xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จาก “หมุดคณะราษฎร” ที่พล่านกันใหญ่ สนใจหมุดนี้กันหน่อย “หมุด คสช.”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “หมุดคณะราษฎร” หมุดทองเหลืองสัญลักษณ์รำลึกถึงเหตุการณ์ “อภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475” ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากจุดที่ฝังเอาไว้ ณ ลานพระราชวังดุสิตหรือที่รู้จักกันในชื่อลานพระบรมรูปทรงม้า ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจยิ่งในขณะนี้

ในฟากหนึ่ง ฝ่าย “ลิเบอร์รัล” ต่างพร้อมใจกันออกมาตั้งคำถามถึงการเข้ามาแทนที่ของ “หมุดประชาชนสุขสันต์หน้าใส” ว่า เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และใครเป็นคนทำเพราะการรื้อถอนเปลี่ยน “หมุดคณะราษฎร” ดำเนินไปอย่างเงียบเชียบไม่ปรากฏต้นสายปลายเหตุถึงการแทนที่ด้วยหมุดตัวใหม่ ตามมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์และการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่างๆ นานาถึงขั้นที่ต้องใช้คำว่า “โหยหาอย่างโหยหวน” กันเลยทีเดียว

ในอีกฟากหนึ่ง “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ก็ลุกขึ้นมายินดีปรีดาด้วยเห็นว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย พ่วงด้วยการลากไส้โจมตี “คณะราษฎร” กันอย่างขนานใหญ่ว่ากระทำการชิงสุกก่อนห่าม ข้อมูลถูกบ้างผิดบ้าง สุดแล้วแต่ว่าจะขุดขึ้นมาให้ตรงกับ “จริต” ของฝ่ายตน

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ หมุดคณะราษฎรนั้นสำคัญกับประเทศไทยจริงหรือ?

หมุดประวัติศาสตร์หรือหมุดไสยศาสตร์
แน่นอน ต้องยอมรับว่า หมุดคณะราษฎรนั้นคือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ และไม่ว่าจะหายไปหรือดำรงอยู่ ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ได้

หมุดคณะราษฎรได้กลายเป็นสัญลักษณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 กระทั่งมี “รัฐธรรมนูญฉบับแรก” โดยลักษณะของหมุดคณะราษฎร เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนน บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน) ทำการฝังหมุดและอ่านประกาศคณะราษฎร โดยมีข้อความปักบนหมุด ความว่า

"ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"

อ้างอิงจากหนังสือ 111 ปี ฯพณฯ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา "เชษฐบุรุษ" พิธีฝังหมุดคณะราษฎรเกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2479 หรือหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง 4 ปี โดย ในวันนั้นเป็นการจำลองเหตุการณ์จริง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีคณะทหารบกทหารเรือรวมทั้งพลเรือนร่วมชุมนุมประกอบพิธีพร้อมเพรียง ณ ลานพระราชวังดุสิต จากนั้นพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะผู้นำคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะราษฎร ได้กล่าวปราศรัย ตัดทอนใจความสำคัญความว่า

“...ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราชาวสยามไม่ควรจะหลงลืมที่สำคัญอันนี้เสียเลย เพราะเป็นที่กำเนิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งเราถือกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเป็นมิ่งขวัญของประชาชาติด้วย มิ่งขวัญของพวกเราชาวสยามได้เริ่มถูกเรียกและถูกเชิญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัวในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ ในขณะวันและเวลาที่กล่าวนั้น พวกท่านผู้ร่วมก่อการได้มอบชีวิตจิตใจไว้แก่ข้าพเจ้าอย่างเต็มที่ที่จะยอมเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อขอรับพระราชทานแลกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น สำหรับเป็นเครื่องป้องกันการหลงลืม และให้เป็นอนุสรณ์สืบต่อไปภายภาคหน้า

“ฉะนั้น หมุดที่จะวางลง ณ ที่นี้จึงเรียกว่า หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ ในมงคลสมัยซึ่งเป็นวันบรรจบครบรอบ 4 รอบปีแห่งการรับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร นับว่าเป็นฤกษ์งามยามดีอยู่แล้ว ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสวางหมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ ณ ที่ซึ่งเตรียมการไว้นั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

ต่อมา เมื่อกลางเดือนเมษายน 2560 “หมุดคณะราษฎร” ถูกรื้อถอนออกไปและแทนที่ด้วยหมุดใหม่ ปรากฏข้อความบนหมุด ความว่า

"ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง ขอประเทศสยามจงเจริญ ยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน"

แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีการมองการกำเนิดและการสูญหายของ “หมุดคณะราษฎร” ว่าเป็นเรื่องราวของความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ที่ฝังแน่นอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ ทว่า ก็มิอาจมองข้ามไปได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊กเพจ การะเกต์พยากรณ์ Astrologer and Tarot Reader ที่ออกมาโพสต์ตั้งข้อสังเกตในทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับข่าวที่ว่า หมุดทองเหลืองของคณะราษฎร หายไปในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น น่าจะเชื่อมโยงทางโหราศาสตร์ที่สืบเนื่องมาในอดีต มีข้อสังเกตลำดับเหตุการณ์ต่างๆอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือ ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลา “ย่ำรุ่ง” หรือ 04.45 ที่มีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ นับจากวันลงเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ครั้งแรกแล้ว ก็เป็นเวลาได้ 150 ปี 2 เดือน 3 วัน ในทางโหราศาสตร์ วันนั้น เป็นเวลาที่ดาวพุธเสวยอายุดวงเมือง ดาวอาทิตย์แทรก ดาวเสาร์เป็นกาลกิณีจร

จนมาถึงในปีนี้ 2560 ในเดือนเมษายนนี้ ก็มีข่าวว่า “หมุดคณะราษฎร” ได้หายไป ซึ่งยังเป็นที่ติดตามถามหาและถกเถียงกันอยู่ว่าหายไปไหน โดยมีหมุดใหม่มาแทนที่ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 เมษายน 2560 เวลา 15.00 น. ที่ผ่านมานี้ ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกวันสำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ เป็นวันประกาศพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว ลัคนาดวงฤกษ์สถิตยังราศีสิงห์ ซึ่งถือกันว่าเป็นราศีประจำประเทศไทย โดย ลัคนาเสวยฤกษ์ที่ 10 มฆานักษัตร ในภพเรือนที่ 5 ของดวงเมือง 

        ที่น่าสนใจคือ กลุ่มดาว มาฆะ หรือ มฆา นี้ คือ ดาว “Alpha-Leonics” ในกลุ่มดาวราศีสิงห์ (Leo) เรียกอีกอย่างได้ว่า ดาวงูตัวผู้ หรือ ดาวงูเลื้อย และยังมีความหมายที่น่าสนใจของกลุ่มดาวนี้อีก เช่น

       ดาว Alpha-Leonis นี้ ยังมีชื่อเฉพาะว่า เรกิวลัส ( Regulus )ทางละตินเรียกดาวดวงนี้ว่า คอร์ลีโอนิส (Cor Leonis) แปลว่า “หัวใจสิงห์” คนไทยเรียกดาวดวงนี้ว่า “ดาวหัวใจสิงห์” ทางฮินดูเรียก มาฆะ (Magha) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ทรงพลัง” หรือ “ผู้เป็นใหญ่”

“ไม่ว่าเรื่องหมุดที่หายไปจะลงเอยอย่างไร แต่ในทางโหราศาสตร์แล้ว การประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2560 นี้ พิจารณาลัคนาดวงฤกษ์แล้ว จะเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ หรือจะเป็นสัญญาณการบอกเหตุอีกครั้งว่า อาถรรพ์เก่าได้ถูกทำลายลงแล้ว...” เฟซบุ๊กเพจ การะเกต์พยากรณ์ อรรถาธิบายเอาไว้

เช่นเดียวกับ “วินทร์ เลียววาริณ” กวีซีไรต์ปี 2540 จากผลงานเรื่อง “ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” และกวีซีไรต์ปี 2542 จากผลงานเรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ที่โพสต์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

กวีซีไรต์ 2 สมัยมองว่า ด้วยนิสัยลืมง่ายของคนไทย ฟังธงว่าอีกไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็คงเงียบหายไปโดยไม่มีใครสนใจตามเคย แต่ทฤษฎีหนึ่งมาแปลกกว่าชาวบ้านก็คือมีความเชื่อว่าหมุดคณะราษฎรเกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายทางไสยศาสตร์ ทำหน้าที่สะกดดวงเมือง ไม่ให้อำนาจเก่ากลับมา ซึ่งเขามองว่าทฤษฎีมนต์ดำนี้ฟังสนุกกว่าบทวิเคราะห์ทั้งหลายมาก

“ทฤษฎีนี้ย่อมเป็นไปได้ แต่โบราณมา คนจะทำการใหญ่ก็ต้องพึ่งโหราศาสตร์ไสยศาสตร์ ผู้ก่อการ 2475 อาจเชื่อเช่นนั้นจริง แต่หากวิเคราะห์ด้วยข้อมูลแล้ว มนต์ดำในรูปหมุดไม่น่าจะจำเป็น เพราะมันเกิดขึ้นทีหลังการก่อการ”

ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลของวินทร์ระบุเอาไว้ด้วยว่า หลังจากคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสำเร็จ กลุ่มคณะผู้ก่อการก็พบชะตากรรมที่น่ารันทดเดียวกัน

“ปรีดี พนมยงค์ ถูกขับออกไปอยู่ฝรั่งเศสในปี 2476 แล้วกลับมา และหลังรัฐประหาร 2490 และกบฏวังหลวง 2492 ก็ลี้ภัยที่ต่างแดน ไม่ได้กลับบ้าน

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกฯคนแรก ลี้ภัยที่ปีนัง สี่ทหารเสือ พระยาพหลฯไม่ได้ลี้ภัย แต่ตายอย่างยากไร้ ไม่มีเงินค่าทำศพ พระยาฤทธิอัคเนย์ลี้ภัยที่มลายู พระยาทรงสุรเดชถูกเนรเทศไปอยู่ในกรุงพนมเปญ โดยไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมกล้วยขายและรับจ้างซ่อมจักรยาน ถึงแก่อนิจกรรมในปี 2487 ที่กรุงพนมเปญพระประศาสน์พิทยายุทธถูกไล่ไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหาร 2500 ลี้ภัยที่ญี่ปุ่น ไม่ได้กลับบ้าน ประยูร ภมรมนตรี ถูก ‘เนรเทศ’ ไปอยู่ต่างประเทศ”

“แน่นอน ถ้าเราจะโยงข้อมูลจริงเหล่านี้กับเรื่องมนต์ดำหรือกรรม ก็ย่อมทำได้ และมีสีสันมาก แต่ผมไม่เชื่อเช่นนี้เลยผมวิเคราะห์ออกด้วยคำคำเดียว - อำนาจ….”

วินทร์ ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า “ป.ล. ใครอยากส่งต่อบทความนี้ ยกเอาไปทั้งหมดนะครับ กรุณาอย่ายกแค่บางท่อนแล้วสรุปเอาเองว่าผู้เขียนเป็นกลุ่มไหน ผู้เขียนแค่เล่าประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งให้ฟัง อ่านด้วยวิจารณญาณเพื่อจะได้เข้าใจการเมืองไทยโดยรอบด้าน”

โปรดจับตา หมุด คสช.!!!!???
แต่ไม่ว่า “หมุดคณะราษฎร” จะเป็นเพียงแค่หมุดทางประวัติศาสตร์หรือหมุดทางไสยศาสตร์พ่วงเข้ามาด้วย ความจริงที่ต้องยอมรับกันก็คือหมุดทองเหลืองสัญลักษณ์การอภิวัฒน์สยาม 2475 ได้ก่อให้เกิดการต่อสู้ทางแนวความคิดขนานใหญ่ในขณะนี้ โดยแต่ละฝ่ายต่างก็ขุดข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ตรงกับจริตของฝ่ายตนมาสนับสนุนความเชื่อ

โดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดงที่ดูเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรือเป็นพิเศษ และหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองโดยไม่รอช้า เนื่องเพราะการหายไปของหมุดคณะราษฎรเกิดขึ้นในห้วงจังหวะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงกำลังเพลี่ยงพล้ำเพราะไม่สามารถสร้างกระแส ใน ลักษณะเดิมๆ ได้อีกด้วยมนต์ขลังของ “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” อ่อนระโหยโรยแรงยิ่งนัก พวกเขาจึงพากันโหนกระแสหมุดคณะราษฎรมาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวและพลิกฟื้นสถานการณ์

“เสี่ยไก่” - วัฒนา เมืองสุข กองเชลียร์ทักษิณตัวเอ้จึงกระโดดพรวดออกมาทวงคืนโดยไม่รอช้า

ขณะที่ฝ่ายตรงกันข้ามก็หยิบยกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาโจมตีฝ่ายลิเบอร์รัลจ๋าเช่นกัน เพราะเห็นแล้วว่า นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ทหารและนักการเมืองที่เข้ามามีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ก็มิได้ทำให้ประเทศไทยดีอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะปัญหาการคอรัปชั่นที่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง

แต่ก็ต้องยอมรับว่า บางรายก็นำข้อมูลมาเชื่อมโยงอย่างมั่วซั่วจนทำให้ขาดความน่าเชื่อถือไม่แพ้กัน

กระนั้นก็ดี สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายหลงลืมหรือฉุกคิดกันก็คือ สถานการณ์ของสยามประเทศในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช.ว่ากำลังนำประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตเบื้องหน้าอย่างไรหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นห้วงเวลาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงกฎกติกาบ้านเมืองให้เปลี่ยนไปจากเดิม

ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รวมทั้งการรื้อระบบการเลือกตั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ที่ล้วนแล้วอยู่ในกระบวนการ “จัดจารีตใหม่” ซึ่งอาจจะ “ดี” หรือ “ไม่ดี” ต่อประเทศไทยก็ได้ และคนไทยควรจะต้องร่วมกันชี้แนะ ติติง รวมทั้งให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง

นี่ไม่นับรวมถึงเรื่องใหญ่เรื่องโตระดับที่สำคัญไม่แพ้กันซึ่งจำต้องให้ความสนใจและให้ความสำคัญไม่แพ้หมุดคณะราษฎร อาทิ การเปิดช่องให้นายทุนต่างชาติเข้ามาเช่าที่ดินในประเทศไทยได้ยาวนานถึง 99 ปี การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนมูลค่า 36,000 ล้านบาท การละเลยไม่ตรวจสอบการเปิดรีสอร์ทและกาสิโนที่ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งๆ ที่มีข้อสงสัยและมีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่ “บ่อนแห่งนี้” ปักหมุดอยู่บนพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา การผ่านกฎหมายปิโตรเลียมโดยไม่ไยดีต่อข้อเสนอของภาคประชาชนในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเพื่อ ปกป้อง ผลประโยชน์ของประเทศ รวมถึงเรื่องที่ขำไม่ออกอย่างการอนุมัติ 2 ขั้นให้กับข้าราชการ 721 คนที่ช่วยงานให้ “คสช.” การเพิกเฉยต่อการปฏิรูปตำรวจต้นตอของปัญหาความไม่ยุติธรรมของประเทศ เป็นต้น

หรือ จะปฏิเสธว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเมื่อเทียบกับ “หมุดคณะราษฎร” ที่หายไป

ดังนั้น จงสนใจและใส่ใจกับหมุดนี้กันหน่อยเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติในอนาคตกาลที่กำลังจะมาถึงในเบื้องหน้าในอีกไม่ช้านี้....


กำลังโหลดความคิดเห็น