ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากกระแสแชร์และส่งต่อในโลกออนไลน์ของอดีตดาราพระเอกหนุ่มชื่อดังตลอดกาล “พีท ทองเจือ” ได้โพสต์คลิปการรักษาอาการเจ็บไข้โดยใช้พลังธรรมชาติ สร้างความประหลาดใจและความสนใจแก่ผู้พบเห็นทั้งในแง่บวกและลบเป็นจำนวนมาก
ภายหลังจากห่างหายทั้งผลงานในวงการแสดงและวงการแข่งขันรถ เขาใช้เวลาว่างสานต่อความชื่นชอบทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สนใจตั้งแต่เด็ก ค้นคว้าจากสมมุติฐานสู่ความจริง กระทั่งนำพาให้พบเจอกับเรื่องเร้นลับนอกโลกอย่าง มนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยนและกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษในบางสิ่งบางอย่างของพลังจักรวาล
ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัย “จริง” หรือ “เท็จ” บนสังคม ผู้จัดการสุดสัปดาห์จึงเดินทางไปพบกับเขาเพื่อคลี่คลายความกระจ่าง และทันทีที่ได้พบพร้อมกับพูดคุย ทำให้รับรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มากก็น้อยในความเชื่อความศรัทธา เราสามารถนำมาปรับใช้ช่วยตัวเองและเพื่อนมนุษย์รวมถึงโลกและนอกโลกได้อีกด้วย ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เชิญท่องเดินไปบนวิจารณญาณ ความเชื่อ ด้วยตัวท่านเอง
มะนาวต่างดุ๊ด หรือมนุษย์ต่างดาว
คือความชอบที่แตกต่าง
“คือตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนที่สนใจนิยายวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ตอนประมาณอายุ 8-9 ขวบ จำได้ว่าชอบไปที่ร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ มาซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทั้งหลาย แตกต่างจากคนอื่นๆ เด็กจะอ่านการ์ตูน แต่เราจะอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ เราจะชอบเรื่องแบบนี้ เพราะนิยายวิทยาศาสตร์ อ่านแล้วจะเข้าใจยาก มันจะไม่เหมือนนิยายทั่วไป คือถ้าอ่านไปแล้วหน้าหนึ่ง มันต้องหยุดแล้วก็เริ่มใหม่ เพราะว่าถ้าเราจินตนาการไม่แม่นก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง (ยิ้ม) คือเราอ่านภาพเราต้องไปกับตัวหนังสือเลย ถ้าภาพมันไม่ขึ้น บางคนอ่านแล้วก็จะวาง ไม่สนใจเท่าไหร่
“จริงๆ นิยายวิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องไกลตัว มันไม่ใช่แบบสัตว์ไปมีเพื่อนอีกชนิดหนึ่ง มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะฉะนั้นจึงทำให้ผมชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ทีนี้พอโตขึ้นมา จากนิยายวิทยาศาสตร์จึงเริ่มมาสนใจในเรื่องดาวนพเคราะห์ เรื่องดวงดาวต่างๆ กาแล็กซี่ต่างๆ จากนั้นก็เริ่มมองไปที่สิ่งมีชีวิตรอบโลก การเดินทางระหว่างโลกเราไปที่โลกอื่นๆ ที่ผ่านมา มันเป็นอย่างไรบ้าง มีจริงหรือไม่ เดินทางไปแล้วทำไมไม่มีใครไปลงที่ดาวดวงอื่นได้ เพราะอะไร กฎของแรงดึงดูดที่ลงไม่ได้ ระบบของยานต่างๆ มันไม่ support กับการจอด จนผมไปเจอ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
“ท่านพัฒนาระบบแลนดิ้งให้นาซ่า ที่เอายานอวกาศไปลงที่ดาวต่างๆ ทำไมถึงเป็นคนไทย ท่านเก่งนะ อะไรแบบนี้ เราก็จะพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ไปเรื่อยๆ จนกลายไปเป็นเรื่องดาวนพเคราะห์ กาแล็กซี่ เรื่องทางช้างเผือก ไปต่างๆ นานา ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบ ทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ ผมขอบอกเลยว่า มันเป็นงานอดิเรกที่เราสนใจเฉยๆ เหมือนบางคนสนใจโมเดล บางคนเลี้ยงปลา บางคนเลี้ยงกุ้ง แต่ของเราจะเป็นสิ่งที่เราสนใจและชอบ”
“คือกลายเป็นว่าทุกๆ อย่าง มันเริ่มสนุกจากตรงนี้แหละ เราก็เลยไปเจอในหลายๆ ทิศทาง ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่นอกโลก มีตรงไหนยังไง จะเป็นกายภาพร่างเนื้อแบบเรา หรือเป็นภพภูมิที่เป็นเรื่องของพลังงาน หรือว่ามีสภาวะจิตที่มีระดับสูงไปแล้วหรือเปล่า มันจะเป็นเหมือนไปเจอสิ่งต่างๆ ที่มันอธิบายไม่ได้ เราก็เลยต้องศึกษาต่อ พยายามที่จะเอาวัตถุดิบต่างๆ มาประกอบกัน แล้วก็เอาภาพรวมให้เยอะนิดหนึ่งเพื่อที่จะหาคำตอบที่ใกล้เคียงความจริง แม้กระทั่งที่จะไม่ใช่บทสรุป ณ วินาทีนี้
“แต่มองในมุมหนึ่ง ถือว่าเราได้ทำตามหลักวิทยาศาสตร์ หลักวิทยาศาสตร์ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุน คุณมีหลักการบางอย่างที่คุณคิดค้นขึ้นมา แล้วคุณหาคำตอบไม่ได้ แสดงว่าหลักการนั้นยังไม่มีตัวตน แต่ว่าถ้าคุณมีหลักการ มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะ ถ้าตรวจสอบได้ถึง 3 ครั้ง ผลออกมาเหมือนเดิม แสดงว่าหลักการของคุณชัดและมีตัวตนและเป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าหลายๆ อย่างที่พูดแต่ยังทำไม่ได้ ก็แสดงว่ายังคงเป็นแค่ความคิด เป็นแค่สมมุติฐาน แล้วเรื่องราวที่ผมชอบศึกษามันก็จะมีเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งถ้าสังเกตในยุคปัจจุบัน ด้วยโลกไซเบอร์ที่เปิดแล้วเนี่ย มันไม่มีพรมแดนที่หาความรู้ เพียงแต่ว่าคุณเจอคีย์เวิร์ดสิ่งที่คุณสนใจได้มากแค่ไหน
“คนที่สนใจเยอะในเรื่องนั้นๆ ก็จะมีคีย์เวิร์ดในการที่จะเข้าไปถึงข้อมูลที่เราสนใจมากกว่า สมมุติว่าถ้าเราไปถามเรื่องนี้กับอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย เขาก็จะล้วงลึกไม่ถึงในสิ่งที่เรามี ข้อมูลของเขาก็ไม่ลึกเท่าเรา เช่น ถ้าเราพิมพ์ว่า มนุษย์ต่างดาว เขาก็เจอแต่ที่มาของคำๆ นั้น แต่ถ้าคนที่ศึกษาเยอะกว่า จะพิมพ์คำว่า 'Crop Circle' เหมือนที่เขามีประเด็นถกเถียงกันว่า มีทุ่งหญ้าที่วันต่อมามีลายกราฟิกต่างๆ ว่าใครสร้าง ใครมาทำ แต่ถ้าคนทั่วไป ถ้าเข้าไปไม่ถึง ก็ไม่ได้มาศึกษา เพราะไม่รู้ว่า คีย์เวิร์ดนี้มีตัวตนอยู่ อันนี้ก็เหมือนเป็นลักษณะเดียวกัน หรือคนที่ชอบศึกษาเยอะกว่า ก็จะมีข้อมูลเยอะกว่า
ความเชื่อ ค้นคว้า
นำมาซึ่งการต่อยอดโลกล้านปีแสน
“ถ้าถามว่าในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวส่วนตัวรู้สึกนึกคิดอย่างไร คือด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ดาวอนุเคราะห์ต่างๆ อย่างดาวโลก ไม่น่าจะมีแค่สิ่งมีชีวิตอยู่แค่ที่เดียว แต่เผ่าพันธุ์อย่างนี้ อาจจะมีแค่ดาวโลกที่เดียว แต่ดาวอื่นอาจจะมีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งถ้าได้เข้าไปในอินเตอร์เน็ท ซึ่งถ้าเราเข้าไปค้นหา ก็จะมีข้อมูลจากคนที่ไปศึกษามา ก็จะมีพวก Reptillian (เรปทิลเลียน) พวก Grey (เกรย์) ที่เป็นตัวเทาๆ และก็พวกที่คล้ายคนขาวที่มีตาสีฟ้า ตัวสูงๆ โปร่งๆ นิดหนึ่ง ซึ่งมันก็จะมีหลายๆ เผ่าพันธุ์ ทีนี้เราก็เอาข้อมูลเท่าที่เก็บได้ มาเป็นองค์ความรู้
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กายภาพเขาเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้ด้วยว่า เขาเป็นพลังงาน หรือมีอวัยวะทางจิตที่สูงกว่าเราหรือเปล่า หรือว่ามีพลังงานที่อยู่เหนือกว่าเรา อย่างของเราก็ต้องใช้ตัวหนังสือเป็นการถ่ายทอด ต้องใช้โทรศัพท์ในการส่งคลื่น แต่ของเขาอาจจะไม่มีตัวหนังสือแล้ว อาจจะใช้ทางโทรจิตคุยกันหรือสื่อสารกันหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ผมเรียนและศึกษาแล้วก็พยายามหาความรู้มาตลอด”
“ผมก็ยังไม่เคยเจอนะ…โดยประสบการณ์โดยตรงจากตัวเอง แต่จะมีการบันทึกภาพพวกวัตถุบินที่ลึกลับมากพอสมควร มากจนกระทั่งที่เราเป็นบล็อคเกอร์มาตั้งแต่ประมาณ 10 ปีก่อนด้วย เรายังมีรูปที่เก็บไว้ในนั้นอยู่ แล้วก็เก็บไฟล์วีดีโอที่สำคัญๆ เอาไว้ แต่ว่าเป็นไฟล์ที่ได้มาพิเศษ จะเป็นในแบบที่ไม่อยากเผยแพร่ก็เยอะหรือว่าถูกตามมาลบไปก็เยอะ คือถ้าถามว่าในรูปถ่ายที่เราบันทึกมา เป็นการศึกษาของเราทางอ้อมด้วยไหม มันจะเป็นในเชิงว่า เก็บสถิติมากกว่า ว่า ยานในลักษณะต่างๆ เห็นบ่อยแบบนี้ หรือลักษณะต่างๆ เช่นยาวๆ เหมือนดินสอ เราก็จะเรียกว่าทรงซิการ์ ซึ่งมันไม่ได้มีแบบที่เราเคยเห็นโดยทั่วไป
“หรือบางอันที่เราเห็นตอนกลางคืน แล้วก็จะมีทรงแบบคล้ายเป็นลูกข่าง หรือบางอันก็มีสงไฟหลายๆ สี ที่มันเปล่งออกมา คล้ายๆ กับคริสตัลที่ถูกแสงไฟจ่อ ซึ่งจะมีแสงที่รุ้งๆ อยู่ อันนั้นก็จะเรียกว่ารุ่นทรงไฟดิสโก้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น จะเป็นในเชิงการเก็บสถิติว่าเราเห็นแบบนี้บ่อย เช่นลักษณะซิกการ์ จะอยู่บริเวณนี้ โดยส่วนตัวเราจะถ่ายได้ในทรงซิกการ์บ่อย ซึ่งในหลายๆ ครั้ง เราไม่ได้เห็นแล้วถ่ายเลย แต่จะเป็นแบบว่า พอเรานำมาขยายภาพ เราก็จะเจอโดยตอนตาเปล่าเราไม่เห็น เป็นแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าติดมาเยอะ แต่ถ้าเป็นบริเวณที่ถ่ายแล้วติดบ่อย ก็จะเป็นแบบรุ่นนี้เยอะ”
“คือเพื่อนฝรั่งของผม ก็จะเรียกสิ่งที่เราเป็นว่านักยูเอฟโอวิทยา คือ UFOLOGIS คือผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องนี้มากกว่า คือมันก็ไม่มีหลักสูตรนี้สอนในมหาวิทยาลัยนะครับ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมา บวกกับข้อมูลในสิ่งที่เรามีก็ถือว่าเยอะมากในระดับหนึ่ง
คือถ้าเทียบกับ อาจารย์หลายๆ ท่านที่ผ่านมา เช่น ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ นายแพทย์ เทพนม เมืองแมน ผมคิดว่าผมน่าจะอยู่ในระดับลูกศิษย์อยู่ครับ ในส่วนของ อ.อาจองนี่คือไกลมากแล้ว ท่านเป็นผู้คิดค้นระบบแลนดิ้งให้กับนาซ่า ซึ่งก็น่าคิดว่าทำไมไม่ใช่ฝรั่งคิด ดร.อาจองท่านปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเยอะ เราก็เคยมีคำถามที่ถามท่านไปว่า ทำไมคนไทยถึงคิดได้ ทั้งๆ ที่ฝรั่งเขามีวิวัฒนาการที่ดีกว่า“แต่กลายเป็นชนชาติอื่นคิดได้…ผมว่ามันมีประเด็นเรื่องการปฏิบัติธรรมที่ท่านได้ศึกษา และอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่เกิดขึ้น และท่านได้ข้อมูลมาจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลกมาช่วย เพราะว่า ที่นาซ่า เท่าที่ผมทราบข้อมูล ก็จะมีพลังงานหรือสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก มาทำงานร่วมกับเขาอยู่ ซึ่งถ้าไปค้นหาตามเว็บไซต์กูเกิลก็จะเจอเรื่องราวพวกนี้อยู่พอสมควร มันเหมือนกึ่งศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาทางอ้อมด้วย”
“คือถ้าพูดถึงคนไทย เราก็จะนึกถึงพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนานี้เป็นศาสนาที่ยกพัฒนาจิตได้ ง่ายที่สุด คือการ คิดดี ทำดี ปฏิบัติดี ซึ่งถ้าให้ย้อนนิดหนึ่ง ธรรมะ มันคือหลักวิทยาศาสตร์ เวลาคุณทำดี คุณก็ต้องได้ดี คือมันมีเหตุผลของมันอยู่ คุณนั่งปฏิบัติธรรมเยอะๆ คุณมีสติเยอะ มีปัญญาเยอะ ระดับจิตคุณก็ถูกยกขึ้นมันเป็นวิทยาศาสตร์ ทีนี้มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ทางจิตตรงๆ เลย เพียงแต่ว่า คนไม่ได้หยิบประเด็นนี้มาแปะว่า ธรรมะเท่ากับวิทยาศาสตร์ทางจิต แต่มันก็เหมือนกับกฎหมายยุคเก่าที่ยังนำมาใช้ในปัจจุบัน
“คำจำกัดความมันไม่ใช่แบบนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไป ถ้าผมทำได้หรือชิ่งหลักธรรมะ ผมก็จะบอกว่า ธรรมะหรือวิทยาศาสตร์ทางจิต คุณทำดี คุณได้ดี ถ้าคุณทำไม่ดี สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาหาคุณ ถ้าคุณปฏิบัติ นั่งสมาธิ รู้จักปล่อยวาง มันจะเป็นไปไม่ได้หรือ ที่ชีวิตคุณหรือระดับจิตคุณนั้นจะดีกว่าเดิม คราวนี้พอเราอยู่ตรงนั้นเยอะๆ เรามีสมาธิ เรามีจิตใจที่สงบนิ่ง เราไม่มีทุกข์ หรือไม่มีอะไรต่างๆ และเหมือนเราไม่ปิดกั้นตัวเอง บางคนไม่สนใจในเรื่องที่เรากำลังคุยกันเลยแม้แต่นิดเดียว เอะอะโวยวาย อะไรต่างๆ ก็ไม่ดี ซึ่งสุดท้าย เขาก็จะอยู่ในวังวนโดยที่เขาไม่รู้ตัว พลังงานลบอยู่รอบๆ ตัว ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งสภาพจิตคุณมันอาจจะไม่สดชื่นแจ่มใส ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธ ธรรมะหรือธรรมชาติ มันทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น เบาบางลง ไม่มีทุกข์ต่างๆ นาๆ
“แล้วเราก็จะไม่มีเงื่อนไข เพราะว่าไม่มีสิ่งที่ยึดติดอะไร พอไม่มีเงื่อนไข อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ พอเราไม่ยึดติด เราอาจจะอยากทำในสิ่งที่เราตั้งใจ เช่น พอเรามีพลังเหลือ เราอยากที่จะไปช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ช่วยเรื่องแรงกาย น้ำใจ หรือ เรื่องต่างๆ นาๆ เราสามารถที่จะมีพลังเหลือที่จะให้กับคนอื่นได้มากกว่าตัวเราเอง ซึ่งในเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต พอเราเข้าใจในกลไกต่างๆ แล้วเรามีวิธีทางความคิดที่เรา mindset ตัวเองว่า อะไรที่ไม่ดี อย่าไปยุ่งกับมันที่นำมาด้วยความทุกข์ ก็หลบเลี่ยง ถ้ามันทุกข์จริงๆ ก็กลับไปดูที่มาของความทุกข์คืออะไร ไม่ใช่ไปแบกรับไว้ หรือยึดถือไว้ว่าเป็นเพราะอะไร
“ถ้าเราเข้าใจแล้ว ดาราจะไปแบกมันทำไม ใช้หลักอริยสัจ 4 แล้วเราก็จะต้องเป็นผู้ดู ผู้ปฎิบัติ ก็คือดูตัวเอง เอาตัวเองให้รอดจากภาวการณ์ปรุงแต่งต่างๆ ให้ได้ตลอดเวลา อย่าไปยอมให้มันเป็นเจ้านายเรา มันก็จะทำให้เราไม่ดีใจเกินไป ไม่เสียใจเกินไป ถ้ามันขึ้นปุ๊บ เราก็ต้องรีบไปดูต้นเหตุ และรีบวางลง และคอยดูส่วนต่อไปที่จะมากระแทกเรา สุดท้ายแล้วก็เท่าที่เล่ามาก็จะเป็นในหลักปฏิบัติ เราก็จะใช้แนวทางนี้ในการดำรงชีวิต ในการทำงานต่างๆ อย่างน้อยเราก็มีสติและสมาธิกับตัวเองมากขึ้นแน่นอน เพราะว่าเราเลือกและชินกับปฏิบัติแบบนี้ มากกว่าปฏิบัติและคิดแบบอื่น”
“อย่างที่มีการโพสต์เรื่องการของการรักษาไข้เจ็บป่วย โดยสิ่งนี้เริ่มต้นขึ้นจากการแข่งรถจนเกิดสมาธิจิตนิ่งเห็นร่างตัวเอง ต่อมาจึงศึกษาและสามารถใช้พลังงานนั้นรักษาคนป่วยได้ โดยซุ่มเงียบทำมาหลายปีแล้วไม่คิดเงินค่ารักษาแม้แต่บาทเดียว
“จริงๆ ที่ผมโพสต์นั้น มันเป็นในส่วนของการทดลองนะ พอสภาวะจิตและร่างกายของเราว่างพอ เรามีสมาธิ เราสงบ เราไม่มีเงื่อนไขที่เราสร้างให้กับตัวเอง ว่าเราทำแต่ละอย่างได้หรือไม่ได้ พอข้างในเราว่าง เราก็เลยคิดว่าพลังงานต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพลังงานดีๆ ทั้งหลาย มนุษย์สามารถดึงมาใช้ได้ ถ้าคุณมีการฝึกแล้วมีการดึงมาใช้ หมายความว่า เอามาบำบัดผู้ป่วย
“หรือถ้าเราเคยได้ยินเรื่องพลังงานจักรวาลมาสแกนพลังในส่วนนี้แล้วปรับคลื่นแม่เหล็กในตัวอีกคนหนึ่ง ทำให้ระบบในร่างกายเขาดีขึ้น ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติพอสมควร ซึ่งถือว่ามีการได้ยินมาบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในเรื่องการรักษาอะไรแบบนี้ครับ มันจะเป็นเรื่องของการที่ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ มันเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจการปล่อยวาง หรือ เรื่องราวต่างๆ ประมาณหนึ่ง
“ไม่อย่างนั้นคุณจะมีในเรื่องของอัตตาเยอะ ประมาณว่า ฉันเป็นผู้วิเศษ ฉันสามารถทำให้อีกคนหนึ่งได้ ถ้าคุณเป็นแบบนั้น คุณจะไม่ได้การตอบรับที่ดีเท่าไหร่จากสิ่งที่คุณพยายามทำ เพราะว่าเรามีเงื่อนไขและข้อแม้มากกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราไม่ยึดติดอะไรเลย เราลองทำเพราะว่าเราบริสุทธิ์ใจ อยากช่วย เราไม่ได้ศึกษาและเป็นแพทย์โดยตรง แต่คิดว่าเราอนุญาตให้ใช้ร่างเราเป็นตัวผ่านพลังงานต่างๆ ที่จะไปรักษาคนที่อยู่ข้างหน้า ก็แค่นั้นเอง มองในมุมหนึ่งคือ เป็นการทำงานหลักวิทยาศาสตร์ เอาพลังงานรอบข้างมาใช้ให้ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกและเข้าใจพื้นฐานของธรรมะ
“ซึ่งถ้าคุณยังไม่เข้าใจวิธีของการปล่อยวาง การทำให้ตัวเองเบาบางจากทุกข์ หรือการตามหาความสงบทางจิต ถ้าคุณไม่ผ่านมันเลย แล้วอยู่ๆ คุณมาทำตรงนี้ คุณคิดว่าคุณจะเอาพลังจากไหนมาได้ คุณคิดว่าจะเอาจากหลักสูตร หรือว่าอะไรมาแล้วแต่ ทำตัวเอง รักษาตัวเอง จนกระทั่งตัวเองมีความว่างแล้ว อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ ความว่าง คือ เราไม่ยึดติด เราเบา เราไม่มีทุกข์ เราทำอย่างนี้ให้ได้ก่อนเราจะไปช่วยคนอื่น พออย่างที่ผมบอกตอนแรกเลยว่าถ้าเราจัดการกับตัวเองได้จนเรียบร้อยแล้วเรามีสมาธิมีสติอย่างดีปุ๊บ ทุกคนก็อาจจะมีประเด็นทางด้านความคิดที่มันแตกต่างกันไป บางคนอยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน บางคนอยากช่วยโลกที่มันร้อนอยู่ให้มันดีขึ้น เช่นไปช่วยกันเก็บขยะ ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น ฯลฯ
“ความคิดของแต่ละคนว่าเขาจะไปไหนทิศทางไหน แต่ของผมมาเส้นทางนี้”
มนุษย์ต่างดาว อภิมหาศัตรูร้ายจากจอแก้ว
แท้จริงคือมิตรร่วมกาแล็กซี่
“ในความเชื่อทั่วไปที่คิดว่ามนุษย์ต่างดาวมายึดโลก ผมว่ามันตลก ถ้ามันจะยึดมันคงไม่รอตรุษจีนปีหน้าแล้วมายึดหลอก มันคงจัดหนักไปแล้ว คือถ้าพูดถึงเรื่องนี้ผมก็มีเรื่องเล่าให้ฟัง ก็ข้อมูลที่ศึกษามา ทำไม UFO ถึงมาที่ดวงดาวเรา ทำไมถึงมีการอ้างอิงว่ามีการติดต่อสื่อสารกัน ทำไมถึงมาเยอะ ทำไมบางคนถึงถ่ายรูปได้ จากมุมโน่นนี่ของโลก ทำไม นั่นเพราะว่าเขาเป็นห่วงเรื่องภัยพิบัติใหญ่ที่มันจะเกิดขึ้นบนโลกมาจากภาวะต่างๆ ของโลกที่มันเปลี่ยนไป โลกร้อนขึ้น แกนโลกขยาย ทำให้สนามแม่เหล็กมันเปิด โลกกำลังเข้าสู่ยุควิกฤต เนื่องจากประชากรใช้โลกในรูปแบบผิดวิธี สิ้นเปลือง จนเกิดสภาวะแปรปรวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก”
“ทีนี้เขามาเขาจะมาเตือนเรื่องภัยพิบัติแล้วก็มาช่วยเราในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ถ้าเขามาคิดจะครองโลกเขาไม่รออะไรแล้ว เขาคงจะดำเนินการหรืออะไรไปสักอย่าง ถ้าตามสิ่งที่ผมคิดนะ แต่ตอนนี้ประเด็นคือว่าเกิดภัยพิบัติแล้วยังไง เราอยู่ในวงโคจรของระบบกาแล็กซี่อันนี้ เราเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ต่างๆ ที่ทุกอย่างรวมกันไป เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในจักรวาล ดังนั้นว่าถ้าโลกของเราเป็นอะไรไป ระบบกาแล็กซี่ก็จะเสีย แล้วก็ไม่รู้จะใช้กี่หมืนกี่พันกี่แสนล้านปี ที่จะทำให้ระบบกาแล็กซี่กับมาอยู่ร่วมกันด้วยความสมบูรณ์อีกครั้ง เขาจึงมารักษาตรงนี้ไว้
“คือเซฟตัวเองแล้วเขาเตรียมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งในมุมคนมองว่าแปลกประหลาดพร้อมกับข้อสังเกต ก็เข้าใจ ถึงได้บอกว่าเป็นเรื่องเล่าที่เราศึกษามาว่ามันน่าจะ เข้ามาเพื่อจะเซฟโลกมากกว่าที่จะมายึดโลก มันคงไม่ต้องรออะไรแล้วล่ะ ก็ง่ายที่สุดอย่างที่ผมพูดก็คือย้อนกลับไปง่ายๆ สักสองปีที่ผ่านมาภัยพิบัติต่างๆ มันเกิดขึ้น เปอร์เซ็นต์ของสถิติมันเกิดขึ้นมากกมายกว่าตอนเราเด็กๆ เด็กๆ เราจะไม่ค่อยได้ยินข่าวทำนองนี้ๆ จะเจอโน้นทีนี้ที นี้แบบพบจบที่นี้ไปต่อที่นี้
“แต่ตอนนี้มันถี่ๆ ขึ้นจบประเทศนี้ไปต่อประเทศนี้ เฮ้ย มันมีทั้งปี แล้วทำไมเมื่อก่อนมันเยอะขนาดนี้ หมายความว่าโลกหมดอายุแล้วเหรอ ตัวโลกหมดอายุหรือยังไง หรือเหมือนรถเริ่มพัง เพราะว่าปีอายุมันเยอะแล้วอะไรลักษณะนี้ ทำให้มันก็มีเหตุผลว่าเออ มันก็จริงที่เขาพูดว่าภัยพิบัติใหญ่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่า
“เป็นการส่งสัญญาณมนุษย์เริ่มทำลายโลก จงเพลาๆ อย่างที่เล่าให้ฟัง ด้วยมันน่าจะเป็นเรื่องของสภาวะต่างๆ ของโลกที่มันเปลี่ยนไปจากการทำลายโลกใบนี้ด้วยมือของเราเอง ของตัวมนุษย์ที่อาศัยอยู่เช่น โลกร้อนขึ้น แกนโลกขยับ ภูเขาไฟไม่ปะทุ ลาวา มันคงต้องมีอะไรสักอย่างที่มันต้องเกิดขึ้น แต่จะให้บอกเป็นรายลักษณ์อักษร ก็ยังไม่มี คือยังไม่มีใครบอกอะไรได้ คือทุกคนมันมีปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นต่อไปว่าเร็วๆ นี้ล่ะ แต่เราอาจจะยังไม่รับรู้ชัดเจนเพราะ เราไม่เดือดร้อน เราอยู่ประเทศไทย เราอยู่กรุงเทพฯ แต่ถ้าอยู่แถวภูเขาที่มันดินถล่ม หรือภูเขาไฟ ระเบิด อย่างประเทศอินโดนีเซีย บ้านคุณทำไง เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราแค่รับรู้ ไม่เดือนร้อนมากไหร่ เราก็เลยยังไม่ได้ตระหนักคิด ก็เลยกลายเป็นว่าเราไปคิดอีกแบบ ซึ่งผมเชื่อว่าถ้ามันมายึดโลกก็คงทำไปแล้ว”
“อย่างที่ภาพยนตร์เกรด B หรือระดับฮอลลีวูดนับสิบๆ เรื่องในรอบไม่กี่ อาทิ Starship Troopers สงครามหมื่นขา ล่าล้างจักรวาล (1997) Independence Day ไอดี 4 สงครามวันดับโลก (1996) Signs สัญญาณสยองโลก (2002) War of The Worlds อภิมหาสงครามวันล้างโลก (2005) BattleShip ยุทธการเรือรบพิฆาตเอเลี่ยน (2012) Parasyte ปรสิต เพื่อนรักเขมือบโลก (2014) ต่างแสดงถึงการปรุงแต่งจากโลกจินตนาการณ์แทบทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับที่ภาพยนตร์ที่นำเสนอจากเค้าโครงเรื่องจริง
“มันจะมีเรื่องจริงบางอย่างเรื่อง โฟรดคลาย ลองไปศึกษาดู เป็นการประจันหน้าระหว่าง UFO มนุษย์ต่างดาวกับมนุษย์ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่เมืองๆ หนึ่งของรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาสร้างเป็นหนัง ซึ่งเรื่องของเรื่องคือว่าที่นั้นมีคนในพื้นที่เลยครึ่งเมืองเลยที่ต้องไปหาจิตแพทย์ เพราะทุกคนเจอแต่ภาวะเดียวกัน แล้วก็เหมือนกับเขาจะเจอนกฮูก นกฮูกจะมาที่บ้าน แต่พอเขาก็จะหลับไปแล้วก็เหมือนถูกลักพาตัวไป แล้วก็กลับมาแล้วทุกคนก็จะคล้ายๆ กัน มีปรากฏการณ์กับตัวเองคล้ายๆ กัน ต้องไปหาหมอจิตแพทย์ ก็เลยมีการบันทึกเรื่องแล้วก็เป็นเรื่องราวขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้ก็น่าสนใจพอสมควร แล้วก็ตอนสุดท้ายของเรื่องก็เป็นคลิปจริงที่เป็นบ้านที่เกิดเหตุ ตำรวจไปจอดรถหน้าบ้าน เป็นภาพจริงจากกล้องหน้ารถตำรวจที่เห็นว่ามียาน UFO ลำใหญ่ลอยมาอยู่ข้างหน้าบ้าน คือก็เป็นเรื่องจริงที่พอมีที่เขามาทำเป็นหนัง แต่ส่วนมากเรื่องก็จะแนวเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ความสนุก ความบันเทิงมากกว่า
“คือการรับรู้องเราส่วนมากคนจะมาดูที่ปลายเรื่องมากกว่าว่าอะไรถูกนำเสนอ แล้วพอสิ่งที่นำเสนอมันถูกใจ คนค่อยกลับไปว่ามันมาจากไหนมาอย่างไร แต่ถ้าเป็นคนที่สนใจอย่างผม เราจะเริ่มที่ต้นเหตุ แล้วเราค่อยไปดูปลายเหตุที่หลัง แต่ส่วนมากถ้าคนจะรับรู้จากสื่อต่างๆ ก็คือปลายเรื่องแล้ว แล้วก็ถ้าข้องใจค่อยตามกลับมาสาวหาต้นเหตุ อันนี้ไม่สนใจก็ปล่อยทิ้งไปเลย แล้วเขาก็จะใช้ความคิดเห็นของเขาแสดงออกไป แต่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปหรือว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นหรือการศึกษามันมาจากไหน แล้วมีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง
“เปิดใจให้กว้าง เอาง่ายๆ เจนเนอเรชั่นใหม่ ใหม่ต้องเปิดใจให้กว้าง สิ่งที่เขาชอบอาจจะไม่ได้ดั่งใจเรา แต่ถ้ามันไม่เดือนร้อนคนอื่นมันก็เป็นความคิดที่เขามีกันเอง แต่จะขอบอกว่าโลกในอนาคตที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันไม่ได้อยู่ในมือเรานะ มันอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ เข้ามีวิธีนำเสนอแตกต่างกัน มันก็เป็นรุ่นเจนต่อๆ ไป แต่ผมเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายๆ ปี สิ่งที่ผมเล่าพูดถึง ผมมีคนซับพอร์ตเยอะเพราะว่าเราพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนหาคำตอบไม่ได้ พอเรามีเหตุผลต่างๆ มาเล่าให้ฟัง ทุกคนก็มีประเด็นที่ฉุกคิดได้ บางคนก็จับประเด็นที่ผมพูดไปตีความให้มันยาวขึ้น แล้วก็จะเริ่มศึกษา
“แต่บางคนที่รู้อันนี้แล้วก็จะไปหาประเด็นอื่นที่เขาไม่มี ผมก็จะออกตัวว่าผมไม่ได้คนวิเศษ ไม่ได้เป็นผู้วิเศษ เป็นคนธรรมดาที่มีความสนใจก็เลยมีเรื่องที่มีข้อมูลอยู่ ก็เลยรู้เยอะ มีวิธีความคิด วิธีคิด มีเหตุผลที่มันรองรับอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ผมบอกคุณต้อมีเหตุผลซับพอร์ต เพราะถ้าคุณไม่มีมันก็เป็นแค่สมมุติฐานหรือแค่เป็นความคิดเปล่าๆ เท่านั้น จะให้ไปบอกคนอื่นหรือให้คนอื่นมองในเรื่องมนุษย์ต่างดาวนี้อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะหนึ่งแล้วแต่ความคิดเลย แต่ถ้าสำหรับผมเนี่ย เราเปิดใจให้กว้าง เรามานับถอยหลัง รอ รอสักวันหนึ่งเมื่อไหร่มันจะต้องมีวันสักทีวันที่จานมันลงมาจอดบนพื้นดินต่อหน้าคนจริงๆ ไม่ใช่บินไปบินมา เพื่อนฝรั่งยังบอกเลยว่าลงมาจอดเลย แล้วก็มานั่งกินกาแฟมาคุยกัน เพราะมีคำถามเยอะเลย
“คือผู้ที่สนใจผมก็บอกเพื่อนว่าเพื่อนก็ถามยังไง ก็ไม่ยังไง มึงกับกูก็รอไปจนถึงวันนั้นที่มันมีการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง หรือจานลงที่นี้แล้ว เพราะมันต้องมีถึงเวลา เช่นเดียวกันกับข่าวภัยพิบัติ สองปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินเรื่องนี้เยอะขึ้น บ่อยขึ้น ภาพต่างๆ ถ่ายได้เยอะขึ้น เราเอารูปมาแต่ง เอา UFO มาแปะ ก็เยอะขึ้น ก็หมายความว่ากระแส มันเริ่มเป็นส่งอีกสิ่งหนึ่งที่คนสนใจเยอะขึ้น”
“ในมุมมีบางคนถามมีตัวเอเลี่ยนไปสิ่งบุคคลต่างๆ อันนี้น่าสนใจ ผมอยากให้คนที่มีข้อมูลอันนี้ คนที่สนใจข้อมูลเหล่านี้เข้าไปศึกษาพร้อมๆ ผม เพราะผมก็ยังศึกษาอยู่ มันมีอยู่เช่นที่เราเปิดเข้าไปให้ดูได้เลย ใช่คำว่า เชฟ ชิฟติ้ง ก็จะมีเจอคนต่างๆ ที่ถูกอ้างอิงว่ามีเขาใช้ร่างคนพวกนี้ เป็นเรื่อปกติ ผมไม่ได้ข่าวโคมลอยมันอยู่ในนี้ใครก็หาได้
“คือที่ประเทศอเมริกามีการพูดคุยกันว่า มันมีองค์กรที่เรียกว่า อิลูมินาทิก คือผู้ที่มนุษย์ต่างดาวสองสามกลุ่มที่เข้ามาอยู่รวมกับบุคคลทั่วๆ ไป มานานแล้ว อันนี้ไมได้คิดเอง ผมแค่เล่าให้ฟังจากสิ่งที่เราศึกษา ท่านผู้อ่านหรือน้องเองก็เข้าไปศึกษาได้ แนวคิดนี้สั้นว่าเขาเข้าบุคคลสำคัญของโลกหลายๆ บุคคลจริงๆ แล้วในอีกภาคส่วนของเขาเนี่ยเหมือนเขามีเชฟชิฟเตอร์ (มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่แฝงตัวอยู่กับเขา) อันนี้ไมได้โยงประเด็นที่ผมบอกว้าเปิดมามันเจอเยอะแยะ ก็ที่ประเทศอเมริกาก็มีการศึกษาอย่างจริงจัง แล้วก็พยายามค้นหาข้อมูลที่เราเปิดเจอเรื่อยๆ ก็ลองเข้าไปศึกษาดู มันก็จะมีคนสำคัญๆ อยู่เยอะ
“ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้มันเป็นสิ่ง เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนให้ความสนใจเยอะ แล้วก็ส่วนมากที่มันแฝงอยู่ในร่างเรปทิเลียนเนี่ยพื้นฐานเขาจะเป็นลักษณะเผ่าพันธุ์ของ สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นจิ้งเหลนหรือพวกงู ที่เป็นผิวเกล็ดแต่เกล็ดเล็ก แต่ว่าลื่น แล้วก็มีตา จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้ คือยังไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้เลย แต่นี้อาจจะได้ข้อมูลที่มันเหมือนๆ เราศึกษาอยู่เฉยๆ แล้วทุกคนก็ถ้าอยากสนุก ก็เข้าไปศึกษาด้วยกัน เพราะมันยังไม่มีอะไรมาซับพอร์ตเรื่องเหตุผลเลย มีแต่สมมุติฐาน เต็มฟีดไปหมดเลย แสดงถึงคนสนใจจริงๆ มีถึงขนาดเอาไปใส่ออร่าเพื่อที่สแกนดูว่ามันมีความร้อนของอีกเชฟหนึ่งอยู่ข้างในหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ก็มันมีเยอะเรื่องอยู่นะ
“คือมันก็ยังไม่มีใครรู้ ผมก็ไม่รู้ แต่ว่าเยอะครั้งที่เรา เราต้องไปหาคำตอบ ผมก็เชิญชวนให้ไปดูข้อมูลกันแล้วก็มันก็มีจริงๆ ที่ประเทศอเมริกามันมีอะไรอีกเยอะที่คนไทยไม่รู้และมันกลายเป็นประเด็นที่สำคัญในเมืองไทย เพราะว่าอเมริกามันเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้แล้วก็เข้าไปศึกษา แต่เมืองไทยมันเป็นสิ่งใหม่ที่คนไม่เคยพูดถึง พอไม่พูดถึง มีใครพูดถึงคนที่พูดถึงก็มันก็จะเป็นจุดสนใจ เราศึกษา เรานำมาพูดคุยเรื่องมันก็จะกลับไปหาประเด็นที่ท็อปปิก อย่างถ้าผมบอกว่า บารัค โอบามา (อดีตประธานาธิบดีแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา) มีสิ่งหรือคนรอบตัวเขามีเรปทิเลียนสิงอยู่ คนจะคิดว่าเราเอามาจากไหน แต่ถ้าผมเปิดให้ดู ผมไม่ได้คิดเองมันมีและมันมีสิ่งที่มีหลายๆ คนวิเคราะห์และหาข้อมูล
“คือถ้าเราสนใจเราก็จะเริ่มตามหาต่อว่าเราจะไปอย่างไหน และเรานำมาพูดคุยเรื่องมันก็จะกลับไปหาประเด็นที่ท็อปปิกต่อยอดแตกประเด็น ซึ่งถึงจุดนั้นแล้วก็อย่างที่ผมบอกไป เรามาสนุกกัน ถ้ามันคือสิ่งที่เราชอบ”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ศิวกร สอนเสน