xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์-มีแต่ได้-กับได้ ยิงนกทีเดียว-ได้นกมาเป็นฝูง

เผยแพร่:   โดย: สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


วันที่ 77 แห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งโจมตีฐานทัพอากาศที่เชย์รัต ในจังหวัดฮอมส์ ของซีเรีย เพื่อลงโทษในข้อกล่าวหาที่เขาสรุปเอาเสร็จสรรพว่าเรือบินรบรัฐบาลอัสซาดของซีเรีย ได้บินมาทิ้งระเบิดอาวุธเคมี เป็นสารซารินเพื่อฆ่าประชาชน พลเรือนของตนเองที่จังหวัดอิดลิบ จนทำให้เด็กเกือบ 30 คน และพลเรือนอีกเกือบ 60 คนตายทันทีกับการถล่มแก๊สพิษ

ทรัมป์อธิบายว่าเขาได้ดูข่าว (จากฟอกซ์) เห็นภาพอเนจอนาถเป็นการทุรนทุรายของเด็กๆ ที่กำลังหายใจไม่ออกเมื่อโดนแก๊สพิษและต้องตายอย่างน่าสมเพช ทำให้เขาต้องใช้มาตรการเด็ดขาด

เดิมเมื่อปี 2012-2013 ก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันนี้ สมัยรัฐบาลโอบามา ซึ่งโอบามาออกมายอมรับว่าการใช้สารเคมีในสงครามเป็นการล้ำเส้นแดงที่โอบามาขีดเอาไว้ และโอบามากำลังจะตัดสินใจบุกถล่มอัสซาดตามข้อกล่าวหาว่า อัสซาดใช้ระเบิดสารเคมีฆ่าพลเมืองของตนเอง เพื่อข่มขู่ไม่ให้เอนเอียงไปเข้าข้างฝ่ายกบฏ

ครั้งนั้น โอบามานำเรื่องเข้าสภาเพื่อขออนุมัติการบุกซีเรีย เพราะตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ประธานาธิบดีจะส่งกองกำลังหรืออาวุธไปโจมตีประเทศต่างๆ ซึ่งคล้ายการประกาศสงคราม รวมทั้งในการทำสงครามกับประเทศอื่นๆ จะต้องได้รับการอภิปรายและลงมติโดยสภา

ขณะเดียวกัน ทางอังกฤษก็กำลังจะนำเรื่องอนุมัติจากสภาเพื่อร่วมกับสหรัฐฯ ในการโจมตีฐานทัพของซีเรียในข้อกล่าวหาว่า รัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมีในสงคราม แต่ปรากฏว่าทางรัสเซียโดยประธานาธิบดีปูติน ได้เสนอปลดอาวุธเคมีที่ซีเรีย ซึ่งเป็นทางออกโดยสันติและทางสหประชาชาติโดยคณะมนตรีความมั่นคง ได้มีมติส่งหน่วยงานของสหประชาชาติเข้าไปปลดอาวุธเคมีของซีเรีย เอาออกมาทำลายจนหมดสิ้น

ช่วงปลายปี 2012 ถึงต้นปี 2013 นั้น นายทรัมป์เป็นนักธุรกิจแห่งนิวยอร์ก ได้เขียนทวิตเตอร์หลายฉบับวิงวอนแกมข่มขู่ถึงประธานาธิบดีโอบามา บอกว่าอย่าส่งทหารอเมริกันไปซีเรียเด็ดขาด อย่าเข้าไปยุ่งกับสงครามกลางเมืองของซีเรียปล่อยให้รัสเซียเข้าไปตกหล่มในซีเรียดีกว่า ประเทศสหรัฐฯ ไม่ควรไปเสียค่าใช้จ่ายกับสงครามซีเรีย และมีข้อความในทวิตของเขาอันหนึ่งถึงกับข่มขู่โอบามาว่า โอบามากำลังพยายามจะใช้การบุกซีเรียเพื่อช่วยดึงคะแนนนิยมของตนเองที่เริ่มดิ่งลงให้ผงกหัวขึ้นมาใช่ไหมล่ะ?

ตอนนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีคะแนนนิยมตกต่ำมากเพียง 35 เปอร์เซ็นต์ เพราะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กับผลงานที่เข็นออกมา เริ่มจากประกาศอำนาจประธานาธิบดี ห้ามคนมุสลิมจาก 7 ประเทศเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ก็ไปเจอกับการเบรกอย่างแข็งขันของอำนาจตุลาการ ขนาดเปลี่ยนคำสั่งใหม่เหลือ 6 ประเทศ (ตัดอิรักออก) และไม่ใช้ศาสนาเป็นตัวกำหนดก็ยังไม่วายถูกเบรกอีก คำสั่งประธานาธิบดีเหมือนอย่างที่เด็กๆ เขาเรียกว่าสั่งขี้มูก คือไร้น้ำยาโดยสิ้นเชิง (อย่าไปเทียบกับคำสั่งห้ามนั่งท้ายรถกระบะและแคปช่วงสงกรานต์นี้!!)

พอทรัมป์จะเลิกคำสั่งของโอบามาเรื่องประกันสุขภาพทั่วหน้า โดยมีทรัมป์แคร์มาแทนโอบามาแคร์ ก็ไปโดนบรรดา ส.ส.หัวเห็ดฟรีดอมคอคัสมาขวาง ไม่ยอมจะยกมือให้ ทรัมป์และประธานสภาล่างพอล ไรอัน รีบถอนร่างกฎหมายของตนออกมาแทบไม่ทัน ไม่งั้นจะยิ่งเสียหน้ายิ่งกว่านี้

ก่อนหน้านั้น ยังไม่ทันครบ 1 เดือนที่เข้ามาบริหารก็หน้าแตก เพราะที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีก็ถูกเปิดโปงเสียหายมากว่าไปใกล้ชิดกับฝ่ายรัสเซีย จนทำให้เกิดข้อครหาว่าทรัมป์ส่งสัญญาณ (หรือแอบขอร้อง) ให้รัสเซียปฏิบัติการเจาะข้อมูลของพรรคเดโมแครตขณะหาเสียงเลือกตั้ง (คล้ายกับกรณีวอเตอร์เกต ที่ประธานาธิบดีนิกสัน รู้เห็น หรือออกคำสั่งให้แอบบุกไปขโมยข้อมูลการหาเสียงของพรรคเดโมแครตที่อาคารวอเตอร์เกต) จนทำให้พลโทไมเคิล ฟลินน์ ต้องรีบลาออกจากตำแหน่ง และตอนนี้ข้อกล่าวหาเรื่องคณะของแคนดิเดททรัมป์สมคบกับทางการรัสเซียเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดี กำลังเข้มข้น โดยจะมีการสอบสวนในคณะกรรมาธิการทั้งในสภาล่างและวุฒิสภาว่าความจริงเป็นอย่างไร? และกำลังลามปามอาจสาวไปถึงนายทรัมป์เอง ซึ่งถ้าผิดจริง ก็อาจนำไปสู่การถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ถ้ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจและลามถึงความชอบธรรมในการชนะเลือกตั้งของทรัมป์

การใช้ขีปนาวุธแบบ Cruise Missile ชื่อโทมาฮอว์กถล่มถึง 59 ลูกครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่ทรัมป์จะได้กับได้หลายๆ อย่าง จับนกได้เป็นฝูง คือ

1. ทำให้คนอเมริกันที่มองว่าโอบามากลืนน้ำลายตัวเองโดยไม่รุกโจมตีซีเรีย เมื่อปี 2012-2013 แล้วทำให้รัสเซียเข้ามาช่วยอัสซาด ทำให้อัสซาดเติบใหญ่ จนฝ่ายซาอุฯ, เตอร์กีสถาน, อิสราเอล ไม่พอใจและเห็นว่าโอบามาอ่อนแอโลเล ไม่เข้มแข็งเท่าทรัมป์ ยิ่งคนอเมริกันมีความทะนงในตนเองว่าเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติอื่นๆ จะต้องเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ก็ยิ่งชื่นชมทรัมป์กันใหญ่ เห็นได้จาก ส.ส./ส.ว.ในพรรครีพับลิกันที่ไม่ค่อยกินเส้นและมองทรัมป์แบบดูถูกดูแคลน กลับหันมาชื่นชมออกนอกหน้า ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.จอห์น แมคเคน, ลินซี แกรมม์, พอล ไรอัน ฯลฯ ทำให้พรรครีพับลิกันกลายเป็นปรองดองกันแน่นแฟ้นพูดเป็นเสียงเดียวกัน!

ฝ่ายเดโมแครตก็ต้องตามมติมหาชนไม่ว่าจะเป็นแนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาล่าง และนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา

เรียกว่าเป็นการรวมความเห็นท่าทีของพรรคฝ่ายตรงข้ามมาสนับสนุนตนเอง (เป็น Bipartisan) คราวนี้ เรื่องที่พรรคเดโมแครตจะขวางทรัมป์ทุกๆ เรื่องในสภาก็คงจะดีขึ้นกว่าเดิม

2. เรื่องข้อสงสัยว่าทรัมป์ ทรยศต่อชาติที่ไปจับมือกับรัสเซีย รวมถึงความชอบธรรมที่เขาชนะเลือกตั้งโดยมีรัสเซียแอบช่วยเหลือ ก็ดูจะลดน้ำหนักลงไปทันที เพราะการโจมตีซีเรียครั้งนี้ ทำให้รัสเซียไม่พอใจและประกาศว่าเป็นการทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเป็นการละเมิดอธิปไตยซีเรีย และข้อกล่าวหารัฐบาลซีเรียเรื่องอาวุธเคมีก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ รวมทั้งเป็นการโจมตีโดยไม่ผ่านการพิจารณาของยูเอ็น

เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมกองกำลังรัสเซียที่ประจำการอยู่ตั้ง 90 เปอร์เซ็นต์ ของกองทัพซีเรีย ถึงไม่ใช้ระบบป้องกันขีปนาวุธตอบโต้โทมาฮอว์กของสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ แจ้งให้รัสเซียทราบก่อนปฏิบัติการเล็กน้อย แล้วทำไมรัสเซียไม่ห้ามด้วยการใช้ระบบป้องกันขีปนาวุธในทันที

หรือรัสเซียกำลังหาทางออกให้ทรัมป์กับการสอบในสภาคองเกรสที่กำลังรุกเร้าทรัมป์และคนในครอบครัว เช่น ลูกเขยก็จะต้องไปให้การในสภาด้วย

มีข้อสังเกตด้วยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน กำลังจะไปพบกับรัฐมนตรีเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ของรัสเซียในวันที่ 11-12 เมษายนนี้ ก็ในเมื่อรัสเซียออกมาประกาศตัดช่องทางฮอทไลน์ระหว่างกองทัพทั้ง 2 ในซีเรียและอิรัก (ช่องทางนี้มีขึ้นเพื่อสื่อสารด่วน ป้องกันความผิดพลาดที่กองทัพจะยิงพลาดไปโดนทหารของอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ) แล้วก็ยังจะมีเจรจาตามกำหนดการเดิมได้อย่างไร?

3. การรุกโจมตีซีเรีย เพื่อกระทบชิงส่งสัญญาณให้เกาหลีเหนือตระหนักถึงชะตากรรมที่ตนเองจะต้องได้รับเช่นเดียวกับปฏิบัติการถล่มซีเรีย นี่ก็คล้ายๆ กับช่วงที่ประธานาธิบดีบุชถล่มซัดดัม ฮุสเซน แล้วทำให้กัดดาฟี ยอมเปิดประตูต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศคอนดี ไรซ์ มาเยือน เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกถล่มแบบซัดดัม และยังเป็นการข่มจีนด้วย ซึ่งจีนเป็นพี่ใหญ่ของเกาหลีเหนือ

4. เป็นการกลบหรือเบี่ยงเบนความสนใจ จากที่ทรัมป์กำลังมีปัญหาความแตกแยกของทีมงานที่ทำเนียบขาว กรณีลูกเขย จาเร็ด คุชเนอร์ แตกคอกับสตีฟ แบนนอน (ที่เป็นรัสปูตินของทำเนียบขาว) รวมทั้งการแตกกันในพรรครีพับลิกันที่มีพวกไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ และกรณีทรัมป์ถูกดูถูกเหยียดหยามจากสื่อทีวี หนังสือพิมพ์แทบทั้งหมด ก็ทำให้สื่อหันมาสรรเสริญทรัมป์กันทั่วหน้า ลืมเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายของตระกูลทรัมป์ และการไม่ทำตามคำพูดของทรัมป์ ที่โลเลไปมา เปลี่ยนจุดยืนแต่ละวัน ถูกลืมหมด!

ทรัมป์ มีแต่ได้กับได้

แต่ถ้าสถานการณ์ลุกลามแผ่ขยายกับการมีปฏิกิริยาตอบโต้ของทรัมป์แบบไม่มีแผนระยะกลาง ระยะยาว ก็น่าอันตรายยิ่งสำหรับโลกใบนี้.
กำลังโหลดความคิดเห็น