xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับสัญญาณผิดปกติ “มัจฉาป้อม” “บิ๊กณะ” หายไปไหน!!! แฉ I.O. มโนเรื่อง “ทรัมป์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - พูดไปทำไมมีสำหรับการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” จากจีน ชั้นหยวนคลาส S26T เพราะยากยิ่งที่จะไปขวางอะไรได้แล้วหลังจากที่คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติแบบ “งุบงิบ” โดยอ้างว่าเป็น “ความลับ” ก่อนที่เรื่องจะแดงออกมาในภายหลัง

กระนั้นก็ดี ก็ใช่ว่า การอนุมัติงบ 1.35 หมื่นล้านบาทจัดซื้อเรือดำน้ำ 1 ลำ แบบงุบงิบของ ครม.และที่จะตามมาอีก 2 ลำ รวมเป็น 3 ลำมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท จะไม่มีข้อดีเอาเสียเลย อย่างน้อยๆ ก็ทำให้สามารถ “จับสัญญาณอันผิดปกติ” และสัญญาณอันมีนัยสำคัญซึ่งจะต้องนำมาขยายความได้หลายกระบุงโกย

นั่นก็คือสัญญาณแห่งความไม่ลงรอยกันใน “กองทัพเรือ” หรือถ้าจะใช้คำว่า “แตกแยก” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

นั่นคือการร่วมพลังของพลพรรคหน่วย I.O.(Information Operations) ในสังกัดมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ครั้งใหญ่ที่สุด และแสวงหาข้อมูลสนับสนุนในทุกกระบวนท่า ไม่เว้นแม้กระทั่งการที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐอเมริกา ต่อสายมาหานายกรัฐมนตรีไทย ก็ยังถูกโยงเข้าแบบหน้าตา เฉยว่าเป็นผลมาจากการที่ไทยซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ทั้งๆ ที่โดย ข้อเท็จจริง แล้วเป็นผลมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี

เฉกเช่นเดียวกับ “ฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้าม” ก็หยิบฉวยมาเป็นประเด็นในการโจมตีรัฐบาลทหาร ทั้งๆ ที่มีประจักษ์พยานพิสูจน์ชัดว่า รัฐบาลจากพรรคการเมืองประชาธิปไตยจ๋าก็ปรารถนาจะซื้อจนตัวสั่น เพียงแต่ถูกภาคประชาชนต่อต้านจนต้องตัดสินใจยกเลิกเหตุกลัวจะเสียคะแนนนิยมทางการเมือง

ผบ.ทร....WHERE ARE YOU?
ถามว่า กองทัพเรืออยากได้เรือดำน้ำไหม

ก็คงตอบได้แบบไม่อ้อมค้อมว่า อยากได้และอยากได้มากเสียด้วย เพียงแต่เรือดำน้ำที่ “ลูกประดู่” แห่งราชนาวีไทย ต้องการไม่ใช่ “เรือดำน้ำจาก จีน” ก็เท่านั้น และเกิดกระแสต่อต้านเป็นคลื่นใต้น้ำกระเพื่อมไหวตลอดเวลา แม้กระทั่ง ณ ขณะนี้ก็ตาม

ทั้งนี้ ถ้าหากติดตามการออกมาให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ จากจีน ก็จะสามารถสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นมาเป็นระยะ

ในวันที่กองทัพเรือเชื้อเชิญผู้สื่อข่าวไปแจกแจงรายละเอียดถี่ยิบที่ฐานทัพเรือสัตหีบ

ในวันนั้น กองทัพเรือขน “กองกำลัง” มาชี้แจงรายละเอียดชุดใหญ่ นำโดย “บิ๊กลือ” พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้ขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการทหารเรือ” คนต่อไป ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของ “บิ๊กณะ" พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือคนปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพเรือ

บิ๊กณะหายไปไหน
ทำไมถึงไม่มาร่วมแถลงข่าวกับเขาด้วย
นี่เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์พันลึกเป็นอย่างมาก

และยิ่งเมื่อย้อนหลังกลับไปดูปฏิกิริยาจาก พล.ร.อ.ณะ ก็ยิ่งแปลกใจขึ้นหนักเข้าไปใหญ่

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนครั้งแรกก็คือ ในวันที่ พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ เมื่อข่าวการอนุมัติการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนได้รับคำยืนยันว่าเป็นความจริงพล.ร.อ.ณะซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทำเพียงแค่ยืนยิ้มและให้สัมภาษณ์สั้นๆ เมื่อถูกถามเรื่องวันและเวลาในการลงนามสัญญาจัดซื้อกับจีนก็ตอบสั้นๆ ว่า “อยู่ระหว่างการประสานงาน”

พล.ร.อ.ณะไม่บอกว่าจะไปเองหรือไม่ พร้อมเปิดเผยเพียงแค่ว่า ทร.จะแถลงรายละเอียดเรื่องการจัดซื้อ จากนั้นได้ขึ้นไปรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก่อนที่จะเดินทางกลับทางบันไดหลังกองบัญชาการโดยไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่อแต่อย่างใด 

ขณะที่ พล.อ.สุรพงษ์กลับชี้แจงรายละเอียดเรื่องความจำเป็นในการจัดซื้อละเอียดยิบจนสังคมสงสัยว่า ตกลงหน่วยงานไหนเป็นผู้ซื้อและต้องการเรือดำน้ำกันแน่

“ขอให้มั่นใจว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ทางยุทธศาสตร์เพราะพัฒนาการเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน สามารถพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ในเวลาสั้นๆ เพราะฉะนั้นทุกประเทศมีหลักคิดที่คล้ายกัน คือ ความสมดุลแห่งอำนาจกำลังรบ ซึ่งจะต้องมีในระดับหนึ่ง ไม่ให้ตกเป็นรองมากเกินไปหรือช่องว่างมากเกินไป ซึ่งอยู่ในกระบวนการคิด ทั้งนี้คิดว่าวันที่กองทัพเรือจัดแถลงอย่างเป็นทางการ จะสามารถอธิบายได้ชัดเจน” พล.อ.สุรพงษ์ กล่าว

พล.ร.อ.ณะ ทำประหนึ่งว่า ไม่อยากรับรู้หรืออยากมีส่วนร่วมในการจัดซื้อครั้งนี้อย่างไรอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นการจัดซื้ออาวุธครั้งที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทัพเรือไทย และเป็นการจัดซื้อเรือดำน้ำที่ กองทัพเรือประกาศมาอย่างต่อเนื่องถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดหามานานนับสิบปีกระทั่งสำเร็จในยุคที่มี ผบ.ทร.ชื่อ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ

จะบอกว่า พล.ร.อ.ลือชัยรู้ข้อมูลมากกว่า เพราะเป็นประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะ ถึงอย่างไรในฐานะผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งเป็นผู้ต้องเซ็นลงนามในสัญญาจัดซื้อก็ย่อมจะต้องรู้รายละเอียดไม่แพ้กัน

แม้กระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ซึ่งกองทัพเรือตั้งโต๊ะแถลงข่าวแจกแจงรายละเอียดตามคำสั่งของ “บิ๊กป้อม” ที่โรงเก็บเรือหลวงจักรีนฤเบศร ท่าเทียบเรือ ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พล.ร.อ.ณะก็ไม่ได้นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานในการแถลงข่าวอย่างที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้ ผู้ร่วมแถลงข่าวในวันนั้นประกอบไปด้วย

พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ

พล.ร.ท.พัชระ พุ่มพิเชษฐ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการโครงการจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำ

พล.ร.ต.กฤษฎาภรณ์ พันธุมโพธิ ผู้อำนวยการ สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ

และ พล.ร.ต.วิสาร ปัณฑวังกูร ผู้บัญชาการกองเรือดำน้ำ กองเรือยุทธการ ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยผู้ใช้งาน

ต่อมาในวันที่ 2 พ.ค.ซึ่งเป็นวันที่กองทัพเรือฝึกซ้อมประจำปี โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ มาร่วมชม บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ทั้ง พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) พร้อมด้วย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ร.อ.ณะยังขอที่จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน พร้อมกับกล่าวสั้นๆ ว่า “ขอบคุณสื่อมาฟังการแถลงข่าว และเสนอข่าว ให้ประชาชนรับทราบ พอใจ ถือว่า ทีมงานเตรียมการมาดี”

หรือในวันที่ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการระดับผู้ใหญ่ใน สตง.อีกจำนวน 5 คน เดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพเรือ (วังเดิม) เพื่อขอรายละเอียดสัญญาการจัดซื้อโครงการเรือดำน้ำ ทั้งกระบวนการใช้งบประมาณ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อจากนี้ใน การดูแล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2560 พล.ร.อ.ณะ ก็ไม่ได้อยู่ชี้แจง และได้มอบหมายให้ พล.ร.อ.ลือชัย ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ทั้งหมดนำเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว ชี้แจงกับ สตง.

แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือ เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ออกเอกสาร แจ้งความก้าวหน้าการดำเนินโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 1 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เกี่ยวกับความคืบหน้าในการลงนามในข้อตกลงจัดซื้อ โดยระบุชัดเจนว่า พล.ร.อ.ณะได้มอบหมายให้ พล.ร.อ.ลือชัย เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ลงนามในข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ ลำที่ 1 ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน

....เหมือนเดิมอีกแล้วครับท่าน

อย่างนี้จะไม่ให้สังคมแปลกใจได้อย่างไรว่าทำไม พล.ร.อ.ณะ.ถึงไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทั้งนี้ เสนาธิการทหารเรือและคณะได้เดินทางไปกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 4-7 พ.ค.นี้ และเมื่อทั้งสองฝ่ายตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของเอกสารเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถประกอบพิธีลงนามในข้อตกลงฯ ณ อาคารรับรองรัฐบาล เตี้ยวหยูไถ่ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กับบริษัท CSOC ในฐานะผู้แทนรัฐบาล สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2560 ซึ่งจะถือได้ว่ารัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มีพันธะกรณีต่อกันโดยสมบูรณ์ต่อไป

สำหรับการเข้ามาตรวจสอบของ สำนักงานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) นั้น แม้จะดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็เชื่อว่าจะทำพอเป็นพิธี จากนั้นก็จะสรุปออกมาว่า กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างดำเนินไปอย่างโปร่งใสเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ส่วนถามว่าจะมีการทบทวนการจัดซื้อได้หรือไม่ วิเคราะห์ดูแล้ว ลำแรกน่าจะเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา แต่ลำต่อๆ ไปก็ไม่แน่นักว่าจะราบรื่นหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อสังเกตจากท่าทีของ “รองณุ-นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายของรัฐบาลที่ออกมาบอกว่า “หากคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปไม่เห็นด้วยก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่อะไรที่มีการลงนามไปแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอาจต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น” แม้แลดูเป็นความเห็นที่ดูเป็นปกติ แต่ก็ “แปลกๆ” จนไม่อาจมองข้ามได้

เหตุที่ว่าแปลกก็เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นที่นายวิษณุจะต้องออกมาตอบคำถามในทำนองนี้ เนื่องจากแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จัดซื้อแล้วจะยกเลิกได้ เหตุไม่คุ้มกับค่าปรับและความเสียหายสารพัดสารพันที่จะตามมา เว้นเสียแต่ว่า สัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำที่เกิดขึ้นจะไม่ได้จัดซื้อครั้งเดียวสัญญาเดียว 3 ลำ แต่ซื้อทีละลำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องที่แปลกเข้าไปใหญ่

แต่ถ้าหากพิจารณาท่าทีการจัดซื้อเรือดำน้ำในครั้งนี้จะเห็นว่า เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จนน่าแปลกใจ

กล่าวคือครั้งแรกระบุว่า จัดซื้อ 3 ลำด้วยงบประมาณผูกพัน 10 ปี รวมวงเงิน 36,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลำละ 12,000 ล้านบาท แต่พอถูกต้านหนักเข้าก็บอกว่าซื้อ 2 แถม 1 และล่าสุดมีมติครม.ให้ซื้อ 1 ลำราคา 13,500 ล้านบาท

ส่วน “พี่ใหญ่ บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากที่กองทัพเรือออกมาชี้แจงเรื่องเรือดำน้ำ ก็ดูเหมือนจะหายหน้าหายตาไปแบบงงๆ จนเกิด คำถามว่า เกิดอะไรขึ้น

กล่าวคือเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรมีกำหนดการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ห้องประชุมยุทธนาธิการ กระทรวงกลาโหม แต่เมื่อถึงเวลาประชุม ทางเจ้าหน้าที่ได้มาแจ้งว่า พล.อ.ประวิตรได้เลื่อนการประชุมดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ทั้งนี้ นายทหารคนสนิทแจ้งว่า พล.อ.ประวิตรขอลางาน 1 วันเนื่องจากยังมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย หลังเดินทางไปตรวจราชการและประชุมติดตามงานขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก

แหม...นึกว่าจะดำน้ำหายไปไหนเสียแล้ว

ชำแหละ I.O. มโนกันใหญ่
สำหรับภาคต่อการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนนั้น คงต้องบอกว่า หน่วย I.O.(Information Operations) ในสังกัดมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ยังคงทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น นอกจากการบิดเบือนพระราชดำรัสมาสนับสนุนความคิดฝ่ายตนจนกลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซแล้ว คนกลุ่มนี้ยัง “หาญกล้า” เชื่อมโยงข้อมูลแบบหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

ที่สำคัญคือบรรดา FC เชื่อโดยสนิทใจเสียด้วย

เรื่องที่ขำไม่ออกเห็นจะเป็นการที่หน่วย I.O.หยิบยกเอากรณีที่ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยกหูโทรศัพท์มาหา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

งานนี้ หน่วย I.O.ทั้ง “เสี่ยเทิดฯ และเพจห่วยฯ” ก็งึมงำงัวเงียสรุปเปรี้ยงลงไปว่า เป็นผลมาจากการที่กองทัพไทยตัดสินใจซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน มหาพันธมิตรเก่าแก่อย่างสหรัฐฯ ซึ่งเคยมีท่าทีถมึงทึงหลังการทำรัฐประหารในไทย จึงจำต้องต่อสายมาเชื่อมสัมพันธไมตรี

แต่สิ่งที่พูดไม่หมดก็คือ ทรัมป์ไม่ได้ยกหูมาแค่นายกฯ ประยุทธ์เท่านั้น หากแต่ยังต่อสายไปถึงนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แห่งสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ และปมประเด็นสำคัญที่ยกหูมาก็คือสถานการณ์ร้อนในคาบสมุทรเกาหลี อันมีชนวนเหตุมาจาก “คิม จอง อึน” แห่งเกาหลีเหนือที่พร้อมจะเปิดศึกกับสหรัฐอเมริกาจนอาจนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

ดังที่ นายรีนซ์ พรีบัส หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวเปิดเผยต่อพิธีกรรายการดีส วีค ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีชัดเจนว่า สหรัฐฯ ต้องการความร่วมมือในบางระดับกับประเทศหุ้นส่วนในพื้นที่จำนวนมากสุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อความมั่นใจว่าสหรัฐฯ มีความพร้อม ก่อนจะลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ

แล้วก็ไม่ได้มีเพียง I.O.ของทหารเท่านั้นที่เคลื่อนไหว I.O. ของระบอบทักษิณก็รีบกระโดดเข้ามาสร้างภาพอันเลิศหรูให้กับ “นายใหญ่และน้องสาว” ด้วย โดยรีบยกยอปอปั้นหรือยกหางตัวเองเป็นการใหญ่ว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่กล้าตัดสินใจอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับ ชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน

ทั้งๆที่เป็นที่รับรู้กันว่า นักการเมืองอยากอนุมัติซื้อเรือดำน้ำใจจะขาด เพียงแต่ถูกต่อต้านจากภาคประชาชนอย่างหนักจนไม่กล้าพอที่จะ “ฝันอร่อย” และปล่อยให้ขนมหวานหลุดลอยไป เหตุเกรงว่า จะทำให้เสียคะแนนนิยมจนรัฐนาวาต้องล่มปากอ่าวไป...ก็เท่านั้น

เป็นไงล่ะ ยุทธวิธีที่หน่วย I.O. ของแต่ละฝ่ายนำมาใช้จนสับสนวุ่นวายไปหมด ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วต้องถือเป็นปัญหาที่จำต้องควบคุมเสียยิ่งกว่าความพยายามในการออกกฎหมายตีทะเบียนสื่อเสียอีก


กำลังโหลดความคิดเห็น