ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถ้าถามว่า อะไรคือผลงานที่เป็นรูปธรรมหรือผลงานที่จับต้องได้ในปฏิบัติการล่าตัว “พระไชยบูลย์ สุทธิผล” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือ “พระธมฺมชโย” หลังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศใช้ ม.44 หลายคนคงทำหน้ามึนๆ งงๆ แถมอาจย้อนถามกลับมาอีกต่างหากว่า “สิ้นเปลืองงบประมาณ” หรือไม่
แต่ในที่สุด สิ่งที่พอจะเห็นว่า “เอาจริง” ไม่ได้ “ปาหี่” ก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 โดยคณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) มีมติให้อายัดที่ดินจำนวน 8 แปลง ซึ่งตั้งอยู่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ของ นางสาวอลิสา อัศวโภคิน หรือ “แตง” บุตรสาวของ นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และธนาคารชื่อดัง แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ผู้เป็นศิษย์เอกของพระธมฺมชโย
ทั้งนี้ ที่ดินผืนดังกล่าว ในปัจจุบันนางสาวอลิสายินยอมให้ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง” ใช้ผืนที่ในการปลูกสร้าง “อาคารบุญรักษา” หรือ อาคารโรงพยาบาลของวัดพระธรรมกาย
ป.ป.ง.มีคำสั่งอายัดไว้เป็นการชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน
แน่นอนว่า บรรดา “สาวก” พระธมฺมชโยที่เวลานี้ไม่รู้หายตัวไปไหน ย่อมต้องไม่เห็นด้วย แต่ถ้าหากตาและใจไม่มืดบอดจนเกินไปนักก็จะสามารถเข้าใจว่า ทำไม ป.ป.ง.ถึงต้องยึดทรัพย์ที่ดินผืนงามจำนวน 8 แปลงที่มีมูลค่าการซื้อขายถึง 298 ล้านบาท(ราคาซื้อขายเมื่อปี 2556 ซึ่งยังไม่ได้มีการประเมินตามราคาท้องตลาด) ผืนนี้
ป.ป.ง.อายัดเพราะที่ดินผืนดังกล่าวเกี่ยวพันกับคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่มีอัครสาวกคนสำคัญคือ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นตัวการใหญ่ และถูกดำเนินคดีจากพฤติกรรมยักยอกทรัพย์สินจากสหกรณ์ฯและฟอกเงินมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 ถึงปี 2556 โดยได้รับเงินมาในรูปแบบต่างๆ ทำให้สหกรณ์ฯได้รับความเสียหายเป็นเงินสูงถึง 21,935 ล้านบาทเศษ
ทั้งนี้ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 เมื่อนายศุภชัย ได้นำเงินที่ยักยอกออกมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไปซื้อที่ดินสองครั้งตามโฉนดตั้งอยู่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ดังกล่าว แบ่งเป็น ครั้งแรก 5 แปลง และ 3 แปลงในเวลาถัดมา จากนั้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2556 นายศุภชัย ได้ขายที่ดินทั้ง 8 แปลง ให้กับ นางสาวอลิสา อัศวโภคิน ในราคา 298 ล้านบาท
พนักงานเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ที่ดินจำนวน 8 แปลงดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานของนายศุภชัย กับพวก เนื่องจากที่ดินได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอน ด้วยประการใดๆ ซึ่งเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานตามมาตรา 3(3)(18) มาตรา 5 และ มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และพนักงานเจ้าหน้าที่เชื่อว่า นายศุภชัย รู้ตัวว่าจะถูกดำเนินคดีก่อนที่จะโอนขายที่ดิน 8 แปลงดังกล่าวให้นางสาวอลิสา
ที่สำคัญจากการรวบรวมพยานหลักฐานพบอีกว่า ที่ดิน 8 แปลงดังกล่าวของนางสาวอลิสา เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์แทนนายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้เป็นบิดา นอกจากนี้ นายศุภชัยและนายอนันต์ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระธมฺมชโย ซึ่งอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายรายนี้ ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีอาญาฐานสมคบกันเพื่อฟอกเงิน และ รับของโจร ร่วมกับ นายศุภชัย ตามคดีพิเศษที่ 27/2559 และ ปรากฏต่อมาว่า ที่ดินจำนวน 8 แปลงดังกล่าว นางสาวอลิสา ยินยอมให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ ปลูกสร้างอาคารบุญรักษา หรือ อาคารโรงพยาบาลของวัดพระธรรมกาย
การถูกอายัดที่ดินในครั้งนี้ ถ้าจะใช้คำว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะถ้านางสาวอลิสาไม่เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนเจ้าสัวอนันต์ก็คงไม่เกิดเรื่อง และทำไปทำมาก็ไม่แน่นักว่า จะถูกเชื่อมโยงไปถึงคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกับเขาด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ก็จะยิ่งลุกลามบานปลายหนักเข้าไปอีก
หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ ลูกสาวเจ้าสัวอนันต์เคยตกเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงประกาศใช้ ม.44 ปิดวัดพระธรรมกายเพื่อไล่ล่าตัวพระธมฺมชโย โดยมีกระแสข่าวออกมาว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมออกหมายเรียก น.ส.อลิสาเข้าให้ปากคำในเรื่องเดียวกันนี้ เนื่องจากดีเอสไอตรวจพบว่า เธอเป็นเจ้าของที่ดิน ที่วัดพระธรรมกายใช้สร้างอาคารบุญรักษา โดยซื้อก่อนหน้าที่ นายศุภชัย จะถูกอายัดทรัพย์เพียงไม่กี่วัน
ทว่า เรื่องก็เงียบหายไปจนผู้คนสงสัยว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่
สำหรับเรื่องราวชีวิตของอลิสานั้น แน่นอน เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายก็ด้วยผู้เป็นพ่อหลงใหลและศรัทธาในตัวพระธมฺมชโย ขณะที่ชีวิตส่วนตัวของเธอก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเธอเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ “ทุกคนจะถามแตงเสมอว่า ทำไมถึงมาทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ไปช่วยธุรกิจคุณพ่อ แตงคิดว่า สิ่งแรกที่สำคัญ คือต้องดูว่าตัวเราชอบอะไร อย่างงานด้านอสังหาริมทรัพย์นี่ เราไม่เชี่ยวชาญ จึงคิดว่าน่าจะให้คนอื่นเขาทำดีกว่า ส่วนเราก็มาทำอะไรที่ตัวเองชอบ” แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพัวพันและเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เข้าจนได้ เมื่อถูกอายัดที่ดินผืนงามมูลค่าเฉียด 300 ล้านบาท
กระนั้นก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อลิสา ต้องไปพัวพันกับเรื่องราวฉาวโฉ่ เพราะก่อนหน้านี้ชื่อของเธอก็เคยตกเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาแล้ว เมื่อครั้งที่ ปานามาเปเปอร์ส์ ออกมาแฉข้อมูลที่ สำนักกฎหมาย มอสแซค ฟอนเซก้า ซึ่งให้บริการจดทะเบียนบริษัทนอกอาณาเขตแก่ลูกค้าทั่วโลก นั้น ได้ระบุชื่อ 2 ทายาทอัศวโภคิน ถือครองบริษัทนอกอาณาเขตบนเกาะบริติชเวอร์จิ้น
คนแรกคือ อาชวิณ อัศวโภคิณ มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ ถือหุ้นจำนวน 100 หุ้นของ บริษัท อีซี่ เอสเซ้นส์ คอนซัลแทนท์ ลิมิดเต็ด
คนที่สองคือ อลิสา อัศวโภคิน เป็นผู้อำนวยการ ถือหุ้นจำนวน 100 หุ้นของ บริษัท ลัลลาบาย โฮลดิ้งส์ ลิมิดเต็ด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ที่บริติช เวอร์จิ้น ใช้ที่อยู่เดียวกับบริษัทของอาชวิณ
และอาชวิณก็คือผู้เป็นพี่ชายของเธอ
อลิสา เป็นบุตรสาวของอนันต์กับวารุณี (กี่ศิริ) อัศวโภคิน (หย่าร้าง) จบไฮสคูลที่ Dana Hall School ประเทศสหรัฐอเมริกา และเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ University of Pennsylvania ด้านศึกษาเอเชียตะวันออกและเศรษฐศาสตร์ และเรียนต่อปริญญาโทที่ New York University เรียนเกี่ยวกับการเป็นครูสอนภาษา เมื่อเรียนจบกลับมาไทย ก็ได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) อยู่ 2 ปีกว่า จึงพักเรื่องการเป็นครู หันมาเรียน MBA ที่ ศศินทร์ (สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และทำงานกับ ILO (International Labour Organization) ของยูเอ็น
จากนั้นไม่นานก็ได้ออกมาเปิดธุรกิจสปาชื่อว่า Lullaby (ลัลลาบาย) ภายในตึก Q House บนถนนสาทร ของผู้เป็นบิดา ซึ่งสปานั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะชอบนวดมาตั้งแต่วัยรุ่น เนื่องจากช่วยให้สุขภาพดี และยังได้เปิดสตูดิโอโยคะ ก่อนต่อยอดเป็นโรงเรียนสอนโยคะและผลิตครูโยคะในชื่อ Lullaby Yog (ลัลลาบายโยคะ) อยู่เคียงคู่อยู่กับ ลัลลาบายสปา มาจนถึงวันนี้
งานนี้ ด้วยบุญญาบารมีและอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อธมฺชโยไม่สามารถช่วยลูกศิษย์ที่ชื่อ “อลิสา อัศวโภคิน” ให้ “ลั้ลลา” ได้อีกต่อไป แถมทำเป็นเล่นไป คดีอาจโยงไปถึงมหาเศรษฐีที่ดินผู้เป็นพ่อซึ่งร่ำรวยติดอันดับโลก อย่าง “อนันต์ อัศวโภคิน” ผู้นำธุรกิจใน “เครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์” ก็เป็นได้....
โปรดติดตามและห้ามกระพริบตา