xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ลุงตู่เป็นคนตลก” เปิดตัวตน (เงา) พลเอกประยุทธ์ นายกฯ ใหญ่แห่ง “คสช.สกอร์เปี้ยน” ฮะๆๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขณะที่ความร้อนของเดือนเมษาเร่งอัตราความหงุดหงิดกระวนกระวาย เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกผ่อนคลายเฮฮาขึ้นมาฉับพลัน จากการปรากฏตัวของ “ลุงตู่” บนเวทีตลก จนหลายคนตกอกตกใจว่านี่คือ “นายกฯ ของเมืองไทย” ตัวจริงหรือเปล่า? ทำไมตลกจัง

เราพาไปทำความรู้จักกับบุคคลต้นเรื่องดังกล่าว เขาผู้มีนามว่า “พเยาว์ นิ่มมา” อายุ 58 คือบิดาของลูก คือคนรักของภรรยา และคือคนที่สร้างเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มให้กับคนผู้ชมนิยมตลก ด้วยบุคลิกท่าทางกระทั่งเสียงที่คล้ายคลึงราวกับคลานตามกันออกมาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ปัจจุบัน แห่งคณะรักษาความสงบสุขแห่งชาติ (คสช.)

ประกาศจากคณะรักษาความสุขและเสียงหัวเราะ กราบสวัสดี พ่อแม่พี่น้อง ฮะๆๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา คณะตลกการเมือง “เหยิน สกอร์เปี้ยน” จะมาเชิญไปพบกับชายผู้อยู่เบื้องหลังชายที่เป็นผู้นำสูงสุดแห่งสยามประเทศในห้วงเพลานี้

พบกับ “เยาว์-พยาว์ นิ่มมา” ได้เลยนะบัดนาว ฮะๆๆ

ก็แค่หนุ่มนครสวรรค์
ที่ฝั่งฝันผันแปรปัดโธ่…ให้มาเป็นบิ๊ก
“ก็อย่างว่านะ นะ เออ พี่น้องประชาชน ผมเป็นคนนครสวรรค์ ตำบลตะค้อ อ.ไพศาลี เกิดที่นั่นโตที่นั่น ก็ตามประสา นะ ฮะๆ ช่วยพ่อแม่ทำไร่นา มีพี่น้อง 8 คน ผมเป็นคนโตสุด แล้วก็มีน้องสาว 3 คน น้อยชายอีก 4 คน นะๆ”

นายกฯ เงา เปิดอภิปรายรายละเอียดเบื้องหลังการก้าวสู่การเป็นชายผู้กุมชะตากรรมของประเทศ

“คือถึงจะมีพี่น้องหลายคน แต่ผมเป็นคนเดียวที่หน้าตาละม้ายอย่างนี้ เพราะคนอื่นเขาจะเหมือนทางพ่อหมด ส่วนผมจะเหมือนทางแม่คนเดียว ซึ่งแม่ก็จะไปคล้ายๆ ตา ที่เป็นคนสมัยโบราณ ตัวใหญ่ สูงๆ ใครๆ ก็เรียกว่าพ่อใหญ่สูง

“นั่นล่ะ... ผมก็ดำเนินชีวิตอย่างนั้น เรียนจบ ป.สี่ ที่โรงเรียนบ้านวัดตะคร้อ เป็นโรงเรียนวัด มีพระสอนบ้าง มีครูจ้างมาสอนบ้าง แล้วพอจบ ป.4 ก็มาเรียนต่อ ป.5-6-7 ที่จังหวัดสิงห์บุรี จบก็มาต่ออีกที่โรงเรียนประจำจังหวัดที่อำเภอไพศาลี ชั้น มศ.1-2-3

“คือถามว่าทำไมถึงเรียนสูงได้ในสังคมสมัยนั้นต่างจังหวัด จริงๆ ฐานะทางบ้านสมัยนั้นก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ก็อย่างว่าทำไร่ทำนา ก็ต้องกู้เงินเถ้าแก่ หรือไม่อย่างนั้น พ่อเขารู้จักเถ้าแก่เวลาทำไร่ข้าวโพดได้ เถ้าแก่เขามารับเอาไปขายเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ค่อยหักกัน สมัยนั้นก็เลยพอมีเงินเรียนนะ

“แล้วอีกส่วนหนึ่งคือเราก็อยากเรียน เพราะฝันผมอยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นข้าราชการ ก็เลยได้เรียนสูงกว่าพี่น้องทั้งหมด ช่วงปี 2518 จบมาสอบนายสิบที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ ไม่ติด ชีวิตก็เลยหันเหไป จากตอนแรกที่คิดว่าจะเข้าต่อโรงเรียนเพาะช่าง แต่ทีนี้พ่อเขาอยากให้มาสายเรียนสายสามัญดีกว่า คือท่านก็คงอยากให้เราเป็นข้าราชการ ผมก็เลยไปลงสมัครเรียนที่โรงเรียนวัดสระเกศ ภูเขาทอง”

ในระหว่างทางที่นาฬิกาชีวิตของพเยาว์เดินหน้าเพื่อตามความฝัน ก็ต้องแลกจ่ายมาด้วยความลำบาก ฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัด อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิต ทว่าบททดสอบของพเยาว์ยังไม่หยุดแค่นั้น “สถานภาพครอบครัว” ของเขาก็แยกทาง หลังความรักกว่า 20 ปี ของพ่อพบรักใหม่กับสาวต่างถิ่น

ชีวิตของเขาจึงไม่อาจหยุดได้เพียงหน้ากระดาษหนังสือ

“แรกๆ ก็อาศัยอยู่กับวัดอย่างที่ใครๆ เขาทำกันเวลาขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่ทีนี้พอลงเรียนไป ยังไม่ถึงเทอมดี พ่อแม่ก็แยกทางัน คุณพ่อไปมีภรรยาใหม่เป็นคนนครราชสีมา การเงินก็สะดุด ช็อตเลย จากที่อาศัยวัดอยู่ กินข้าววัด เช้ากลางวันเย็น แล้วค่ำก็ไปเรียน ขึ้นเทอมใหม่ก็ไม่มีตังค์ค่าหน่วยกิตลงเรียน

“ก็ต้องดิ้นหางาน” พเยาว์กล่าวพลางเว้นวรรคด้วยรอยยิ้ม เพราะถึงแม้จะประสบปัญหาหนักกำลังเข้าตาจน แต่เมื่อเป็นลูกผู้ชายคนจริง เมื่อใฝ่และใจมันสู้ ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง

“พอดีมีอาเป็นทหารอากาศอยู่ที่ตาคลี แล้วนายเขาชวนแกมาอยู่กับหมอฟันที่แถวๆ บางแค อาเขาก็เลยฝากให้ไปทำงานที่แล็บ ซอยสุขุมวิท 22 เมื่อก่อน ทำฟันปลอมส่งคลินิกกับโรงพยาบาล ผมก็กำลังอยากได้งาน พอรู้ก็มาขอเขาทันที บอกขอทำงานฝึกงานได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ ทีนี้ เช้ามาหลังจากบิณฑบาตเสร็จกับหลวงตาสุข ทำภารกิจต่างๆ กินข้าวเช้าในวัดเรียบร้อยพร้อมหอข้าวกลางวัน ก็ต้องรีบนั่งรถเมล์ไปทำงาน จากนั้นเลิกเรียนก็ 5 โมง ก็นั่งรถเมล์กลับมาเรียนที่วัดต่อ

“ก็ทำอยู่อย่างนั้นสองปีจนจบ มศ. 5 มีสมบัติติดตัวที่มีราคาอย่างเดียวคือ วิทยุเทปธานินทร์ ราคา 1,800 บาท (หัวเราะ) เพราะเราอยากได้ เก็บจากเงินเดือนละ 500 800 บาท ในสมัยนั้น หลังจากนั้นก็มาสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ เพราะจะสานต่อทางนี้

“ทีนี้ช่วงที่เรียนไปทำงานไปปกติ งานที่เราทำขยับเป็นได้เงินเดือนๆ ละ 1,500 บาท ซึ่งถือว่ามากเอาเรื่องอยู่ในสมัยนั้น แล้วเราก็ยิ่งรู้จักพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานในแต่ละแผนกที่แตกต่างจากของเราที่ทำปั้นขี้ผึ้งในส่วนเหงือก ก็คิดดูๆ แล้วว่ามันน่าจะเป็นอาชีพได้ ก็เลยอาศัยครูพักลักจำ เวลาลูกพี่เขาทำงาน เดินผ่านไปมา เราก็ชำเลืองมองบ้าง เขาทำอะไรยังไง มีแผนกเรียงฟัน แผนกแต่งลาสติก ก็ไปนั่งดู เขาแต่งอย่างนี้ ทำเรียงฟันกันอย่างนี้ อันไหนไม่รู้ อันไหนสงสัยก็ถามๆ ช่วงปี 3-4 เก็บหน่วยกิตได้ประมาณ 70 กว่าหน่วยแล้ว ก็เลยผันตัวเองมาเปิดร้านรับทำฟันปลอมเป็นของตัวเอง”

โดยมีลูกค้าให้ความไว้วางใจในฝีไม้ลายมือคุณภาพงานไม่เป็นสองรองใคร ภายใต้ชื่อร้านเอ็กเซล แลป เปิดให้บริการในช่วงปี 2532-35

“กิจการก็ดีเลย มีลูกน้องกว่า 20 คน แต่ก็ไปไม่รอด เพราะว่าติดเหล้า สำมะเลเทเมา ลูกน้องก็เลียนแบบ แล้วก็ยังติดพนัน ติดเพื่อนฝูง สนุ๊กเกอร์นี่ขาประจำ กระทั่งวันหนึ่งลูกที่เพิ่งคลอดได้ 4-5 เดือน ไม่มีค่านม เป็นหนี้สินยู่ 4-5 หมื่นบาท เพราะเป็นเงินหมุนที่เอามาลงทุน

“นั่นแหละถึงคิดได้” พเยาว์กล่าวกลั้วหัวเราะ

และก็คงจริงอย่างที่ว่า เพราะซึ่งจะพูดกันไปแล้วก็เป็นเรื่องราวความตลกชีวิตที่สร้างมากับมือ และทำลายมันลงกับมือเช่นเดียวกัน

และยิ่งไปกว่านั้นคือจากคนที่ตลก มีอารมณ์ขันจนเพื่อนฝูงมากมายในวงสุรากลับแปรเปลี่ยนเป็นธรรมะธรรมโมหลังจากเหตุการณ์นั้นอย่างง่ายดาย

“ปกติผมเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ แต่กับเพื่อนฝูงจะเป็นคนตลก เฮฮา ชอบอำ เพราะเราสายดื่ม ก็จะแซวนั่นโน่นนี่เพื่อนตลอด เพื่อนเลยมีเยอะมาก แต่พอถึงจุดนั้นเราเลิกทันทีเลย เหล้า พนัน ความตลกก็ไม่ตลก ออกจากตรงนั้น จะมาแนวเงียบๆ สงบๆ ด้วยซ้ำ เพราะมาสายปฏิบัติธรรม ทำบุญ ทาน ทอดผ้าป่ากฐิน ใครมาก็ช่วยเหลือไป พูดง่ายๆ ซีเรียสชีวิตเพิ่มมากขึ้น ใช้ชีวิตอย่างระวังสำรวม

“แต่ไม่ถึงขั้นนุ่งขาวห่มขาว จริงๆ ก็เกือบแต่อาจารย์หลวงปูชาญ ชาโน สำนักสงฆ์ป่ากลางบุญ ที่เคารพบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับสี ใครสะอาดก็จบ อยู่ที่จิต อยู่ใจสะอาดเท่านั้น หลังจากนั้นชีวิตก็ดีขึ้น ช่วงแย่ๆ ที่ปิดร้าน ไม่มีค่านมลูก ก็โชคดีมีคนมาติดต่อให้ไปทำฟันปลอมที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ตัดสินใจไปทำ 3 ปี มีเงินเหลือเก็บ 4-5 แสนบาท กลับมาเมืองไทย ก็มาตั้งต้นชีวิตใหม่ เปิดร้านทำฟันปลอมอีกครั้ง

“ซึ่งลูกค้าก็ยังอยู่ เพราะเขาติดฝีมือเรา (ยิ้ม) ก็ไปเปิดแถวหมู่บ้านริมทอง สุขาภิบาล 3 ครั้งแรก จากนั้นเราทำงานแล้วเสียงมันดัง มีปัญหากับเพื่อนบ้าน ก็เลยย้ายมาซื้อใหม่หลังเดี่ยวๆ เลยที่หนองจอก ช่วงฟองสบู่แตกพอดีปี 2540 ตกเหมือนกัน แต่เราก็โอเค มีประมาณ 5-6 เจ้า เจ้าละหมื่นกว่าบาทในธุรกิจนี้ สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ คือพูดถึงมันคงเป็นผลจากการที่เราปฏิบัติธรรมด้วย เพราะมันสงบ สามารถทำงานและวิปัสสนากรรมฐานได้สะดวกขึ้น จากเป็นโรคอะไรต่ออะไร ทั้งโรคไต โรคเก๊าท์ โรคไมเกรน ก็หาย แปลกใจ เหมือนกัน แล้วดวงมันก็ดีขึ้นๆ ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล ถูกหวยใต้ดินมั่ง (หัวเราะ)”

จนกระทั่งถูกหวยเบอร์ใหญ่ได้รู้จักกับ “ทองก้อน ศรีทับทิม” ผู้กำกับชื่อดังจากการไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชาญ ชาโน ซึ่งนั่นทำให้ระยะเวลากว่าเกือบ 20 ปีที่พเยาว์กู้ชีวิตกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง และแม้ว่าการเป็นยอดชายนายทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการฝ่ายสอบสวน จะไปไม่ถึงฝันเพราะน้ำมือของตัวเอง แต่กระนั้นคนจะเป็นใหญ่เป็นโต ต่อให้ฟ้าปิดชีวิตเปลี่ยนผกผัน คนจะดัง จะใหญ่ ช้างมาฉุดก็ไม่อยู่

แจ้งเกิดเป็นเงา “พลเอก.ประยุทธ์”
นายกฯ ใหญ่แห่ง “คสช.สกอร์เปี้ยน”
“คือในวัดที่ผมไปปฏิบัติธรรมนั้น ผมได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก เป็นพิธีกร ซึ่งพี่ท้องก้อน เขาก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลวงพ่อชาญด้วย ก็เลยได้รู้จักกัน จากนั้นก็เกิดความสนิทสนมระหว่างทุกครั้งที่ไป อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน ก็ชักชวนนัดแนะกันไป แล้วเขาดีขึ้น เขาก็เลยศรัทธา ก็ไปมาหาสู่กัน เกิดเป็นความสนิทสนม ทุกครั้งที่เขาทำงานออกกองถ่ายของโคลีเซียม เขาก็ชวนเราไป ไปจังหวัดกาญจนบุรีบ้าง จังหวัดสระบุรีบ้าง ผมว่างๆ ก็ไปเยี่ยมไปหาไปคุยกัน จนกระทั่งวันนั้น

“กระทั่งวันหนึ่ง…” พเยาว์ว่าพลาง เว้นวรรคคิดให้กับเหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นชายที่ใครๆ ต่างเคารพและรัก โดยที่เขาเองนั้นก็ไม่ได้ยินดีหรือโปรดปรานในช่วงแรกเริ่ม

“คือไม่รู้พี่เขานึกอย่างไรไง บอกให้ผมไปเล่นเป็นเอ๊กซ์ตร้า เล่นเป็นตัวประกอบ เป็นตำรวจ ผมก็สะดุ้งโหยงเลย (หัวเราะ) บอกว่าไม่เอา ไม่เคยเล่น ไม่เอาๆ ปฏิเสธอย่างเดียว เขาก็คะยั้นคะยอว่า จากที่เขาเห็นเราเป็นโฆษก เป็นพิธีกร เวลางานหลวงพ่อ เราพูดเก่งพูดอะไรได้

“จริงๆ มันไม่เกี่ยวกันเลย เพราะมันคนละสายกัน นั่นสายธรรม เรารู้สึกนึกคิดอย่างไรก็พูดตามอย่างนั้น แต่นี่ละคร ต้องมีแอคติ้ง แอคชั่นท่าทาง เราก็ไม่เป็น เขาก็บอกเชื่อๆ ให้เล่น ก็ลองๆ ดู เขาก็จับแต่งชุดตำรวจ โยนบทให้เลย”

เรื่องแรกที่เล่น คือเรื่อง “พยัคฆ์ยี่เก” นำแสดงโดย อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร, ปุณยาพร พูลพิพัฒน์, กุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ, จิลล์ โรเจอร์, ยิ่งยง ยอดบัวงาม นอกจากนี้ยังหลอมรวมไปด้วยตลกรุ่นใหญ่ในวงการ อย่าง ชูศรี เชิญยิ้ม, แจ๊ด เชิญยิ้ม พเยาว์จึงได้แต่สั่นควบประหม่าริกๆ

“เพราะวันนั้นที่ไปถ่าย ดาราเยอะมาก 30-40 คน ดาราดังๆ ตัวเอกของเรื่อง ดาราตลกอีกทั้งนั้นบนโรงลิเก เราก็สั่นประหม่า แต่ที่ยิ่งกว่าตื่นเต้นยังไม่พอ วันนั้นให้บทผิดมาอีก (หัวเราะ) เป็นบทอีกฉากหนึ่ง จากที่ต้องพูดห้ามระหว่างนางเอกกับพระเอกให้หยุดๆ เพราะเป็นตำรวจด้วยกันที่ปลอมแฝงตัวกันมาช่วยราชการที่นี่ ไม่ได้ให้ฉากนี้ ผมไม่มีบทก็ยืนนิ่งเฉยๆ พี่ทองก้อนก็ตะโกนด่าเลย บอกพี่ทำไมไม่พูดบท เราก็บอกว่าไม่มีบทนี้ เขาก็เรียกไปผู้ช่วยผู้กำกับมาดุ โมโหใหญ่เลย แล้ววันนั้นก็ยกกองเลย

“เราก็รู้สึกว่าไม่เหมาะด้วย ได้ทีก็พอแล้วเลย บอกกับพี่ทองก้อน แต่พี่เขาไม่ให้ออก เขาบอกว่าเราทำได้ บอกให้ใจเย็นๆ ค่อยท่องจำบท และก็บอกว่ามันสามารถเทคได้ ถ่ายใหม่ได้ คือเขาก็ให้กำลังใจ รุ่งขึ้นก็เลยไม่ได้กลับ ก็ไปวัดเอาอีกทีหนึ่ง ซึ่งเช้ามาก็เข้าฉากกับพี่ชูศรีเลย (หัวเราะ) ก็ยิ่งประหม่าเข้าไปอีกเพราะเห็นเขาดูเขาเล่นตลก เราก็สติเกือบหลุดเหมือนกัน ก็เล่นบทเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องออกมาสกัดสั่งหยุดเพื่อจับคนร้ายตัวสำคัญในละคร หลังจากประกาศตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (คนร้ายฝ่าฝืน) ก็ระดมยิงใส่อุตหลุด

“เล่นเสร็จก็คิดว่าจะได้ไหม ก็รีบไปดูเทปตัวเองเลย พี่เขาก็ชอบ บอกอย่างนี้ได้แล้ว แต่ว่าไม่ต้องรีบ เรื่อยๆ เขาก็แนะ ก็ได้เล่นอีกเรื่อง โก๊ะจ๋า ป่านะโก๊ะ เรื่อง เสือสมิง เรื่องเลือดเจ้าพระยา เรื่องคาดเชือกก็เล่น ล่าสุดก็เรื่องเจ้าพายุ”


ทว่ากระทั่งเรื่องที่ 4 เรื่องตำรวจเหล็ก จากนักแสดงเอ๊กซ์ตร้าตัวประกอบมีบทแว้บๆ ในเรื่อง ดวงของพเยาว์ก็พัฒนาขยับให้เถลิงขึ้นในหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เยอะขึ้นด้วยการเป็นควบเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายโลเคชัน

“คือเรื่องที่สอง สาม ด้วยความที่มีทีมนักแสดงเดียวกัน บวกกับการซักซ้อมส่วนตัว ก็ทำให้ยิ่งง่ายขึ้น ก็ไปได้เจอ น้าค่อม ชวนชื่น เจอใครตลกๆ อีก ก็มารู้จักกัน ด้วยอายุก็เรียกเราพี่ๆ เราก็เลยผ่านมาได้สบายๆ จนเรื่องตำรวจเหล็ก เล่นได้ฉากเดียว เป็นสารวัตร เพราะพี่ทองก้อนมีคนทำโลเคชันคนเดียวแล้วเขาไม่ไหว เขาก็เลยให้เราไปช่วย

“ชีวิตก็พลิกผันอีก (หัวเราะ) เพราะทำควบคู่ไง หน้าที่โลเคชัน ก็ช่วยดู นอกจากหาสถานที่ถ่ายทำ ก็ดูการจอดรถ รถดารา รถสำหรับแต่งหน้า รถไฟ รถโคม ดูจอดให้เข้าที่ ตรงไหนๆ ดูแลขยะด้วย ใครทิ้งอะไร ความสะอาด กลางคืนก็ดูแลพวกเก็บของอีก บางทีมีเข้าฉากตำรวจเสร็จหมวกก็เลยยังคาอยู่ แล้วเราเดินไปทั่วทั้งกองเลย คนก็เลยเริ่มสังเกต เริ่มทักว่าเราหน้าเหมือนท่านนายก

“แต่ก็ยังไม่คิดอะไร ไม่ได้สนใจอะไร ก็ทำงานตรงนี้สองตำแหน่ง ทำฟันอีกหนึ่งตำแหน่ง หลังๆ แฟนทำเป็นครบหมด เราก็มีเวลาตรงนี้มากขึ้น ไปถ่าย 3-4 วันต่ออาทิตย์กับกอง เพราะเราสนใจ เริ่มสนุกกับตรงนี้ เราเคยเฮฮาสนุกสนาน มาทำตรงนี้ก็เฮฮาสนุกสนาน เราก็คิดว่าอยากจะทำงานทางด้านนี้ (หัวเราะ) อยากมีบทมีบาทมีสาระมากขึ้น ก็คิดอยู่ตลอด เรื่องที่เขาทักๆ กัน เราก็เลยเฉยๆ เพราะคิดเรื่องนี้อย่างเดียว ก็มีไปเรียนด้วย ไปเล่นฝึกคิวบู๊ แอคติ้ง ทุกอย่าง ฟันดงดาบ เราเป็นหมด

“ก็คิดว่าสักวันถ้าเห็นแวว เราก็คงมีโอกาสจะดังบ้าง”

ซึ่งก็ไม่รู้ด้วยดวงหรือแค่เหตุบังเอิญความหวังที่ตั้งก็ดังใจสมความปรารถนา แต่ก็อย่างว่าอีกแหละ คนมันจะดัง แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้

ในระหว่างที่มัวครุ่นคิดฝึกปรือความสามารถ อยากเป็น “ดารา” คนก็ยังดันจับนัดแนะโยนเข้าสู่พื้นที่อีกหนึ่งวงการบันเทิง นั่นก็คือ “ตลก” ชนิดไม่รู้เหนือรู้ใต้ของศาสตร์แขนงนี้ กระทั่งโด่งดังเป็นที่รู้จักแทบทั้งประเทศในฐานะนายกเงาคนที่ 29 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ปี 2559 เช่นเดียวกับตัวจริง เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนแห่งความปรารถนา

“จันทร์โอชา” ทั้งใบหน้าและหัวใจ
ดำเนินนโยบายสร้างรอยยิ้ม คืนความสุขพี่น้อง
“แรกๆ ผมก็ยังคิดอยู่เลยว่าเหมือนตรงไหน ก็ปล่อยให้มองกันไป ก็แล้วแต่ เฮฮากันไป ทีนี้มันบังเอิญมียายข้างบ้านเขาบอก โอ๊ย…เห็นพ่อใหญ่ตู่ๆ แล้วนึกถึงไอ้เยาว์ เราก็เริ่มคิดๆ มองตัวเองว่าเหมือนกันตรงไหน ระหว่างนั้นไม่กี่วัน เพื่อนที่รู้จักในกองถ่ายเป็นตลก ชื่อตุ้มเม้ง ก็โทรมาหา บอกพี่ลองเล่นตลกไหม เราก็นอนดูทีวีอยู่ ก็ถามกลับแบบไม่สนใจไปว่าตลกอะไร เพราะเราเคยแต่ดู ไม่เคยเล่น แล้วก็ไม่ได้ตลกมานานแล้วจากเลิกดื่ม มีแค่แซวๆ อำๆ น้องๆ ในกองถ่ายอย่างเดียว แต่ทีนี้เขาดันบอกว่าให้เล่นตลกเป็นท่านนายกพลเอกประยุทธ์ เราก็งง จะเล่นยังไง

“ด้วยความอยากรู้แล้วก็แถมสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเหมือนตรงไหนที่มันคาใจอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไปกับเขาเลยวันรุ่งขึ้น เขาก็พามาฝากกับคุณเหยิน คุณจั๊กจั่น คณะสกอร์เปี้ยน มาเจอพี่เหยิน พี่จักจั่น เขาก็รับเลย แล้วพี่เขาก็บอกแนะมุขและสอนเบื้องต้น คร่าวๆ ยังไม่ทันดี เขาก็ให้ไปลองเล่นเลย วันแรกจำได้แม่นที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นงานกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตื่นเต้นขาสั่นริกๆ แบบตอนเล่นละครครั้งแรก แต่คราวนี้หนักกว่า เพราะมาเล่นเลียนแบบท่านนายกฯ (หัวเราะ) เขาให้มุขมาแค่ 3-4 มุข พูดอย่างนี้ๆ ก็ลองเล่น ก็เรียกขึ้นไปก็ใส่หมวก แต่งกางเกงทหาร พอขึ้นเวทีเดินไปคนดูเขาก็งง แล้วอยู่ๆ ฮาๆ กันเอา ฮากันเอา ปรบมือกันเกรียว แต่เรานี่คิดตลอดว่าจะไปไหวไหม แต่ก็เล่นไปตามมุขที่เตรียม”

…. ทำไมท่านต้องเข้ามายึดอำนาจด้วยครับ?
“ผมไม่ทำแล้วใครจะทำ ฮะๆๆ”
ท่านทำไมต้อยื่นมือมาช่วยชาวนาด้วยครับ?
“ผมไม่ทำแล้วใครจะทำ (ชี้มือ) ฮะๆๆ”
ทำไมต้องมาเป็นนายกครับ?
“ผมไม่เป็นแล้วใครจะเป็นใครละ ฮะๆๆ (ทำหน้าขึงขัง)” ….

ทั้งสามมุขรับ-ส่งกันได้เป็นอย่างดี คนก็ฮาหงายท้อง พเยาว์ก็ใจชื้น หลังจากนั้นมาก็ทำตามคำแนะนำบอกของทางคณะให้ท่องจำคำคีย์เวิร์ดเหล่านี้ให้แม่น ไม่ว่าจะยามขับรถ เดิน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ กระทั่งพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“จบงานครั้งแรกเราก็ใจชื้นขึ้น ครั้งที่สองก็ยังสั่นหน่อยๆ แต่ครั้งที่สามนี่ซิ เล่นบทเวทีเริ่มไม่สั่นแล้ว แต่มาสั่นตอนเล่นเสร็จจบ ดั๊นนนน…มีคนเอาคลิปไปลง เราก็แต่งตัวเต็มยศเลยคราวนี้ ก็แชร์กันเยอะ แล้วเขาก็บอกว่า มาซะเหมือนเลย รับรองไม่เกิน 3 วันโดนอุ้ม

“ไอ้หย๋า (หัวเราะ) เราก็กลัว ทหารอุ้ม อุ้มกูก็ตายแน่ๆ คิดในใจ ก็ถอดใจเลยตอนนั้นบอกตรงๆ กลัวถึงขนาดปิดบ้านหนี จะออกจากบ้านต้องมองซ้ายมองขวา ว่ามีรถทหารหรือตำรวจมาจอดแถวนั้นหรือเปล่า แต่คุณเหยินเขาก็บอกว่ามีอะไร เล่นกันมาหนักกว่านี้ ทั้งด่าทั้งอะไรยังไม่เป็นอะไรเลย ของเราไม่ได้ด่า ไม่ได้ไปวิจารณ์ท่านนายกพลเอกประยุทธ์ด้วยซ้ำ เราแค่เลียนแบบท่าน เพราะท่านเป็นคนที่น่ารักโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ตลกอยู่แล้ว คนก็รู้สึกว่าตลกไปเอง ก็ทำให้เรามีกำลังใจเล่นต่อ

“แล้วอีกเหตุผลหนึ่งคือมีอยู่งานหนึ่ง เราเล่นแล้วเราคนดูฮากันมาก หัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหล ก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นทำปกติแท้แต่ทำให้เขากันฮาๆ ได้ หัวเราะได้ มีความสุขได้ มันเหมือนเราช่วยเขาให้มีความสุข ให้เขาลืมความทุกข์บางอย่างของเขาชั่วครูแล้วมีพลังไปจัดการปัญหาเหล่านั้น ก็ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทำให้เขามีกำลังใจ เลยเปลี่ยนความคิด

“แถมมีอะไร คุณเหยินรับผิดชอบครึ่งๆ หนึ่งด้วย แบ่งกันรับคนละครึ่ง (หัวเราะ)”

ประวัติโดยคร่าวๆ ของคณะตลกสกอร์เปี้ยนเป็นคณะตลกการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมากว่า 20 ปี แล้ว เป็นหนึ่งในสามของคณะตลกการเมืองอย่าง “สภาโจ๊ก” และ “หยอง ลูกหยี” ปัจจุบันควบคุมดำเนินงานหัวหน้าคณะโดย “เหยิน-สุพัฒชัย วริสาร” ดาวตลกมากฝีมือที่คร่ำหวอดในวงการตั้งแต่สมัยยุคคาเฟ่เฟื่องฟู ซึ่งนับเป็นตลกคณะหนึ่งที่เดินทางมาอย่างยาวนาน ด้วยเอกลักษณ์สไตล์มุขสร้างเสียงหัวเราะอย่างสร้างสรรค์ บวกกับระบบระเบียบการดำเนินงานที่ตรงต่อเวลา ทำให้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามมีคิวงานตลอดทั้งเดือน ได้รับการชักชวนออกรายการทีวีโทรทัศน์ กระทั่งรายการตลกที่มาแรงในชั่วโมงนี้อย่าง รายการ บริษัทฮาไม่จำกัด

“ก็ได้รับโอกาส ต้องขอบคุณ คือตอนนี้ก็สามารถที่จะบอกคุณแม่ได้แล้วว่า ออกเต็มๆ เลยนะ จากที่ท่านเห็นเราแว้บๆ ตอนนี้ก็เห็นเต็มๆ หัวเราะเต็มๆ ขำทีน้ำหมากกระจาย ฟันปงฟันปลอมกระเด็นหลุดเลย ให้แกดูสองครั้งล่ะ ผมก็ดูแม่ไปก็ขำท่านไป

“คือถามถามความรู้สึก ณ จุดนี้ ก็พอใจในส่วนหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าโด่งดังอะไร ยังไม่ถึงขั้นนั้น ผมไปเรื่อยๆ กับเพื่อน ยังไม่คิดว่าเป็นคนดังอะไร ยังไม่ถึงเวลานั้น ก็ใช้ชีวิตปกติ สนุกสนานเฮฮาไป ส่วนเรื่องความรู้สึกที่มารับบทบทเป็นท่านนายก โดยส่วนตัวผมชื่นชอบท่านเป็นการส่วนตัวมานานก่อนจะรับบทท่านเสียอีก และยิ่งรับก็ยิ่งชอบท่านมากขึ้น เพราะท่านเป็นคนน่ารัก เป็นคนที่ถึงท่านจะพูดจาโผงผาง แต่เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนมีความเป็นผู้นำ เด็ดขาด เป็นลูกผู้ชายตัวจริง ใครจะด่าอะไรมั่งก็เป็นเรื่องปกติ มาเป็นตัวแทนท่าน ก็รู้สึกว่าปกติ ประชาชนไม่ได้เกลียดท่าน ไม่ได้ต่อต้าน ไปทีไหนเขาก็ขอบ ปรบมือให้ ขอถ่ายรูป คือเรามองลึกๆ แล้ว ท่านเป็นคนที่ประชาชนสนใจ รู้จัก ชอบ

“และท่านก็ทำเพื่อพี่น้องประชาชนด้วยใจจริง ผมมาทำตรงนี้ก็พยายามจะทำแบบอย่างท่าน เพราะหนึ่งทำให้ชีวิตเราพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้น จากเป็นคนที่คิดมากเรื่องอะไรต่างๆ เรามาเห็นที่ลำบากกว่าเรา ที่เราไปสัมผัสมา เรามีตรงนี้แล้วสามารถทำให้เขามีความสุขได้อะไรได้ เราก็สบายใจ เหมือนได้บุญอีก อย่างที่บอก ทำให้เขามีความสุข มีเสียงหัวเราะ เฮฮา อย่างน้อยก็ต้องมีคนอมยิ้ม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ถามเข้ามาเยอะ ถ้าหมดวาระแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป ก็อยากจะอยู่ทำหน้าที่นี้ต่อไป อาจจะในรูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ เพราะนอกจากตัวเราเองที่ได้ความสุข ประชาชนก็ได้ความสุขด้วย

“ก็อย่างว่านะ ฮะๆๆ พี่น้องประชาชน รู้รักสามัคคี ทำดีเพื่อประเทศชาติ นะๆ ฝากไว้แค่นี้ เราต้องรักกัน ถ้าเราไม่รักกัน ไม่ช่วยกัน ประเทศชาติมันก็เดินไปไม่ได้ เราก็จะอยู่อย่างนี้ คนอื่นเขาก็จะแซงหน้าเราไป

“ส่วนตลกคณะเหยิน สกอร์เปี้ยน ก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านคืนความสุข เสริมกำลังใจ ลองหาไปเล่นไปชมติดต่อได้นะ ฮะๆ ไปทั่วประเทศ ไม่จำกัด พร้อมจะไปสร้างความบันเทิงให้ท่านถึงที่ ดูแล้วจะมีกำลังใจใช้ชีวิต มีความสุข คืนความสุขฉบับสกอร์เปี้ยน แฝงไปด้วยคณะ คสช.”

พเยาว์กล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะก่อนจะจากลาไปรับใช้สังคมคืนความสุขให้พี่น้องประชาชนต่อไป ทำให้รู้เลยว่า “ไม่นานหลังจากนี้” เขาจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน (ขอเวลาอีกไม่นาน) จะไปเจอกันบนเวที

เรื่อง รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : จิรโชค พันทวี


กำลังโหลดความคิดเห็น