เป็นประชาธิปไตยเลย (ไม่มีการเลือกตั้งใดๆ เพิ่งจะยอมให้มีการเลือกตั้งได้เฉพาะระดับท้องถิ่น และเทศบาลเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการบริหารประเทศ)
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ตกลงขายอาวุธล็อตใหญ่ โดยมีการลดราคาด้วย (ฝีมือจาเร็ด คุชเนอร์ แต่ไม่รู้ได้ค่าคอมมิชชันรึเปล่า แบบในประเทศไทย?) และเหตุผลการขายอาวุธมโหฬารนี้ ก็เพื่อไว้ปราบปรามไอซิส หรือป้องกันการรุกรานของฝ่ายอิหร่าน, อิรัก
ทรัมป์ได้พูดขอบคุณซาอุฯ ที่ซื้ออาวุธล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ เรียกว่าใหญ่มากคือล็อตนี้มูลค่า 110,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณเกือบ 4 ล้านล้านบาท) และมีสัญญาผูกพันอาจขยายไปอีก 10 ปี เป็นมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณเกือบ 12 ล้านล้านบาท)
แต่นิวยอร์กไทมส์ รายงานข่มทรัมป์ว่า โอบามาได้ขายอาวุธใน 4 ปี แก่ซาอุฯ มูลค่าสูงกว่าล็อตนี้ของทรัมป์เสียอีก โอบามาขายได้ 115,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์บอกว่าของเขาจะขายใน 10 ปี สูงกว่าของโอบามา
ช่วงการประชุมสุดยอดที่เจ้าภาพจัดประชุมพิเศษเป็นกลุ่มประเทศอิสลาม (มีผู้นำจาก 55 ประเทศเข้าประชุม) ให้มาจัดตรงกับเวลาที่ทรัมป์เดินทางมาเยือนซาอุฯ พอดี แล้วเชิญทรัมป์ปราศรัยถึง 33 นาที เป็นกรณีพิเศษ ทรัมป์ได้พูดละล่ำละลักขอบคุณซาอุฯ ว่าได้สร้างงานให้ประเทศสหรัฐฯ โดยอุดหนุนอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่ายิ่งใหญ่สุดของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการสร้างงานที่สหรัฐฯ (เอ๊ะ นี่เป็นการพูดกับฐานเสียงและฝ่ายตรงข้ามทรัมป์ในสหรัฐฯ นี่นา) ยังกะว่าซาอุฯ มีบุญคุณกับการสร้างงานในสหรัฐฯ เสียมากมาย
และทรัมป์ได้ขอบคุณซาอุฯ ที่จะมาลงทุนในสหรัฐฯ ในการยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานประเภทถนนหนทาง, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน, รถไฟ ฯลฯ ซึ่งนี่ก็อีกนั่นแหละ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เคยกีดขวางการลงทุนของจีนที่ต้องการเข้ามาลงทุนในท่าเรือ ทั้งที่นิวยอร์ก, บัลติมอร์, ฟลอริดา โดยยกเอาประเด็นว่าเป็นปัญหาความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ ที่จะให้รัฐบาลต่างประเทศมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนับว่าไม่ปลอดภัย – เสี่ยงด้านความมั่นคง
กรณี 9-1-1 ที่รัฐบาลซาอุฯ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังหรือรู้เห็นเป็นใจกับผู้ก่อการร้าย 15 ใน 19 คน ที่ถล่มตึกแฝดที่แมนฮัตตัน กลับถูกมองข้ามจากรัฐบาลทรัมป์โดยสิ้นเชิง
3. เรื่องน้ำมันซึ่งในเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ซาอุฯ ได้จับมือกับรัสเซียเพื่อลดกำลังการผลิต รัสเซียเคยผลิตต่อวันสูงสุดถึงเกือบ 12 ล้านบาร์เรล (รัสเซียถูกคว่ำบาตรจากรัฐบาลโอบามา ก็เลยเร่งขยายส่วนแบ่งตลาดน้ำมันโดยเร่งการผลิต) ซาอุฯ ผลิตวันละ 11 ล้านบาร์เรล
ทั้ง 2 จับมือกันลดการผลิตร่วมกับประเทศในโอเปก (ยกเว้นผ่อนปรนให้ลิเบียและไนจีเรีย) และประเทศในกลุ่มเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน ฯลฯ จนราคาน้ำมันดิบที่เคยตกลงไปที่ประมาณ 25 เหรียญผงกหัวมาอยู่ที่ 50 เหรียญได้ขณะนี้
และสหรัฐฯ ก็ชุบมือเปิบ เพราะไม่ได้ไปร่วมกับข้อตกลงรัสเซีย + โอเปก สหรัฐฯ เร่งขยายการผลิต Shale Oil + Gas ออกมามาก จนตอนนี้เกือบวันละ 10 ล้านบาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันดิบไม่สามารถจะถีบตัวขึ้นไปได้เกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ คล้ายๆ เป็นตัวบ่อนทำลายการสร้างรายได้ของรัสเซียและซาอุฯ ดังนั้น ตัวทรัมป์และทีมงานของเขา คือรัฐมนตรีต่างประเทศ นายเร็กซ์ ที. ก็ต้องปรับความเข้าใจกับซาอุฯ เรื่องนี้แน่นอน สังเกตด้วยว่านายเร็กซ์ ที เคยเป็นซีอีโอ และประธานของบริษัทน้ำมันยักษ์เอ็กซอน โมบิล แล้วได้รับคัดเลือกมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ด้วยบทบาทสำคัญด้านพลังงานที่ทีมทรัมป์หมายมั่นปั้นมือจะปลุกผีพลังงานพวกฟอสซิลให้ผงาดขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่เป็นพลังงานที่กำลังเหมือนอาทิตย์ตกดินลาลับ
4. ด้านความมั่นคง ทรัมป์แสดงท่าทีว่าจะต้องร่วมมือกันปราบไอซิส โดยขับพวกไอซิสออกไปจากประเทศต่างๆ (ซึ่งประเทศอาหรับหลายประเทศให้การสนับสนุนการก่อตัวของฝ่ายไอซิส) และได้แสดงให้เด่นชัดว่า เขาประณามอิหร่านว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้ายทั้งปวง และสหรัฐฯ อยู่ข้างเดียวกับซาอุฯ
5. เป็นการส่งสัญญาณที่เขาเคยประกาศช่วงหาเสียงว่าจะปิดประตูห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ เปิดประตูรับผู้ก่อการร้ายมาทำลายตัวเอง (ทั้งๆ ที่ ผู้ก่อการร้ายเป็น Homegrown คือเกิดในสหรัฐฯ แทบทุกคน หรือย้ายเข้าสหรัฐฯ จนได้รับสิทธิเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มานานทั้งสิ้น) ทรัมป์จึงต้องการพิสูจน์ว่า เขาไม่ได้รังเกียจชาวมุสลิม โดยแยกซาอุฯ ออกมาเป็นมุสลิมสายกลาง และเขายอมทำตามนายพลแม็คมาสเตอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงคนใหม่ (มาแทนไมเคิล ฟลินน์) ว่าจะไม่ใช้คำเรียก “ผู้ก่อการร้ายมุสลิมสุดโต่ง” (Radical Islamic Terrorism) เพราะเป็นการประณามศาสนาอิสลามด้วย ในสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสุดยอดอิสลามที่ริยาร์ดในครั้งนี้ แต่เขากลับพูดถึงการต่อสู้ทั่วโลกกับ “การก่อการร้าย” ที่เป็นศึกระหว่าง “Good and Evil” คือความดีงามและความชั่วร้าย
เจ้าภาพคือกษัตริย์ซัลมาน จัดต้อนรับทรัมป์อย่างมโหฬารยิ่งกว่าเคยต้อนรับอดีตประธานาธิบดีบุช และโอบามา โดยเฉพาะช่วงโอบามานั้น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ และซาอุฯ เลวร้ายมาก เพราะโอบามาสามารถทำสัญญาเลิกคว่ำบาตรอิหร่าน โดยแลกกับการที่อิหร่านจะเปิดให้มีการตรวจสอบว่าไม่ได้แอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งสัญญา นี้ทำให้ซาอุฯ ไม่พอใจ
ครั้งนี้ ทางซาอุฯ จึงจัดให้ทรัมป์กล่าวปราศรัยเป็นพิเศษต่อที่ประชุมสุดยอดประเทศอิสลาม ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าตอนโอบามา (ที่เพิ่งเข้ามาเป็นประธานาธิบดี) ประกาศสุนทรพจน์ (เนื้อหาเรียกร้องการแก้ปัญหาตะวันออกกลางและการก่อการร้ายสากล) ที่เมืองไคโร ประเทศอียิปต์ ซึ่งทำให้โอบามาเด่นมาก โดยบอกว่าประเทศอิสลามอย่ามองสหรัฐฯ (และตะวันตก) เป็นศัตรู แต่ให้มองเป็นมิตร
นับว่าทรัมป์ ประสบผลสำเร็จมากในการเยือนซาอุฯ ครั้งนี้ ได้ทั้งภาพลักษณ์ที่ดี และเงินจากการขายอาวุธเต็มกระเป๋ากลับบ้าน
ก่อนเดินทางทั้ง ส.ส./ส.ว.รีพับลิกันเป็นห่วงมากว่าเขาจะโพล่งอะไรที่ผิดใจกับเหล่าบรรดาประเทศอิสลามเหล่านั้น
ตราบเท่าที่เขายังหลีกเลี่ยงสุนทรพจน์สดๆ หรือการตอบคำถามนักข่าว (ที่ซาอุฯ จะไม่มีการเปิดโอกาสให้นักข่าวถามอะไรเลย เพราะที่นั่นเขามีแต่การแถลงข่าวอย่างเดียว ไม่เปิดให้มีคำถาม) ก็เป็นอันปลอดภัยในระดับหนึ่ง
สำคัญคือ สันติสุขในตะวันออกกลางจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อทรัมป์ขนอาวุธก้อนมหึมาไปขายให้ซาอุฯ เพื่อปราบปรามประชาชนของตน และเพื่อทำการรบกับเหล่าประเทศคู่แข่งของเขาในภูมิภาคนั้น.