"โสภณ องค์การณ์"
ในประเทศไทยเรามักได้ยินคำเปรียบเปรยพูดเล่นแกมจริงปนเสียดสีว่า “ประเทศไทยนี้มีดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวมีคนไทยอยู่” ได้ฟังแล้วเจ็บปวดมาก แสดงว่าคนในบ้านเราไม่รู้จักคุณค่าของความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนี้ หรือว่าสบายเกินไปไม่อยากดิ้นรนมากมาย
ส่วนหนึ่งก็ตั้งหน้าตั้งตาล้างผลาญทรัพยากรแผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรก็ถูกทำลายไปมากมาย ป่าไม้ ต้นน้ำลำธารเสียหาย แผ่นดินปลูกอะไรก็ขึ้นได้ง่ายก็มีการรณรงค์เอาปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมาถมใส่ปีละกว่าแสนตัน เพิ่มทุกปี
สารพิษก็กระจายไปสู่แม่น้ำลำธาร ตกค้างอยู่ในดิน คนไทยก็ต้องบริโภคอาหารปนเปื้อนสารพิษส่งผลร้ายต่อสุขภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณในการดูแลรักษาพยาบาล ประชาชนกลายเป็นคนอมโรคสารพัดซึ่งมากับความทันสมัยนวัตกรรมและเวรกรรมต่างๆ
รู้ทั้งรู้ แต่ยังไม่มีความพยายามจะแก้ไขให้ชีวิตคนบนแผ่นดินนี้ดีขึ้น มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ กลายเป็นว่าประเทศที่ส่งออกข้าวไปเลี้ยงชาวโลกได้ปีละกว่า 10 ล้านตัน มีพืชภัณฑ์ ผลไม้มากมายกำลังจะมีปัญหาคนไม่มีอาหารกินเพียงพอ มีแต่ทุกข์เข็ญแร้นแค้น
นั่นคือการขาดสติปัญญา ความรู้ความสามารถของผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเช่นนั้นหรือ? ไม่ใช่แน่ มีคำพูดว่าประเทศไทยมีคนมีความรู้เยอะแยะ “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” เพียงแต่คนดีไม่มีโอกาสได้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองเท่านั้น
ทุกยุคมีแต่พวกเลวมาก เลวน้อย เป็นส่วนใหญ่ ที่ดีจริงๆ นั้นหายาก จะมีเพียง 1 หรือ 2 คณะเท่านั้น แต่ต้องเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าบ้าง ถูกกดดันโดย “อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” หรือ “พลังการเมืองอิทธิพลแฝงเร้น” คนดีมีฝีมือต้องถูกกดดันเพราะขัดผลประโยชน์คนอื่น
เดี๋ยวนี้จึงมีคำพูด “เมืองไทยโชคร้าย ได้ผู้บริหารแต่ละยุค ถ้าไม่โกงกินก็ขาดความฉลาด ประเภทโง่และขยัน” ทุกวันนี้ระบบและคุณภาพการศึกษาด้อยกว่าหลายประเทศในรอบบ้าน เรียนได้ปริญญาภาษาต่างประเทศไม่กระดิกหู แล้วจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้ไง!
ถ้าประเทศไทยได้ผู้นำเจตนาดี ใจซื่อ มือสะอาด มีความรู้ความสามารถ กล้าหาญในทางที่ถูกต้อง มุ่งทำงานเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง ไทยจะมั่งคั่ง ชาวบ้านทุกระดับหน้าตาผ่องใสมีงานการทำ ภาคเกษตรได้รับการสนับสนุนมีกำลังซื้อกระตุ้นเศรษฐกิจแน่
ทุกวันนี้มีแต่เสียงพึมพำดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เสียของอีกแล้ว” มาจากทุกวงการ คนไทยกลายเป็นมนุษย์กินข้าวและกับใส่ถุง กินอาหารตู้เวฟ ผิดจากยุคก่อนคนนั่งล้อมวงอาหารหลายจานเป็นเหมือนขันโตก ต้องกินทิ้งกินขว้าง อยู่สุขสบาย สุนัขขี้เรื้อนก็ยังไม่อดตาย
ทำไมเราไปไม่ถึงจุดนั้น ทั้งๆ ที่คนหลายประเทศมองไทยด้วยความอิจฉา อยากมาอยู่สร้างเนื้อสร้างตัวกอบโกยความมั่งคั่งเหมือนคนรุ่นก่อน นั่นเป็นเพราะเราได้ผู้นำขาดคุณสมบัติดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทุกวันนี้มีปัญหาการทุจริต โกงกินถึง 35-45 เปอร์เซ็นต์
ถ้าไม่มีความอุดมสมบูรณ์ ความพร้อมของทรัพยากร ป่านนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว!
วันก่อนไปร่วมเสวนาเรื่อง “อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” “พลังแฝงเร้น” ทำให้การบริหารรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รู้ว่าไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่มีอิทธิพลอยู่เหนือผู้บริหารบ้านเมือง ไม่ว่าจะมาจากการซื้อเสียงเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารก็ตาม
“รัฐซ้อนรัฐ” เป็นลักษณะของกลุ่มผลประโยชน์รวมตัวกันโดยผู้มีอิทธิพลจากวงการต่างๆ ทั้งการทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ และบุคคลชั้นนำในสังคม สามารถกำหนดเส้นทางเดิน แนวนโยบายของผู้กุมอำนาจรัฐอยู่ฉากหน้า ซึ่งต้องจำยอมร่วมกับอำนาจรัฐซ้อนรัฐ
ในสหรัฐฯ ยุคนี้เรียกว่า “Deep State” ในบ้านเราเรียกว่าเป็น “รัฐบาลเงา” ก็ได้แต่ไม่มีน้ำหนักมากพอเพราะ “เงา” ก็เป็นเพียงแค่ “เงา” ไม่มีวันได้เป็นตัวตน แต่อำนาจหรืออิทธิพลกำกับอยู่หลังฉากนั้นมีอยู่จริง ในประเทศพัฒนาแล้วก็มี เช่นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
ญี่ปุ่น เกาหลีไต้ สหรัฐ หรือยุโรป มีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กุมอำนาจเหนือเศรษฐกิจ สามารถกำหนดนโยบายต่างประเทศ การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย การเลือกตัวผู้ว่าการธนาคารชาติหรือธนาคารกลางเพื่อตอบสนองทิศทางนโยบายสำคัญด้านการเงิน การคลัง
บ้านเราเคยมี “กลุ่มดุสิต 99” ประกอบด้วยข้าราชการ หัวหน้าองค์กร นักธุรกิจใหญ่ ซึ่งเข้าขายเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” เพียงแต่ทำอย่างเปิดเผยมีพลังขับเคลื่อนในสภานิติบัญญัติ ออกกฎหมายหรือไม่ออกกฎหมายอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นผลประโยชน์เพื่อเฉพาะกลุ่มตัวเอง
“ข้าราชการประจำ” หรือเคยเรียกกันว่า “พรรคข้าราชการ” มีอิทธิพล “ครอบงำ” นักการเมืองจนมาถึงยุคท่านเหลี่ยมที่ได้เปลี่ยนให้เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” และนักการเมืองมีอิทธิพลเหนือข้าราชการโดยใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อเอื้อและอวยต่อการโกงกินหนัก
ยุคนี้ “รัฐซ้อนรัฐ” มีหลายกลุ่มแต่พยายามประสานผลประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่ก้าวข้ามเขตแดนของผลประโยชน์ แยกกันกิน แบ่งกันกิน แล้วแต่ข้อตกลง ไม่ขัดกันเพื่อความคงอยู่ของอำนาจหลังฉาก รูปแบบนี้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนชัดเจน
ถ้ามีใครยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งตกอยู่ภายไต้อิทธิพลของ “รัฐซ้อนรัฐ” ต้องปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่มี” ใครจะมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล! ความเป็นจริงบางยุคคือคนในรัฐบาลเดียวกันนั่นแหละมีอำนาจอิทธิพลแฝงเร้นเหนือผู้นำรัฐบาล หรือต้องเกรงใจยิ่ง
ข้าราชการต้องจำยอมสยบต่ออำนาจการเมือง ยิ่งถ้ากุมอำนาจรัฐบาลมาจากอดีตข้าราชการด้วยแล้ว การรู้จักเส้นสายเครือข่ายก็จะอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการหาช่องทางเพื่อโกงบ้านกินเมือง
บ้านเมืองใดก็ตามย่อมเสี่ยงต่อการล่มสลายถ้ารัฐบาลกับ “รัฐซ้อนรัฐ” ร่วมมือกันหากิน มีทั้งพวกข้าราชการ กลุ่มธุรกิจเป็นหุ้นส่วนในการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจเผด็จการออกกฎหมายกดหัวประชาชน มีโอกาสจะเกิดวิกฤตการเมืองมิคสัญญีถ้าคนทนไม่ได้
สภาวะเช่นนี้จะเกิดในบ้านเรา หรือได้เกิดขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองและการประเมินสถานการณ์ แต่ผู้กุมอำนาจรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ต้องรู้ดี เพราะพฤติกรรมจะฟ้องให้เห็นในไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเกิดแล้วประชาชนจะยอมรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของแผ่นดิน
จะรอให้พระสยามเทวาธิราช กรรมหรือร่วมมือกันต่อสู้จัดการคนชั่ว ก็ตามใจ!
ในประเทศไทยเรามักได้ยินคำเปรียบเปรยพูดเล่นแกมจริงปนเสียดสีว่า “ประเทศไทยนี้มีดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวมีคนไทยอยู่” ได้ฟังแล้วเจ็บปวดมาก แสดงว่าคนในบ้านเราไม่รู้จักคุณค่าของความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนี้ หรือว่าสบายเกินไปไม่อยากดิ้นรนมากมาย
ส่วนหนึ่งก็ตั้งหน้าตั้งตาล้างผลาญทรัพยากรแผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรก็ถูกทำลายไปมากมาย ป่าไม้ ต้นน้ำลำธารเสียหาย แผ่นดินปลูกอะไรก็ขึ้นได้ง่ายก็มีการรณรงค์เอาปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมาถมใส่ปีละกว่าแสนตัน เพิ่มทุกปี
สารพิษก็กระจายไปสู่แม่น้ำลำธาร ตกค้างอยู่ในดิน คนไทยก็ต้องบริโภคอาหารปนเปื้อนสารพิษส่งผลร้ายต่อสุขภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณในการดูแลรักษาพยาบาล ประชาชนกลายเป็นคนอมโรคสารพัดซึ่งมากับความทันสมัยนวัตกรรมและเวรกรรมต่างๆ
รู้ทั้งรู้ แต่ยังไม่มีความพยายามจะแก้ไขให้ชีวิตคนบนแผ่นดินนี้ดีขึ้น มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ กลายเป็นว่าประเทศที่ส่งออกข้าวไปเลี้ยงชาวโลกได้ปีละกว่า 10 ล้านตัน มีพืชภัณฑ์ ผลไม้มากมายกำลังจะมีปัญหาคนไม่มีอาหารกินเพียงพอ มีแต่ทุกข์เข็ญแร้นแค้น
นั่นคือการขาดสติปัญญา ความรู้ความสามารถของผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเช่นนั้นหรือ? ไม่ใช่แน่ มีคำพูดว่าประเทศไทยมีคนมีความรู้เยอะแยะ “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” เพียงแต่คนดีไม่มีโอกาสได้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองเท่านั้น
ทุกยุคมีแต่พวกเลวมาก เลวน้อย เป็นส่วนใหญ่ ที่ดีจริงๆ นั้นหายาก จะมีเพียง 1 หรือ 2 คณะเท่านั้น แต่ต้องเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าบ้าง ถูกกดดันโดย “อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” หรือ “พลังการเมืองอิทธิพลแฝงเร้น” คนดีมีฝีมือต้องถูกกดดันเพราะขัดผลประโยชน์คนอื่น
เดี๋ยวนี้จึงมีคำพูด “เมืองไทยโชคร้าย ได้ผู้บริหารแต่ละยุค ถ้าไม่โกงกินก็ขาดความฉลาด ประเภทโง่และขยัน” ทุกวันนี้ระบบและคุณภาพการศึกษาด้อยกว่าหลายประเทศในรอบบ้าน เรียนได้ปริญญาภาษาต่างประเทศไม่กระดิกหู แล้วจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้ไง!
ถ้าประเทศไทยได้ผู้นำเจตนาดี ใจซื่อ มือสะอาด มีความรู้ความสามารถ กล้าหาญในทางที่ถูกต้อง มุ่งทำงานเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง ไทยจะมั่งคั่ง ชาวบ้านทุกระดับหน้าตาผ่องใสมีงานการทำ ภาคเกษตรได้รับการสนับสนุนมีกำลังซื้อกระตุ้นเศรษฐกิจแน่
ทุกวันนี้มีแต่เสียงพึมพำดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เสียของอีกแล้ว” มาจากทุกวงการ คนไทยกลายเป็นมนุษย์กินข้าวและกับใส่ถุง กินอาหารตู้เวฟ ผิดจากยุคก่อนคนนั่งล้อมวงอาหารหลายจานเป็นเหมือนขันโตก ต้องกินทิ้งกินขว้าง อยู่สุขสบาย สุนัขขี้เรื้อนก็ยังไม่อดตาย
ทำไมเราไปไม่ถึงจุดนั้น ทั้งๆ ที่คนหลายประเทศมองไทยด้วยความอิจฉา อยากมาอยู่สร้างเนื้อสร้างตัวกอบโกยความมั่งคั่งเหมือนคนรุ่นก่อน นั่นเป็นเพราะเราได้ผู้นำขาดคุณสมบัติดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทุกวันนี้มีปัญหาการทุจริต โกงกินถึง 35-45 เปอร์เซ็นต์
ถ้าไม่มีความอุดมสมบูรณ์ ความพร้อมของทรัพยากร ป่านนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว!
วันก่อนไปร่วมเสวนาเรื่อง “อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” “พลังแฝงเร้น” ทำให้การบริหารรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รู้ว่าไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่มีอิทธิพลอยู่เหนือผู้บริหารบ้านเมือง ไม่ว่าจะมาจากการซื้อเสียงเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารก็ตาม
“รัฐซ้อนรัฐ” เป็นลักษณะของกลุ่มผลประโยชน์รวมตัวกันโดยผู้มีอิทธิพลจากวงการต่างๆ ทั้งการทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ และบุคคลชั้นนำในสังคม สามารถกำหนดเส้นทางเดิน แนวนโยบายของผู้กุมอำนาจรัฐอยู่ฉากหน้า ซึ่งต้องจำยอมร่วมกับอำนาจรัฐซ้อนรัฐ
ในสหรัฐฯ ยุคนี้เรียกว่า “Deep State” ในบ้านเราเรียกว่าเป็น “รัฐบาลเงา” ก็ได้แต่ไม่มีน้ำหนักมากพอเพราะ “เงา” ก็เป็นเพียงแค่ “เงา” ไม่มีวันได้เป็นตัวตน แต่อำนาจหรืออิทธิพลกำกับอยู่หลังฉากนั้นมีอยู่จริง ในประเทศพัฒนาแล้วก็มี เช่นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
ญี่ปุ่น เกาหลีไต้ สหรัฐ หรือยุโรป มีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กุมอำนาจเหนือเศรษฐกิจ สามารถกำหนดนโยบายต่างประเทศ การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย การเลือกตัวผู้ว่าการธนาคารชาติหรือธนาคารกลางเพื่อตอบสนองทิศทางนโยบายสำคัญด้านการเงิน การคลัง
บ้านเราเคยมี “กลุ่มดุสิต 99” ประกอบด้วยข้าราชการ หัวหน้าองค์กร นักธุรกิจใหญ่ ซึ่งเข้าขายเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” เพียงแต่ทำอย่างเปิดเผยมีพลังขับเคลื่อนในสภานิติบัญญัติ ออกกฎหมายหรือไม่ออกกฎหมายอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นผลประโยชน์เพื่อเฉพาะกลุ่มตัวเอง
“ข้าราชการประจำ” หรือเคยเรียกกันว่า “พรรคข้าราชการ” มีอิทธิพล “ครอบงำ” นักการเมืองจนมาถึงยุคท่านเหลี่ยมที่ได้เปลี่ยนให้เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” และนักการเมืองมีอิทธิพลเหนือข้าราชการโดยใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อเอื้อและอวยต่อการโกงกินหนัก
ยุคนี้ “รัฐซ้อนรัฐ” มีหลายกลุ่มแต่พยายามประสานผลประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่ก้าวข้ามเขตแดนของผลประโยชน์ แยกกันกิน แบ่งกันกิน แล้วแต่ข้อตกลง ไม่ขัดกันเพื่อความคงอยู่ของอำนาจหลังฉาก รูปแบบนี้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนชัดเจน
ถ้ามีใครยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งตกอยู่ภายไต้อิทธิพลของ “รัฐซ้อนรัฐ” ต้องปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่มี” ใครจะมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล! ความเป็นจริงบางยุคคือคนในรัฐบาลเดียวกันนั่นแหละมีอำนาจอิทธิพลแฝงเร้นเหนือผู้นำรัฐบาล หรือต้องเกรงใจยิ่ง
ข้าราชการต้องจำยอมสยบต่ออำนาจการเมือง ยิ่งถ้ากุมอำนาจรัฐบาลมาจากอดีตข้าราชการด้วยแล้ว การรู้จักเส้นสายเครือข่ายก็จะอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการหาช่องทางเพื่อโกงบ้านกินเมือง
บ้านเมืองใดก็ตามย่อมเสี่ยงต่อการล่มสลายถ้ารัฐบาลกับ “รัฐซ้อนรัฐ” ร่วมมือกันหากิน มีทั้งพวกข้าราชการ กลุ่มธุรกิจเป็นหุ้นส่วนในการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจเผด็จการออกกฎหมายกดหัวประชาชน มีโอกาสจะเกิดวิกฤตการเมืองมิคสัญญีถ้าคนทนไม่ได้
สภาวะเช่นนี้จะเกิดในบ้านเรา หรือได้เกิดขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองและการประเมินสถานการณ์ แต่ผู้กุมอำนาจรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ต้องรู้ดี เพราะพฤติกรรมจะฟ้องให้เห็นในไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเกิดแล้วประชาชนจะยอมรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของแผ่นดิน
จะรอให้พระสยามเทวาธิราช กรรมหรือร่วมมือกันต่อสู้จัดการคนชั่ว ก็ตามใจ!