xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คดี “ลูกชายกระทิงแดง”ขายขี้หน้าระดับโลก สะท้อน “ลุงตู่”คืนความสุขคนไทยไม่ได้ !!??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลายเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ขายขี้หน้าไประดับโลกเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศตีแผ่คดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา บุตรชายคนเล็กของตระกูลกระทิงแดงขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตคาที่เหตุเกิดตั้งแต่เดือน ก.ย.2555 จนป่านนี้ความผิดหลายข้อหาค่อยๆทยอยหมดอายุความ เหลือเพียงข้อหาขับรถเร็วซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนและทำท่าจะหมดอายุความในวันที่ 4 ก.ย.2560 ขณะที่เจ้าตัวกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหรา บินเที่ยวรอบโลก กินอาหารภัตตาคารระดับ 6 ดาว พักรีสอร์ทหรูคืนละหลายหมื่นบาทโดยไม่รู้สึกสำนึก ผิดชอบ-ชั่วดีอะไรทั้งสิ้น

รายงานข่าวชิ่นนี้ไม่เพียงชำแหละให้เห็นข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีปัญหาสองมาตรฐานหรือไม่ หรือความไม่คืบหน้าของคดีนี้เพียงเพราะอภิสิทธิ์ชนเหนือคนธรรมดาของบรรดาตระกูลดัง และบรรดาลูกเศรษฐี มหาเศรษฐีในเมืองไทย

นอกจากประจานกันไปทั่วโลกยังกระแทกใจคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเพราะหากมองให้ลึกถึงแก่นแท้ของปัญหานี่ก็คือความล้มเหลวของระบบการสอบสวนตำรวจไทย ที่มักใช้ดุลยพินิจ ใช้อำนาจเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างไม่ละอายถึงผลกระทบต่างๆที่จะพุ่งมาสู่สังคมโดยรวม

คดีนี้จึงทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าที่นี่หากคุณมีเงิน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อเยียวยาคู่กรณีเป็นที่เรียบร้อย และยอมจ่ายให้กับตำรวจที่มีส่วนรับผิดชอบบางคน บางคดีอาจจะได้มากกว่าคนตายเสียอีกแต่ถ้าตกลงกันได้ข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นจะถูกบิดเบือนไปอีกรูปการณ์หนึ่ง อย่างชนิดที่คนวงนอกคาดไม่ถึง

ย้อนกลับไปเหตุการณ์นี้เมื่อกลางดึกเดือน ก.ย.2555 ระหว่าง ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ กำลังปฏิบัติหน้าที่ขับรถผ่านไปตามถนนสุขุมวิท พอถึงปากซอย 47 ถูกรถสปอร์ตเฟอร์รารีขับมาด้วยความเร็วสูงชนรถ จยย.ที่ขับขี่โดย ด.ต.วิเชียร อย่างแรง มีพยานเห็นเหตุการณ์พร้อมกับร่องรอยที่เกิดเหตุสรุปตรงกันว่าเพราะความเร็วสูงจึงลากร่างคนตายครูดไปกับถนนเป็นระยะทางเกือบ 100 เมตรร่างคนตายจึงหลุดจากรถส่วนคนขับทราบต่อมาคือนายวราวุธ ได้ใช้ความเร็วหลบเข้าไปยังบ้านพักซอยสุขุมวิท 53 ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

หลังเกิดเรื่องกองทัพนักข่าวติดตามไปเฝ้าที่หน้าบ้านพักของตระกูลอยู่วิทยา แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้ รวมทั้งตำรวจน้อยใหญ่ของ สน.ทองหล่อ ในขณะนั้นต่างปิดปากเงียบมีระแคะระคายเพียงว่าคนขับคือลูกชายกระทิงแดง

สายวันเดียวกัน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ในขณะนั้นเดินทางมายังที่เกิดเหตุและตรงมายังบ้านตระกูลอยู่วิทยา การสอบปากคำในช่วงนั้นกลายเป็นว่าตำรวจ สน.ทองหล่อ โดยพ.ต.ท.บัณณ์ณภณ นามเมือง สวป.ซึ่งทราบกันดีว่ามีความสนิทสนมกับครอบครัวอยู่วิทยา ยืนยันว่าผู้ขับขี่รถหรูดังกล่าวคือนายสุเวศ หอมอุบล พ่อบ้าน

วันต่อมาพล.ต.ท.คำรณวิทย์ มีคำสั่งให้พ.ต.ท.บัณณ์ณภณ นามเมือง ออกจากราชการฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการสรรเสริญเยินยอจากผู้ใต้บังคับบัญชาและสื่อต่างๆโดยมีคำพูดตามมาว่า “ผมยอมให้ตำรวจตายฟรีไม่ได้ ไม่กลัวทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะใหญ่แค่ไหน”

ได้ใจลูกน้องไปเต็มๆ ขณะที่กระแสถูกโจมตีเรื่อง “มีวันนี้เพราะพี่ให้”อันมาจากภาพ “ทักษิณ”ติดยศให้ถูกกลบไปจนหมดสิ้น

คดีนี้เริ่มจากความประมาทของคนๆเดียวแค่บังเอิญเป็นลูกคนรวย และคู่กรณีเป็นตำรวจแถมยังซวยที่มีกองทัพนักข่าวสายอาชญากรรมเป็นตัวคอยตรวจสอบ หลังจากพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ออกแอ๊คชั่นแสดงความเป็นผู้นำกลายเป็นข่าวได้เครดิตไปเรียบร้อยในส่วนการดำเนินคดีมีพล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น.เพื่อนคู่คิด-มิตรคู่ใจของ น.1 ในขณะนั้น มีการแจ้งความผิดต่างๆกับนายวรยุทธ ด้วยกัน 3 ข้อหาคือขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ขับรถขณะเมา และขับรถด้วยความเร็ว

เมื่อกระแสเงียบไปตำรวจเจ้าของคดีเริ่มทำงานสะดวกขึ้น-โล่งขึ้น !!??

กระทั่งเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองมาสู่ยุค “คืนความสุข” ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อมีประเด็นข่าวคล้ายๆกันทั้งนักข่าว และสังคมก็เริ่มฉุกคิดถึงคดีทายาทกระทิงแดง พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ซึ่งขณะนั้นเป็น รรท.ผบช.น.จึงลงไปสอบถามจนได้ความว่าพนักงานสอบสวน (ตัวดี)ได้สั่งไม่ฟ้องไป 2 คดีแล้วคือขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตและคดีขับรถขณะเมาสุรา...พล.ต.ท.ศานิตย์ ไม่บอกรายละเอียดถึงเหตุผลในคดีแรกแต่สำหรับข้อหา “เมาแล้วขับ”กลายเป็นเรื่องตลกขบขันกันมาถึงทุกวันนั้นนั่นคือสอบพบว่า “เมาหลังขับ” จึงสั่งไม่ฟ้อง

สังคมสะเทือนใจกับข้อหา “เมาหลังขับ”จึงเป็นเหตุผลสั่งไม่ฟ้องลูกคนรวย..ฮือฮากันอยู่พักเดียวคนไทยก็ลืม

มาวันนี้เกือบทั้งประเทศต้องมาเจ็บปวดหัวใจกันอีกเมื่อสำนักข่าวระดับอินเตอร์เขาประโคมเรื่อง-ประจานระบบความยุติธรรมที่ล้าหลัง และปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมีคดีอาญาเกิดกับลูกเศรษฐี-คหบดี พวกเขาเหล่านี้ก็จะได้รับการปฏิบัติต่างกับครอบครัวคนจน หรือบรรดาตาสีตาสา

หลังเป็นข่าวจนเกิดกระแสให้คนไทยมีเรื่องด่ากันอีกรอบทางสำนักงานอัยการสูงสุด ก็ออกมาอ้างว่าเหตุล่าช้าก็เพราะฝ่ายผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมไปยังที่ต่างๆหลายครั้ง รวมทั้งกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ...ประมาณว่าจะดึงเอา สนช.มาเปียกน้ำด้วย!!??

สรุปข้อมูลจากอัยการสูงสุดท่านบอกว่าคดีอื่นๆบางคดีหมดอายุความและสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว ที่เหลือคือขับรถชนคนตายมีอายุความ 15 ปีกว่าจะหมดอายุความคือปี 2570 ส่วนขับรถชนแล้วหลบหนีไม่ช่วยเหลือจะถึงเส้นตายในปีนี้

ความจริงอัยการสูงสุด น่าจะแจกแจงมาให้ละเอียด คดีไหนหมดอายุความและหมดเพราะอะไร อาจต้องไปไล่เบี้ยกับตำรวจส่วนที่ว่าคดีขับรถชนคนตายมีอายุความถึง 15 ปีนั้นกรอบเวลาจะลากกันไปถึงไหนโปรดอย่าลืมว่า...ความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรมคือความอยุติธรรม

อย่างไรก็ตามแม้จะสังคมจะเชื่อกันแล้วว่ามีการทุ่มเงินเยียวยาคู่กรณี หรือใช้เงินเพื่อซื้อความยุติธรรมให้กับตัวเองโดยมีใครเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เชื่อว่าคดีนี้คงมองเห็นได้ชัด ไม่ต้องชี้ลงไปว่าใครเป็นใคร คงไม่พ้นคนที่เกี่ยวข้องกับคดี สามารถให้คุณให้โทษได้

ปัญหาต้นธารของความยุติธรรมโดยพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) จะเห็นได้ว่ายังมีเรื่องไม่ชอบมาพากล มีเรื่องย้อนแย้งให้เห็นเสมอๆเช่นคดีจราจรที่มีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต เมื่อได้รับการเยียวยา(หรือบางครั้งก็ไม่เยียวยา) ผู้มีอำนาจ หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจมักหาช่องทางช่วยเหลือด้วยการบิดเบือนคดี จากผิดกลายเป็นถูก หรือจากถูกให้กลายเป็นผิดเช่นกรณีของครูจอมทรัพย์ เป็นต้น

รากเหง้าของปัญหาจราจรในสายตาผู้ปกครอง-ผู้มีอำนาจ จึงควรส่องกระจกหันกลับมามองพวกพ้องตัวเอง...ตอบสังคมให้ได้ว่าแท้จริงแล้วพวกคุณก็คือปัญหา มีการเลือกปฏิบัติ กฎหมายต่างๆที่ออกมาในขณะที่ขัดต่อสภาพความเป็นจริงของสังคม ขัดต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของประชาชนจึงเท่ากับการบังคับ ข่มขืนใจให้พวกเขาเหล่านั้นต้องจำยอมทำตามการขู่เข็น...มาตรา 44 ลองเอามาใช้กับคนรวยบ้างซิครับ !!??


กำลังโหลดความคิดเห็น