เพียง 2 วันก่อนถึงกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มีข่าวครึกโครมตามสื่อหลักๆ เช่น ซีเอ็นเอ็น ถึงกับติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมการวิเคราะห์อย่างเผ็ดร้อน โดยตัดรายการปกติออกพร้อมโฆษณา
เจ้าตัวปัญหาก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีลักษณะการบริหารไม่แตกต่างจากเถ้าแก่ โดยเขาเคยเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งนิวยอร์ก ที่บริหารโดยคนคนเดียวอย่างเด็ดขาด ไม่ได้ปรึกษาใครมากและชอบตัดสินใจคนเดียว ด้วยเชื่อมั่นว่าตนจะทำได้สำเร็จดีกว่าคนอื่นๆ
เขาเพิ่งออกมายอมรับว่า เป็นผู้ตัดสินใจไล่ออก ผอ.เอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีช่วยยุติธรรมเป็นผู้ลงนามคำสั่งปลดออก และเถ้าแก่ทรัมป์ก็ทนไม่ไหวจนต้องออกมายอมรับว่าเป็นการตัดสินใจของเขาผู้เดียว
ตำแหน่งผอ.เอฟบีไอนี้ ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะต้องเปลี่ยนตัวเมื่อมีประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งต้องย้อนไปตั้ง 50 ปีที่มีสุดยอดแห่งเจ้าพ่อเอฟบีไอชื่อ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่นานเป็น 20 ปี และใช้วิธีการเก็บข้อมูลลับของบรรดานักการเมืองและนักธุรกิจไว้ในแฟ้มลับของเขา เพื่อใช้ในการแบล็กเมล์และทำให้เขาสามารถรักษาเก้าอี้นี้ไว้ได้นาน
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนกฎหมายเพื่อให้ผอ.เอฟบีไออยู่ได้วาระละ 10 ปี และยังไม่เคยมีการปลดผอ.เอฟบีไอออก หลังจากเปลี่ยนตัวประธานาธิบดี คือ เป็นตำแหน่งที่ไม่ใช่การเมือง ต้องเป็นกลางทางการเมือง (เคยมีสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ที่มีการปลดผอ.เอฟบีไอออก แต่ไม่ใช่ทางการเมือง แต่เป็นเพราะมีหลักฐานชัดว่าผอ.คนนั้นแอบใช้เครื่องบินของทางการไปใช้ธุรกิจส่วนตัว)
ดร.เจมส์ โคมีย์ จึงเป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอคนแรกที่ถูกไล่ออกโดยประธานาธิบดีคนใหม่
ผอ.โคมีย์ เพิ่งทำงานมาได้แค่เกือบ 4 ปี ยังมีเวลาเหลืออีก 6 ปีกว่า
ในคำสั่งปลดที่ลงนามโดยรัฐมนตรีช่วยยุติธรรม ก็บอกว่าเหตุผลที่ปลดคือเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป เพราะเกิดการระส่ำระสายในหน่วยงานที่ไม่พอใจเขา ซึ่งเมื่อกรรมาธิการข่าวกรองสภาเรียกรักษาการผู้อำนวยการเอฟบีไอ ที่มารักษาการแทนโคมีย์ ขึ้นให้การในคณะกรรมาธิการ เขาบอกว่าทุกคนในหน่วยงานรัก+ภักดีกับโคมีย์ ไม่มีเรื่องแตกแยกกันในเอฟบีไอแต่อย่างใด
แท้จริง เถ้าแก่ทรัมป์เคยรับบทในรายการทีวีที่ดังมากในเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เป็นรายการที่เถ้าแก่ทรัมป์ตัดสินใจ “จ้าง” หรือ “ปลด” พนักงานในเหตุการณ์สมมติตามสถานการณ์ที่สร้างขึ้น เถ้าแก่ทรัมป์ตีบทได้แตกมาก จนเรตติ้งของเขาสูงทีเดียว
เถ้าแก่ทรัมป์ก็เลยนำมาใช้กับผอ.โคมีย์ ทั้งๆ ที่บริบทมันต่างกัน เพราะผอ.โคมีย์ เป็นผอ.ของหน่วยงานราชการที่ต้องเป็นกลางทางการเมือง ตัวผอ.เอฟบีไอต้องผ่านการอนุมัติเห็นชอบ (Confirmation) จากสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 100 คน ซึ่งโคมีย์ได้มากถึงเกือบ 100 คน และทั้งๆ ที่เขาลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน แต่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งนี้โดยอดีตประธานาธิบดีโอบามา
สำหรับการปลดผอ.เอฟบีไอโคมีย์นี้ เพราะเขากำลังสอบสวนเรื่องความเกี่ยวพันคณะหาเสียงของผู้สมัครทรัมป์ เมื่อช่วงหาเสียงปีก่อน ที่ใกล้ชิดหรืออาจร่วมมือกับทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ เพื่อแทรกแซงขบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
การสอบสวนเรื่องนี้กำลังดำเนินอยู่ในคณะกรรมาธิการในสภาหลายคณะ ทั้งในสภาล่าง + วุฒิสภา
เมื่อเดือนมีนาคมนี้ ผอ.โคมีย์ได้ไปให้การในคณะกรรมาธิการชุดหนึ่ง และไปพูดความจริง 2 เรื่องที่ทำให้เถ้าแก่ทรัมป์โกรธมาก คือ
1. โคมีย์บอกไม่มีหลักฐานที่เอฟบีไอ ว่าอดีตประธานาธิบดีโอบามาแอบดักฟังโทรศัพท์ของทรัมป์ ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์หรือที่อื่นๆ ในช่วงหาเสียง ซึ่งอันนี้ตรงข้ามกับที่ทรัมป์ได้กล่าวหาโอบามา เพื่อกลบเรื่องที่ทรัมป์จำใจปลดพล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เถ้าแก่ทรัมป์มีความเชี่ยวชาญมากด้านการเบี่ยงเบนประเด็นการเมือง เมื่อตัวเองเพลี่ยงพล้ำ
2. ผอ.โคมีย์ เปิดเผยว่า เอฟบีไอได้เริ่มต้นติดตามสืบสวนคณะหาเสียงของทรัมป์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้วนั้น เป็นเวลาก่อนวันลงคะแนนที่ 8 พฤศจิกายน ถึง 4 เดือนเต็ม เพราะทางเอฟบีไอแอบดักจับสัญญาณโทรศัพท์ของบรรดาคณะทูตของรัสเซียตลอดเวลา จึงมีหลักฐานว่าพล.ท.ฟลินน์ติดต่อกับรัสเซียถี่มาก เรื่องนี้ทำให้ทรัมป์ไม่พอใจและไม่ระแคะระคายมาก่อน และอาจโยงมาถึงตัวเขาด้วยซ้ำ
โคมีย์ไปให้การกับคณะกรรมาธิการวุฒิสภาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ย้ำถึงการติดตามคณะประธานาธิบดีทรัมป์ช่วงหาเสียงและมีการติดต่อกับรัสเซีย การให้การครั้งนี้เขาพูดมากกว่าเมื่อเดือนมีนาคม มีการพูดชัดๆ พร้อมแสดงสีหน้าอารมณ์ร่วมถึงกรณีที่เขาบอกว่า ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย เกลียดฮิลลารีมาก และน่าจะมีการแทรกแซงการเลือกตั้งจนทำให้คะแนนของเธอต้องตกลงมาก หลังการเปิดโปงข้อมูลของพรรคเดโมแครต
โคมีย์ยังพูดว่า เขารู้สึกสะอิดสะเอียนเพราะเขาต้องตัดสินใจว่าจะพูดดี หรือจะปิดบังกลบเกลื่อนดี เรื่องที่รัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งครั้งนี้ และนี่เป็นจุดที่เถ้าแก่ทรัมป์มองว่าโคมีย์ เป็นอันตรายต่อตำแหน่งประธานาธิบดีของตน จึงต้องปลดออก โดยอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ
นายทรัมป์ได้เขียนข้อความในทวิตเตอร์ว่า เขาได้พูดเพียงลำพังกับโคมีย์ถึง 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งในช่วงรับประทานอาหารกัน 2 ต่อ 2 ซึ่งโคมีย์เป็ยฝ่ายขอทานอาหาร ส่วนอีก 2 ครั้งเป็นทางโทรศัพท์ ซึ่งทรัมป์บอกว่าทั้ง 3 ครั้งนี้ โคมีย์ได้ยืนยันกับเขาว่า ทรัมป์ไม่อยู่ในกลุ่มที่ถูกติดตามสอบสวนด้วย เรื่องนี้หลายคนมองว่าเป็นการแถลงของ “คนที่กินปูนร้อนท้อง” คือสรุปเองเออเองตามวิสัยของเถ้าแก่ที่เคยแต่เผด็จการในธุรกิจของตน และทรัมป์มองว่าฐานเสียงของตนยังตาบอดหูหนวก (เป็นพวกที่มีรายได้น้อย และรับข้อมูลจากทวิตเตอร์ของเขาอย่างเดียว ไม่ค่อยรับรู้ผ่านสื่ออื่นๆ ถ้าดูทีวีก็ดูแต่ช่องของฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งเป็นฝ่ายรีพับลิกันทั้งนั้น) ที่จะยังเชื่อมั่นในคำพูดของเขาผ่านทวิตเตอร์เท่านั้น
เรื่องการปลดผอ.เอฟบีไอ ยังเป็นที่พูดกันอื้ออึงทั้งในสภาและนอกสภาอเมริกัน ตามมาด้วยการเข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์จากรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ การพบกันครั้งนี้ก็ค่อนข้างแปลก เพราะทำเนียบขาวอนุญาตให้สื่อสหรัฐฯ ถ่ายรูปได้เฉพาะขณะที่ยืนกันอยู่หน้าห้องประชุมเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในห้อง แต่ปรากฏว่าเมื่อปิดประตูห้องแล้ว สื่อรัสเซียได้รับอนุญาตพิเศษให้เข้าถ่ายรูปภายในห้องประชุมแล้วนำมาเผยแพร่ถึงภาพใกล้ชิดเป็นกันเองของประธานาธิบดีทรัมป์และแขกทั้งสองคนจากรัสเซีย รูปหลายๆ รูปภายในห้องถูกนำไปเผยแพร่ทางสื่อ RT ของรัสเซีย ทำเอาสื่ออเมริกันมองว่าทำไมต้องเลือกปฏิบัติ และให้โอกาสสื่อรัสเซียมากกว่าสื่ออเมริกัน ดูจะรักใครสนิทสนมเป็นพิเศษกับรัสเซียมากกว่าแขกจากชาติอื่นๆ
แต่คล้อยหลังการพบกันนี้ไม่ถึง 48 ชั่วโมง ก็มีข่าวน่าตื่นเต้นบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่าสาระที่ทรัมป์ไปพูดในห้องปิดประชุมมิดชิดนั้น มีส่วนของข่าวกรองสำคัญเรื่องการใช้แล็ปท็อปเป็นเครื่องมือทำให้เกิดระเบิดได้ในขณะเครื่องบินกำลังบินอยู่ คือเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับการก่อการร้ายของไอซิส และข้อมูลข่าวกรองนี้ ได้มีการเปิดเผยโดยทรัมป์ถึงประเทศที่เป็นผู้ให้ข่าวกรองนี้แก่สหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้นักวิเคราะห์ปักใจ พร้อมกับมีแหล่งข่าวและข่าวกรองว่าเป็นข้อมูลข่าวกรองจากประเทศอิสราเอล ซึ่งอาจแอบฝังตัวจารชนเอาไว้ในระดับสูงของไอซิส หลังนำมาบอกกับสหรัฐฯ
บรรดา ส.ส., ส.ว.คนสำคัญๆ ต่างตกอกตกใจกับข่าวนี้ โดยมองว่านี่เป็นอีกครั้งหลังจากเถ้าแก่ทรัมป์ที่ชอบอวดตัวเองว่าสำคัญมาก จนงัดเอาข้อมูลข่าวกรองที่ลับมากๆ ไปบอกกับรัสเซีย เพราะมันอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตต่อคนของอิสราเอลที่ฝังตัวอยู่กับไอซิส และจะเป็นอันตรายต่อคนของอิสราเอลด้วย ซึ่งอาจทำให้อิสราเอลเข็ดขยาดที่จะมอบข่าวกรองดีๆ ให้กับสหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะกลัวข่าวกรองรั่วจากปากที่พล่อยๆ ของเถ้าแก่ทรัมป์
และในภาพใหญ่ก็คือเถ้าแก่ทรัมป์ พยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรมที่ปลดผอ.เอฟบีไอออก เมื่อการสอบสวนทีมทำงานติดต่อกับรัสเซียกำลังคืบคลานเข้าใกล้ตัวทรัมป์ทุกที
ประเทศไทยของเราเคยมีเถ้าแก่เข้าไปเป็นใหญ่ในทำเนียบไทยคู่ฟ้ามาแล้ว ก็มีอะไรหลายอย่างเหมือนเถ้าแก่ทรัมป์ที่เอาแต่การตัดสินใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาหรือผู้ร่วมงานใดๆ
ตอนนี้ก็คงต้องติดตามว่าทรัมป์จะมีจุดจบเช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดีนิกสัน เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้วหรือไม่ ที่มีทั้งการปิดบังความผิดกรณีวอเตอร์เกต และขัดขวางขบวนการยุติธรรมจนต้องลาออก หลังจากเขารับตำแหน่งในสมัยที่ 2 ได้เพียง 1 ปีเท่านั้น