xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

3 ปี รัฐบาล คสช. “ป๋าป้อม” สำลักความสุข แต่คนไทยได้อะไร ใครรู้บ้าง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผ่านมาแล้ว 3 ปี กับการบริหารราชการแผ่นดินของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สู้อุตส่าห์ “เสียสละ-เสี่ยงชีวิต” ยึดอำนาจจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วย “เหตุผล-ข้ออ้าง” ที่ระบุไว้ใน ประกาศ คสช. ฉบับที่ 1/2557 เรื่องการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ

ตอนหนึ่งว่า “...เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี เช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทั่วทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เวลา 16.30 เป็นต้นไป...”

ถอดรหัสถ้อยคำข้างต้น ก็จะพบว่า “...เพื่อเป็นปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทั่วทุกฝ่าย...” คือ “การบ้าน” และ “คำมั่น” ที่ คสช.ประกาศไว้เป็นครั้งแรกต่อสาธารณะในฐานะ “คณะรัฐประหาร”

ก่อนจะดีไซน์ภารกิจต่างๆออกมาภายใต้แคมเปญ “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ที่กลายมาเป็นบทเพลงมีท่อนฮุกคุ้นหู “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”

แต่เผลอประเดี๋ยวเดียว “เวลาอีกไม่นาน” ของ คสช.ก็ล่วงมาครบปีที่ 3 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ด้วย “โรดแมป คสช.” ที่มีคุณลักษณะพิเศษ “ยืดอย่างเดียว ไม่มีหด” ขนาดมาถึงวันนี้ยังไม่มีใครแน่ใจเลยว่า คสช.จะผละอำนาจให้มีการเลือกตั้งในปี 2561

และเมื่อสรุปผลงานการดำเนินการต่างๆของ คสช.ก็จะพบว่า การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่เคยประกาศไว้ ยังไม่มีแนวโน้มความคืบหน้าใดที่ออกมาเป็นรูปธรรม ซ้ำร้ายการแก้ไขปัญหาต่างๆก็ดูยังไม่เข้ารูปเข้ารอย สวนทางกับ “อำนาจล้นมือ” เป็นถึง “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ คสช.มีอยู่อย่างสิ้นเชิง

ปัญหาด้านสังคมอาจพอถูไถไปได้ ด้วยนโยบายจัดระเบียบต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องถึงมือคณะรัฐประหารด้วยซ้ำ แค่บังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวด ก็ทำให้เป็นไปในทิศทางที่ดีได้แล้ว ส่วนปัญหาด้านการเมืองนั้น ดูผิวเผินอาจจะเหมือนสงบ ความขัดแย้งลดลง แต่หากเจาะเข้าไปถึงแก่นจริงๆแล้วก็จะพบว่า ปัญหาแค่ถูกซุกไว้ใต้พรม ด้วยอำนาจ “มาตรา 44” หรือ “ตะบองยักษ์” ที่มีไว้ขู่จนเหล่านักการเมือง-นักเลือกตั้งขอจำศีลอยู่ในที่ตั้ง หากแต่การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นยังมีให้เห็นเป็นระยะๆ สะท้อนว่าความขัดแย้งทางความคิดยังไม่เลือนหายไปจากสังคมไทย อีกทั้งวาระการปฏิรูปต่างๆที่เป็นโจทย์สำคัญของ คสช.กลับถูกโยนไปเป็นภาระของรัฐบาลชุดต่อไป

ที่หนักสุดคงเป็นการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่แม้จะไม่ใช่มูลเหตุมาจากการบริหารของรัฐบาล คสช.ทั้งหมด แต่ก็น่าผิดหวังกับแนวทางแก้ไขปัญหาจนมีตัวชี้วัดมากมายที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของไทยตกต่ำลงและไม่มีท่าทีจะดีขึ้นแต่อย่างใด โดยเฉพาะ ดัชนีชี้วัดอย่างปากท้องประชาชน

ส่งผลให้คะแนนความนิยมของ คสช.ที่อิงกับคะแนนนิยมส่วนตัวของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกต่ำลงตามลำดับ จนคำถามประเภทรัฐประหารปี 2557 เสียของหรือไม่ การแก้ไขปัญหาต่างๆจะมีแนวโน้มดีขึ้นหรือไม่ และในช่วงสุดท้ายของ คสช.จะทำให้อะไรกับคนไทยบ้าง เป็นคำถามโลกแตก ที่สงสัยก็ไม่มีคำตอบ อาจจะได้คำตอบกำปั้นทุบดินประเภท “ปั๊ดโธ่...” กลับมาแค่นั้น

แต่ในขณะที่คนไทยยังสงสัยอยู่ว่าได้อะไรจาก 3 ปีของ คสช.บ้าง ในทางตรงข้ามกลับ 3 ปีของ คสช.กลับส่งให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของ คสช. ที่ได้รับการยกฐานะจาก “บิ๊ก” กลายเป็น “ป๋า” เนื่องด้วยความเป็นผู้ทรงอิทธิพล แผ่อำนาจขจรขจายไปทุกอณูของแผ่นดินไทย ได้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันต่างจากคนไทย-สังคมไทยอย่างสิ้นเชิง

ไล่เรียงตั้งแต่ช่วงแรกที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจการปกครอง และกำลังชุลมุนอยู่กับการออกคำสั่งควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ยังมีไม่ลืมที่จะออกคำสั่งหัวหน้า คสช.93/2557 ที่ว่าด้วยการยกโทษปลดออกจากราชการ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยอ้างว่าทำตามคําพิพากษาศาลปกครองกลาง เหมือนว่าหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่า นอกจากจะล้างบางอำนาจระบอบเก่าแล้ว ยังบรรจุเรื่องของ “บิ๊กป๊อด” ใน “โรดแมป คสช.” ด้วย

เป็น “บิ๊กป๊อด” ที่มีฐานะเป็นน้องชายร่วมสายโลหิตคลานตาม “บิ๊กป้อม” ออกมา ที่ได้รับโปรโมชั่น “คืนความสุข” เป็นคนแรกๆในยุค คสช.

ไม่เพียงเท่านั้น การทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ก็ยังอยู่ใน “โรดแมปอุ้มพัชรวาท” เช่นกัน เพราะในช่วงที่มี “บิ๊กกุ้ย” โดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ลงสรรหาเป็น ป.ป.ช. ก่อนกลายเป็น “เต็งจ๋า” คว้าตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.ปาดหน้ากลุ่ม ป.ป.ช.เก่าที่ได้แต่มองตาปริบๆ

นาทีนั้นรู้กันดีว่าเป็นแรงผลักดันจากอดีตนายเก่าอย่าง “บิ๊กป้อม” พี่ใหญ่แห่ง คสช. ที่ต้องการวางขุมข่ายอำนาจของตัวเองเข้าคุมองค์กรหน่วยงานต่างๆให้มากที่สุด ซึ่ง ป.ป.ช.ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในอนาคตในภายภาคหน้า โดยเฉพาะเรื่องคดีความที่เกี่ยวกับข้าราชการ และนักการเมือง

ที่สำคัญยังมี “ภารกิจพิเศษ” ในการเคลียร์คดีให้กับใครบางคน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “บิ๊กป๊อด” ที่มีชนักปักหลังจากคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 ตุลาคม 2551 ที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจำเลยในคดีนี้มีอยู่ 4 คน ไล่ตั้งแต่ “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และที่ขาดไม่ได้ก็ “บิ๊กป๊อด” ในฐานะคีย์แมนสำคัญในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสูญเสียวันนั้นนั่นเอง

“บิ๊กป๊อด” เป็นทั้ง “น้องชายสุดเลิฟ” ของ “พี่ใหญ่ คสช.” ทั้งยังเป็นอดีตเจ้านายเก่าของ “บิ๊กกุ้ย” สมัยรับราชการตำรวจอีกด้วย ว่ากันว่าที่ “บิ๊กกุ้ย” ได้ตกพุ่มขึ้น “เบอร์ 1 กรมปทุมวัน” เมื่อครั้งที่ คสช.เข้าคุมอำนาจการปกครองใหม่ๆ นอกจาก “เพื่อนซี้” อย่าง “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว จะหลีกทางให้ตามสัญญาใจแล้ว ก็ยังมี “ป๋าดัน” อย่าง “บิ๊กป๊อด” ช่วยเชียร์อีกแรง

หากแต่ฝันของ “พี่ป้อม-น้องป๊อด” ก็ยังไม่ลุล่วง เมื่อความพยายามให้มี ป.ป.ช. “ถอนฟ้อง” ในชั้นศาลยังไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะถูกจับได้ไล่ทันเสียก่อน

นอกจากนี้ในส่วนของการวางขุมข่ายกำลัง ทั้งในกองทัพ หรือในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็อยู่ในอาณัติของ “ป๋าป้อม” แทบจะเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะในกองทัพนั้น ว่ากันว่า “พี่ป้อม” จับวางเด็กปั้น-เด็กในเครือไปประจำตำแหน่งสำคัญๆได้อย่างสะดวกโยธิน อาจจะมีพลาดไปบ้างเมื่อครั้งที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท สายรบพิเศษ หักด่านขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 40 แห่งกองทัพบกไทย แทนที่จะเป็น “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ที่ “บิ๊กป้อม” หมายมั่นปั้นมือไว้ แต่ในส่วนอื่นๆก็วางตัว “เด็กป้อม” ก็ยังเป็นไปตามนัดไม่ว่าโผกลางปี หรือโผปลายปี

ขณะที่การวางเครือข่ายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นั้น ที่แม้ “บิ๊กป้อม” จะปฏิเสธอยู่เสมอว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กระนั้นก็ตามยังมีกระแสข่าวว่า ในทำนองว่า การแต่งตั้งโยกย้ายใน สตช.ยังต้องผ่านความเห็นชอบจาก “ฟาร์มโชคชัย” เสียก่อน โดยมี “บิ๊กป๊อด” ในฐานะอดีต ผบ.ตร.คอยกำกับไม่ให้ออกนอกลู่อย่างใกล้ชิด

ในขณะเดียวกันการเสริมรากฐานขุมข่ายทางการเมืองของ “บิ๊กป้อม” ก็เติบใหญ่ขึ้นแบบก้าวกระโดด ผ่านก้าวย่างของ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่มีคีย์แมนสำคัญ อย่าง “เสี่ยเป็ด”เนวิน ชิดชอบ คนโตแห่งอีสานใต้ ที่พยายามอาศัยภาพ “คนกีฬา” ในการเคลื่อนไหว ปล่อยให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่สวมหัวโขนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อยู่ ออกหน้าฉากในฐานะ “คนการเมือง” ที่มีข่าวว่าเดินเกมลึกเปิด “ดีลลับปรองดอง” พยายามทำตัวเป็น “โซ่ข้อกลาง” เพื่อให้ “ขั้วอำนาจเก่า-ใหม่” ประสานประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายให้ลงตัว

และที่ขาดไม่ได้ปีกของ “นายทุนสีน้ำเงิน” อย่าง “เจ้าสัว” วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ที่โดดเด่นติดลมบนกับความยิ่งใหญ่ของ “อาณาจักรคิงเพาเวอร์” ที่อู้ฟู่พุ่งกระฉูดจนฉุดไม่อยู่ แม้จะมีข้อครหาเรื่องการลักลอบขายสินค้าปลอดภาษีในดิวตี้ฟรี หรือเรื่องการผูกขาดสัมปทาน ที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไล่เช็คบิลอยู่ แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่ารัฐบาล คสช.จะเข้าไปจัดระเบียบแต่อย่างไร แม้จะมีการ “ชงหวานเจี๊ยบ” จากกรรมาธิการปราบโกงของทางสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ก็ตาม

เพิ่มน้ำหนักให้ “ข่าวมโน” ที่ว่า “เจ้าสัววิชัย” ได้รับความเมตตาเป็นพิเศษจาก “พี่ใหญ่” โดยมอบหมายให้ จุลจิต บุณยเกตุ รองประธานกรรมการบริหารของบริษัทกลุ่มคิงเพาเวอร์ปัจจุบัน ไปเป็นที่ปรึกษาของ “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” ฐานอำนาจของ “พี่ใหญ่” ที่ตั้งอยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)

ตลอดจนการกำเนิดเกิดขึ้นของ “สายตะกูรีสอร์ท แอนด์ กาสิโน” ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ “บิ๊กป้อม” ในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงของรัฐบาล ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่า กาสิโนสายตะกู ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ยังปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ แต่กลับไม่มีท่าทีที่จะทักท้วงแต่อย่างใด จนถูกนำไปผูกโยงอย่างสนุกสนานว่า ไปรู้เห็นเป็นใจกับการดำเนินกิจการของกาสิโนแห่งนี้

ความได้น้ำได้เนื้อของ “บิ๊กป้อม” ยังรวมไปถึงการฝันที่เป็นจริงให้แก่กองทัพเรือไทย กับการจัดซื้อ “เรือดำน้ำหยวนคลาส S26T” เพื่อมาประจำการเสริมเขี้ยวเล็บให้ “ราชนาวีไทย” ด้วยวงเงินงบประมาณ 1.35 หมื่นล้านบาทต่อ 1 ลำ และจะตามมาอีก 2 ลำ รวมเป็น 3 ลำมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางข้อวิจารณ์ถึงความผิดปกติ-ปิดบังซ่อนเร้นอย่างมีพิรุธ ของการขออนุมัติโครงการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เป็นไปแบบ “ลับสุดยอด” งุบงิบอยู่ได้ถึงเกือบ 2 สัปดาห์เรื่องจึงแดงขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ยังชอปปิงต่อเนื่องกับโครงการจัดซื้อรถถัง VT4 จากจีน วงเงินงบประมาณ 2 พันล้านบาท ไปพร้อมๆกันด้วย

นอกจากทุกสิ่งอย่างจะลงตัวไปหมดแล้ว สถานะความสำคัญของ “บิ๊กป้อม” ก็ยังคงสถานะความเป็นศูนย์กลางอำนาจใน คสช.อยู่เสมอ แม้จะมีข่าวกระเซ็นกระสายว่า “บิ๊กป้อม” อาจไม่ได้ไปต่อ และจะถูกปรับออกจาก ครม.อยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ราศีของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ก็ยังเปล่งปลั่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งที่ผลงานภารกิจที่รับผิดชอบอยู่หลายสิบเรื่อง จะไม่มีผลสัมฤทธิ์ที่น่าพึงพอใจก็ไม่ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาจราจร การรักษาความมั่นคงทางอธิปไตยชายแดน กระทั่งการรักษาความสงบในประเทศ เห็นชัดๆกับระเบิดที่ตูมตามเฉลิมฉลอง 3 ปี คสช.ทั้งที่ภาคใต้ หรือที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เป็นต้น

แต่ด้วยสถานะความเป็นพี่ใหญ่ของ “บูรพาพยัคฆ์” และเป็นพี่ใหญ่ใน “ก๊วน 3 ป.” คีย์แมนของ คสช. อันประกอบด้วย “บิ๊กป้อม - บิ๊กตู่” และ “บิ๊ก ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ยังไม่มีใครสามารถแซะให้ร่วงจากความเป็น “บิ๊กบราเทอร์ส” ไปได้ ทั้งที่เป็นทั้ง “สายล่อฟ้า - ตำบลกระสุนตก” เป็นทั้ง “จุดอ่อน” ของรัฐบาล คสช. แต่ในทางกลับกันก็มีคุณูปการต่อ “น้องตู่” ในทางการเมือง ด้วยสายสัมพันธ์หลากคอนเนกชั่น และการบริหารจัดการผลประโยชน์ที่ลงตัว เพื่อให้ไม่มีอุปสรรคขวางทางเดินของรัฐบาล คสช.

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวไป สะท้อนให้เห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมาในยุค คสช. เป็นช่วงเวลาแห่งความสุของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของ คสช. อย่างแท้จริง.

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจาก “อลิสา อัศวโภคิน” ผู้เป็นลูกสาว ถูก ป.ป.ง.อายัดที่ดินจำนวน 8 แปลงมูลค่าเฉียด 300 ล้านบาทไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 260 คราวนี้ก็ถึงคราวผู้เป็นพ่ออย่าง “เสี่ยตึ๋ง-อนันต์ อัศวโภคิน” เจ้าสัวแลนด์แอนด์เฮ้าส์และอัครสาวกหมายเลข 1 ของ “หลวงพ่อธมฺมชโย” ต้องคดีเข้าให้บ้าง เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ออก “หมายเรียก” นายอนันต์ให้มารับทราบข้อกล่าวหา

เนื่องเพราะเห็นว่า นายอนันต์อาจเข้าข่ายความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน ตามมาตรา 5 และมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน พ.ศ.2542

สำหรับที่มาและที่ไปของหมายเรียกอัครมหาเศรษฐีและอัครมหาสาวกอันดับ 1 ของวัดพระธรรมกายนั้น เป็นผลต่อเนื่องมาจากการอายัดที่ดินจำนวน 8 แปลงของนางสาวอลิสา อัศวโภคินผู้เป็นลูกสาวที่ซื้อต่อมาจาก “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อีกหนึ่งสาวกของพระธมฺมชโยที่ยักยอกนำเงินของสหกรณ์ออกมาซื้อที่ดินผืนดังกล่าว

โดยนายศุภชัยขายที่ดินแปลงนี้ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีเพียงไม่กี่วัน จากนั้นนางสาวอลิสาได้ยินยอมให้ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง” ใช้ในการก่อสร้าง “อาคารบุญรักษา” หรืออาคารโรงพยาบาลของวัดพระธรรมกาย ขณะที่ทางฝ่ายสื่อสารองค์กรของวัดพระธรรมกายก็ออกโรงมาปกป้องว่าที่ดินผืนนี้เป็น “ธรณีสงฆ์”

ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อที่ดินดังกล่าวมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าอาจเป็นความผิดฐาน “สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” ตามมาตรา 5, มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยมีมติร่วมกับพนักงานอัยการให้เรียกตัว นายอนันต์ มารับทราบข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป 

นี่เป็นหมายเรียกที่สั่นสะเทือนต่อชีวิตและธุรกิจของนายอนันต์เป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้คดีจะยังไม่เป็นที่สิ้นสุดและนายอนันต์เป็นเพียงแค่ผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหา แต่สำหรับนักธุรกิจที่มีสินทรัพย์และอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์อยู่ไม่น้อย เนื่องเพราะถูกออกหมายเรียกด้วยข้อหา อาจ “สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน”

กล่าวสำหรับนายอนันต์นั้น จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรุ่น 11 รุ่นเดียวกับ “บุญคลี ปลั่งศิริ” จากนั้นไปจบ ปริญญาโท M.S. Industrial Engineering, สถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์, และ ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 ชีวิตส่วนตัวอนันต์สมรสกับ วารุณี (กี่ศิริ) ต่อมาหย่าร้างกัน โดยมีบุตร-ธิดา 3 คน ได้แก่ อาชวิน-อลิสา-อาชนัน อัศวโภคิน

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เคยได้รับรางวัล Best CEO Of The Yearและเคยได้รับตำแหน่งเศรษฐีหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในไทยหลายปีซ้อน เพราะมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26,000 ล้านบาท เคยได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บให้เป็นมหาเศรษฐีของไทยลำดับที่ 18 (ประจำปี พ.ศ. 2555) และในปี 2559 ที่ผ่านมาติดอันดับเศรษฐีหุ้นลำดับที่ 5 ของประเทศไทย

ปัจจุบัน เครือข่ายธุรกิจของนายอนันต์มีมากมาย อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ , บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) Terminal 21 และ ชอปปิงมอลล์ที่เป็นของครอบครัว Fashion Island เป็นต้น

นายอนันต์ถือเป็นอัครสาวกที่ศรัทธาในตัวพระธมฺมชโยอย่างแรงกล้า ดังที่เขาเคยขึ้นกล่าวกับศิษยานุศิษย์ภายในงานบุญวันคล้ายวันเกิด 130 ปี พระมงคลเทพมุณี (สด จันทสโร) ในบางช่วงบางตอนถึงความสัมพันธ์อันล้ำลึกถึงขั้นชักชวนให้ปิดบัญชีเพื่อบริจาคเงินให้กับทางวัดเลยทีเดียว
       
“เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตนก็เจอปัญหาแต่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อ แล้วบอกท่านว่าตนไม่ได้ขยายกิจการเลย เพราะแข่งกีฬาสีมาหลายปีแล้ว หลวงพ่อท่านตอบมาว่าบุญคุ้มกันรักษาเราตลอดเวลา ไปดูพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าบุญจะคุ้มครองเราเฉพาะตอนเศรษฐกิจดี เศรษฐกิจไม่ดีไม่คุ้มครอง คุณอนันต์ มีบุญอยู่แล้วทำไปเหอะ มันไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ตนว่าพวกเราที่นี้มีบุญทุกคน เสียอย่างเดียวใจเราไม่เกลี้ยงพอ เป็นห่วงวิตกกังวล  ตนบริจาคเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ ไม่แน่ใจว่าจะส่งลูกต่อดีมั้ย เพราะว่าลูกเรียนอยู่เมืองนอก หรือจะเอาเงินก้อนนี้ไปจ่ายดอกเบี้ยแบงก์ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าวัดจะสร้างเสาค้ำฟ้า ตนก็เอาเงินก้อนสุดท้ายในบัญชีบริจาคไป ทั้งหมดเลย เดี๋ยวต้องหาทางออกให้ลูกเอง วันที่บริจาคขนลุกน้ำตาไหล รู้สึกไม่ มีอะไรต้องห่วงแล้ว จำได้จนตายเลย ปลื้มมาก

        “อยากจะให้หลวงพ่อท่านปลื้มมั้ยครับ งั้นวันนี้พวกเราปิดบัญชีกันมั้ยครับ ผมเพิ่งทำไปเมื่อกี๊ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำบุญปีละเป็นร้อยแล้วนะ ทำมากกว่านั้นเยอะ เพราะว่ายอมเลิกหมดทุกอย่าง ลูกก็ไม่เอาแล้ว งั้นพวกเราก็อยากเห็นหน้าหลวงพ่อท่านยิ้มและปลื้มมั้ยครับ มาปิดบัญชีกันมั้ยครับ ปิดนะครับ ไม่เม้มนะครับ”

ถึงวันนี้ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์กำลังจะจะยุ่งเพราะอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลบุญที่ทุ่มเททำกับวัดพระธรรมกายและและหลวงพ่อธมฺมชโยจะช่วยเหลืออะไรได้หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น